/music/.mp3 http://www.watkaokrailas.com
สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com

 หน้าแรก

 บทความ

 เว็บบอร์ด

 รวมรูปภาพ

 พระบรมสารีริกธาตุ

 โจโฉ รวมเสียงธรรม

 เฟสบุ๊ค

 ติดต่อเรา-แผนที่

ไตรภูมิพระร่วง=คลิป

ไตรภูมิพระร่วง=คลิป

ไตรภูมิพระร่วง







---ไตรภูมิพระร่วง เป็นพระราชนิพนธ์ของ  พระมหาธรรมราชาลิไท  ซึ่งแต่งขึ้นเมื่อ วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ปีระกา ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 1864 (ปีเก่า) จ.ศ.683 ม.ศ.1243 เป็นปีครองราชย์ที่ 6 โดยมีพระประสงค์  ที่จะเทศนาโปรดพระมารดาและเพื่อจำเริญพระอภิธรรม


---ไตรภูมิพระร่วงเป็นหลักฐานชิ้นหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถอย่างลึกซึ้ง ในด้านพุทธศาสนาของพระมหาธรรมราชาลิไท  ที่ทรงรวบรวมข้อความต่างๆ ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา นับแต่พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และปกรณ์พิเศษต่างๆ มาเรียบเรียงขึ้นเป็นวรรณคดีโลกศาสตร์เล่มแรกที่แต่งเป็นภาษาไทย  เท่าทีมีหลักฐานอยู่ในปัจจุบันนี้ ทั้งนี้ อ.สินชัย กระบวนแสง ได้วิเคราะห์เหตุผลการแต่งไตรภูมิพระร่วงของพระมหาธรรมราชาลิไท ว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองด้วย


---เนื่องจากไตรภูมิ  เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ  นรก-สวรรค์ สอนให้คนรู้จักการทำความดี  เพื่อจะได้ขึ้นสวรรค์ หากแต่ใครทำชั่วประพฤติตนผิดศีลก็จะต้องตกนรก กล่าวคือ ประชากรในสมัยที่พระมหาธรรมราชา  ลิไท  ปกครองนั้นเริ่มมีมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทำให้การปกครองบ้านเมืองให้สงบสุขปราศจากโจรผู้ร้ายเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น การดูแลของรัฐก็ไม่อาจดูแลได้ทั่วถึง 


---พระมหาธรรมราชาลิไท  จึงได้คิดนิพนธ์วรรณกรรมทางศาสนาเรื่องไตรภูมิพระร่วง ขึ้นมาเพื่อที่ต้องการสอนให้ประชาชนของพระองค์ทำความดี  เพื่อจะได้ขึ้นสวรรค์มีชีวิตที่สุขสบาย และหากทำความชั่วก็จะต้องตกนรก ด้วยเหตุนี้วรรณกรรม เรื่องไตรภูมิ จึงเป็นสิ่งที่ใช้ควบคุมทางสังคมได้เป็นอย่างดียิ่ง เพราะสามารถเข้าถึงจิตใจทุกคนได้โดยมิต้องมีออกกฎบังคับกันแต่อย่างไร


*เนื้อหา


---ไตรภูมิพระร่วง  เป็นวรรณกรรมทางพุทธศาสนาที่กล่าวถึงภูมิ (แดน) ทั้ง 31 คือ กามภูมิ11,   รูปภูมิ16 แลอรูปภูมิ4   ซึ่งมีเนื้อหาพรรณนาถึงที่อยู่ ที่ตั้ง และการเกิดของมนุษย์ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย และเทวดา


(กดลิงค์-บน)


---ที่ตั้งเหล่านี้มี  เขาพระสุเมรุ เป็นหลัก เขาพระสุเมรุนั้น  ตั้งอยู่ท่ามกลางจักรวาล  มีทิวเขาและทะเลล้อม  ทิวเขามีชื่อต่างๆ  ดังนี้


---1.ยุคนธร


---2.อิสินธร


---3.กรวิก


---4.สุทัศน์


---5.เนมินธร


---6.วินันตก 


---7.อัศกรรณ


---ซึ่งเป็นเขารอบนอกสุด ทิวเขาเหล่านี้รวม  เรียกว่า  เขาสัตตบริภัณฑ์  ส่วนทะเลที่รายล้อมอยู่ 7 ชั้น เรียกว่า  มหานทีสีทันดร  ถัดจากทิวเขาอัศกรรณออกมาเป็นมหาสมุทรอยู่ทั่วทุกด้าน แล้วจะมีภูเขาเหล็กกั้นทะเลนี้ไว้รอบเรียกว่า ขอบจักรวาล พ้นไปนอกนั้นเป็นนอกขอบจักรวาล


*ภูมิทั้ง 31 เรียงลำดับจากทุกข์ไปสุขได้ดังนี้


---กามภูมิ 11  นรกภูมิ


---นรกภูมิ เป็นภูมิต่ำที่สุด ประกอบด้วย มหานรก 8 ขุม,  นรกบ่าว 128 ขุม และยมโลกนรก 320 ขุม


*มหานรก มี 8 ขุม


---มีกำแพงเหล็กแดงลุกเป็นไฟอยู่เสมอล้อมเป็นสี่เหลี่ยม พื้นบนและพื้นล่างก็เป็นเหล็กแดงที่ลุกเป็นไฟ กำแพงทั้ง 4 ด้าน ยาวด้านละ 1,000 โยชน์ หนา 9 โยชน์ มีประตูเข้า 4 ประตู ส่วนพื้นบนและพื้นล่างมีความหนา 9 โยชน์ มหานรกทั้ง 8 มีดังนี้


---1.มหาอเวจีนรก หรือ นรกที่ทุกข์ทรมานมิเคยหยุดพัก


---เป็นนรกขุมที่ลึกที่สุด มีความทุกข์มากที่สุดในจักรวาล  ไตรภูมิผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ในชาติก่อนนั้นได้ทำใน อนันตริยกรรม หรือบาปหนัก 5 ประการคือ ฆ่าบิดา, ฆ่ามารดา, ฆ่าพระอรหันต์, ทำให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต, ยุยงให้สงฆ์แตกแยกกัน ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่  จะถูกตรึงศีรษะ แขน ในอิริยาบถที่เป็นในขณะทำบาป (นั่ง ยืน นอน ฯลฯ) มีหลาวเหล็กแทงทะลุลำตัว มีไฟนรกคลอกตลอดเวลา แต่จะไม่เสียชีวิต ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ต้องอาศัยอยู่จนกว่าจะครบวาระ 1 กัลป์


---2.มหาตาปนรก หรือ นรกที่มีแต่ความเร่าร้อนเหลือประมาณ


---ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ชาติก่อนได้ฆ่าชีวิตสัตว์และคนเป็นหมู่มากโดยไม่รู้สึกผิด ผู้อยู่อาศัยจะถูกทำให้ตกจากภูเขาสูงลงมาที่พื้นที่เต็มไปด้วยเหล็กแหลมยาว ถูกเหล็กเสียบทะลุลำตัว มีไฟนรกคลอกตลอดเวลา แต่ก็จะไม่เสียชีวิต ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ต้องอาศัยไปจนกวลาจะคบวาระ ครึ่งกัลป์ 


---3.ตาปนรก หรือ นรกแห่งความเร่าร้อน


---ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่จะถูกไล่ให้ขึ้นไปที่ปลายหลาว ที่มีไฟนรกลุกโชน ผู้อยู่อาศัยจะถูกไฟคลอกจนพองสุก และจะกลายเป็นอาหารของสุนัขนรก หลังจากนั้น จะมี "ลมกรรม" พัดมาให้ร่างกายฟื้นขึ้นมา และก็ถูกไล่ขึ้นไปที่ปลายหลาว ถูกไปนรกคลอก วนเวียนเช่นนี้จนกว่าจะครบวาระ 16,000 ปี โดยที่ 1 วัน 1 คืนในตาปนรก เทียบเท่า 9,216 ล้านปีมนุษย์


---4.มหาโรรุวนรก หรือ นรกที่เต็มไปด้วยเสียงครวญคราง


---ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ชาติก่อนได้ปล้นขโมยของจากผู้ที่อยู่สูง เช่น สมณะ ครู บุพการี ฯลฯ  ผู้ที่อาศัยจะต้องยืนบนบัวเหล็ก ที่กลีบคม มีไฟนรกแผดเผา มียมบาลใช้กระบองกระหน่ำตีร่าง แต่จะไม่เสียชีวิต ต้องอาศัยอยู่เช่นนี้ไปจนกว่าจะครบวาระ 7,000 ปี โดยที่ 1 วัน 1 คืนในมหาโรรุวนรก เทียบเท่า 2,305 ล้านปีมนุษย์ 


---5.โรรุวนรก หรือ นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ 


---ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ชาติก่อนเคยเผาสัตว์ทั้งเป็นบ่อยๆ หรือเป็นข้าราชการทุจริต ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่จะถูกไฟนรกคลอกในบัวเหล็กในอิริยาบถนอนคว่ำ การอาศัยที่นี่ 1 วาระ จะต้องอาศัยอยู่นาน 4,000 ปีนรก โดยที่ 1 วัน 1 คืนในโรรุวนรก เทียบเท่า 576 ล้านปีมนุษย์ 


---6.สังฆาฏนรก หรือ นรกบดขยี้สัตว์


---ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ชาติก่อนได้กระทำทารุณสัตว์ เมื่ออาศัยอยู่ที่นี่ ยมบาลจะผูกล่ามผู้อาศัยหลายๆ คนเข้าด้วยกัน และใช้ค้อนเหล็กยักษ์ทุบร่างกายจนแหลกไป และ "ลมกรรม"ก็จะพัดให้ฟื้นชีวิตมารับโทษใหม่ วนเวีบยเช่นนี้จนกว่าจะครบวาระ 2,000 ปีนรก โดยที่ 1 วัน 1 คืนในสังฆาฏนรก เทียบเท่า 145 ล้านปีมนุษย์ 


---7.กาฬสุตตนรก หรือ นรกที่ลงโทษด้วยด้ายดำ


---ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่จะถูกยมบาลฟาดด้วยด้ายนรก ซึ่งมีขนาดและความแข็งเท่าเหล็กเส้นโตๆ เส้นหนึ่ง แล้วใช้เลื่อยนรกเลื่อยให้ขาดเป็นท่อนๆ ผู้ที่หนีจะถูกเหล็กนรกปลิวออกมาตัดร่างกาย แล้วลมกรรม ก็จะพัดโชยให้ฟื้นคืนอีกครั้ง จนกว่าจะครบวาระ 1,000 ปีนรก โดย 1 วัน 1 คืนในกาฬสุตตนรก เทียบเท่า 36 ล้านปีมนุษย์ ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ชาติปางก่อนได้ทรมาณสัตว์เล่นๆ ทำร้ายบุพการี อาจารย์ สมณะ หรือผู้มีพระคุณ 


---8.สัญชีวนรก หรือ นรกที่ไม่มีวันตาย


---ผู้ที่อาศัยจะถูกยมบาลจับนอนบนแผ่นเหล็กร้อนแดง และถูกยมบาลฟันร่างขาดเป็นท่อนๆ เฉีอนเนื้อหนังจนเหลือแต่กระดูก แล้วลมกรรมก็จะพัดมาให้ฟื้นมารับโทษต่อจนกว่าจะครบวาระ 500 ปีนรก โดยที่ 1 วัน 1 คืนในสัญชีวนรก เทียบเท่า 9 ล้านปีมนุษย์


*นรกบ่าว


---จะล้อมรอบมหานรก 4 ด้าน ด้านละ 4 ขุม รวมแล้ว มหานรก 1 ขุม จะมีนรกบ่าวล้อมรอบอยู่ 16 ขุม รวมจำนวนนรกบ่าวทั้งหมดจึงได้ 128 ขุม เป็นโลกของผู้ที่ทำบาป (หรือ เหลือเศษบาป) อยู่น้อย น้อยเกินกว่าที่จะไปเกิดในมหานรก แต่มากเกินกว่าที่จะเกิดในภูมิที่สูงกว่า เป็นขุมที่มีความทุกข์ทรมานน้อยกว่ามหานรก แต่ก็ยังห่างไกลความสุขอยู่อย่างยิ่งยวด


*ยมโลกนรก


---จะล้อมรอบมหานรก 4 ด้าน ด้านละ 10 ขุม รวมแล้ว มหานรก 1 ขุม จะมียมโลกนรกล้อมรอบ 40 ขุม รวมจำนวนยมโลกนรกทั้งหมดได้ 320 ขุม เป็นโลกของผู้ที่มีเศษบาปเหลือน้อยเกินกว่าที่จะไปเกิดในนรกบ่าว แต่ก็มากเกินกว่าที่จะไปเกิดในภูมิที่สูงกว่านี้ การลงโทษเบากว่านรกบ่าว แต่ก็ยังห่างไกลความสุขอย่างยิ่งยวดเช่นกัน


*ยมบาล


---หรือ นายนิรยบาล หรือผู้ดูแลนรกเฝ้าประตูนรกไว้ มีพระยายมราชเป็นผู้ทรงธรรมเที่ยงตรงเป็นใหญ่เหนือยมบาลทั้งหลาย หน้าที่ของพระยายมราช  คือสอบสวนบุญบาปของมนุษย์ที่ตายไป หากทำบุญก็จะได้ขึ้นสวรรค์ทำบาปก็จะตกนรก


*เปรตวิสัยภูมิ


---เปรตเป็นผีเลวชนิดหนึ่ง ในไตรภูมิบรรยายรูปร่างของเปรตไว้ว่า เปรตบางชนิดมีตัวใหญ่ ปากเท่ารูเข็ม เปรตบางชนิดก็ตัวผอมไม่มีเนื้อหนังมังสา ตาลึกกลวง และร้องไห้ตลอดเวลา แต่ก็มีเปรตบางชนิดที่ตัวงามเป็นทอง แต่ปากเป็นหมูและเหม็นมาก มนุษย์ที่ทำบาปกับบุพการี เช่น ด่าทอบุพการีและทุบตีบุพการีจะเกิดเป็นเปรต สรุปรวมๆ แล้ว ก็คือเมื่อตอนเป็นคนแล้วทำบาปอย่างใด  เมื่อตายไปก็จะเป็นเปรต ตามที่ทำบาปไว้เปรตนั้น  มีโอกาสดีกว่าสัตว์นรก เนื่องจากสามารถออกมาขอบุญกุศลจากการทำบุญของมนุษย์ได้


*หมายเหตุ...


---มีจำพวกเดียวที่จะได้รับส่วนบุญที่คนยังมีชีวิตอยู่อุทิศไปให้ เรียกว่า ชีวิตูปรัตตเปรต เปรตจำพวกนี้ได้รับทุกข์ร้อนลำบากมาก เพราะในเปรตโลกนั้นไม่มีการทำนาค้าขาย แม้แต่ขอทานก็ไม่มี เสวยผลกรรมของตนๆ ที่ทำไว้ เมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่นี้เท่านั้น ฉะนั้นเปรตจำพวกนี้แหละมนุษย์คนที่ยังเป็นอยู่ทำบุญอุทิศไปให้จึงจะได้รับ เปรตนอกนั้นแล้วไม่ได้รับเลย 


*อสุรกายภูมิ


---อสูร แปลตรงตัวว่า ผู้ไม่ใช่สุระ  หรือไม่ใช่พวกเทวดา  ที่มีพระอินทร์เป็นหัวหน้า เดิมพวกอสูรมีเมืองอยู่บนเขาพระสุเมรุ  หรือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  นั่นเอง ภายหลังพวกเทวดาคิดอุบายมอมเหล้าพวกอสูร  เมาจนไม่ได้สติ แล้วพวกเทวดาก็ช่วยกัน  ถีบอสูรให้ตกเขาพระสุเมรุดิ่งจมลงใต้ดิน เมื่ออสูรสร่างเมา ได้สติแล้วก็สำนึกตัวได้ว่า เป็นเพราะกินเหล้ามากจนเมามาย  จึงต้องเสียบ้านเมืองให้กับพวกเทวดาจึงเลิกกินเหล้าแล้วไปสร้างเมืองใหม่ใต้บาดาลเรียกว่า "อสูรภพ"


---พวกอสูรกาย  มีบ้านเมืองเป็นของตนเอง เรียกว่า  อสูรภพ อยู่ลึกใต้ดินไป 84,000 โยชน์ เป็นบ้านเมืองงดงามมากเต็มไปด้วยแผ่นทองคำ คือบ้านเมืองของอสูรนี้  จะมีเหมือนสวรรค์ของเทวดา เช่น กลางสวรรค์มีต้นปาริชาติ   กลางเมืองอสูรก็มีต้นแคฝอย   เมืองอสูรมีเมืองใหญ่อยู่ 4 เมือง  โดยมีพระยาอสูรปกครองอยู่ทุกเมือง ในบรรดาอสูรมีอยู่ตนหนึ่งมีอำนาจมากชื่อว่า  "ราหู"


---อสูรราหู  มีหน้าตา  หัวหูที่ใหญ่โตมากกว่าเหล่าเทวดาทั้งหลายในสวรรค์  ราหูมีความเกลียดชัง  พระอาทิตย์และพระจันทร์  มาก ในวันพระจันทร์เต็มดวงหรือวันเดือนงามและวันเดือนดับ   ราหูจะขึ้นไปนั่งอยู่บนเขายุคนธร  อันเป็นทิวเขาทิวแรกที่ล้อมเขาพระสุเมรุ   ซึ่งเป็นที่อยู่ของเทวดา


---ราหูจะคอยให้พระอาทิตย์หรือพระจันทร์ผ่านมา เพื่อที่จะคอยอ้าปากอันกว้างใหญ่อมเอาพระจันทร์หรือพระอาทิตย์หายลับไป บางครั้งก็เอานิ้วมือบังไว้บ้าง เอาไว้ใต้คางบ้าง เหตุการณ์เหล่านี้เรียกกันว่า  สุริยคราสและจันทรคราส


---เรื่องราวที่เป็นเหตุ  ทำให้ราหู  มีความเกลียดชังพระอาทิตย์และพระจันทร์  ก็คือ มีการกวนเกษียรสมุทรของเหล่าบรรดาเทวดาและอสูรเพื่อทำน้ำอมฤต   เมื่อกวนสำเร็จแล้ว  เทวดาก็ไม่ยอมให้เหล่าอสูรกิน แต่ราหูปลอมเป็นเทวดาเข้าไปกินน้ำอมฤตกับเทวดาด้วย   พระอาทิตย์และพระจันทร์เห็นจึงไปฟ้องพระวิษณุว่า  ราหูปลอมตัวเป็นเทวดามากินน้ำอมฤต   พระวิษณุทรงขว้างจักรแก้วไปตัดตัวราหูออกเป็นสองท่อน  แต่ราหูไม่ตาย  เพราะได้กินน้ำอมฤตไปแล้ว  ครึ่งตัวท่อนบนจึงเป็นราหูอยู่ แต่ครึ่งตัวท่อนล่างกลายเป็นอสูรอีกตัวหนึ่งชื่อ  "เกตุ"


*ติรัจฉานภูมิ


---ติรัจฉานติภูมิ หรือเดรัจฉานติภูมิ คือแดนของเดียรฉาน แปลว่าตามขวางหรือตามเส้นนอนตรงกันข้ามกับคนซึ่งไปตัวตรง ดังนั้นสัตว์เดรัจฉานก็หมายถึงสัตว์ที่ไปไหนมาไหนต้องคว่ำอก


---ในหนังสือไตรภูมิ  ตอนนี้เริ่มต้นกล่าวถึง  สัตว์อันเกิดมาในแดนเดรัจฉานว่า


---มีเกิดจากไข่ (อัณฑชะ)


---จากมีรกอันห่อหุ้ม (ชลาพุชะ)


---จากใบไม้และเหงื่อไคล (สังเสทชะ)


---เกิดเป็นตัวขึ้นเองและโตทันที (อุปปาติกะ)


---สัตว์เดรัจฉานนั้นมีความเป็นอยู่ 3 ประการ คือ รู้สืบพันธุ์   รู้กิน   รู้ตาย   เรียกเป็นศัพท์ว่า กามสัญญา อาหารสัญญา และมรณสัญญา   ส่วนคนนั้นเพิ่มอีกสัญญาหนึ่งคือ ธธมสัญญา คือรู้จักการทำมาหากิน  รู้บาปบุญ หรือตรงกับคำว่า  วัฒนธรรมนั้นเอง 


*สัตว์ที่กล่าวในแดนเดรัจฉานหลักๆ  ก็มีดังนี้


---ราชสีห์   เป็นสัตว์จำพวกเดียวกับสิงโต ไม่มีตัวตนจริงอยู่ในโลกนี้ แต่เป็นสัตว์ที่อยู่ในวรรณคดีเท่านั้น


---ช้างแก้ว   อาศัยอยู่ที่ถ้ำทองว่ากันว่า  พระพุทธเจ้าเคยเสวยพระชาติเคยไปเกิดเป็นช้างนี้อยู่หนึ่งชาติ 


---ปลา  ในแดนเดรัจฉานนี้  ปลาที่อาศัยอยู่ที่นี้จะมีขนาดใหญ่มาก ตัวที่เล็กสุดก็ยังยาวถึง 75 โยชน์ ตัวที่ใหญ่ก็ยาวถึง 5,000 โยชน์ ปลาที่รู้จักกันดีคือ "พญาปลาอานนท์"  ซึ่งหนุนชมพูทวีปอยู่


---ครุฑ  อาศัยอยู่ที่ตามฝั่งสระใหญ่ชื่อ  "สิมพลีสระ" ที่ตีนเขาพระสุเมรุหรือสระต้นงิ้ว กว้างได้ 500 โยชน์ พระยาครุฑที่เป็นหัวหน้าตัวโต 50 โยชน์ ปีกยาวอีก 50 โยชน์ ปากยาว 9 โยชน์ ตีนทั้งสองยาว 12 โยชน์ ครุฑกินนาคเป็นอาหาร และเป็นพาหนะของพระนารายณ์


---นาค  หรืองูมีหงอนและมีตีน นาคมีสองชนิด คือ "ถลชะ " หรือนาคที่เกิดบนบก และ "ชลชะ"  หรือนาคที่เกิดในน้ำ  นาคถลชะจะเนรมิตตนเป็นคนหรือเทวดานางฟ้าได้แต่บนบก  นาคชลชะจะเนรมิตตนเป็นคนหรือเทวดานางฟ้าได้แต่ในน้ำเท่านั้น   เรื่องนาคเป็นที่รู้จักกันดีในประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือเป็นบรรพบุรุษของชนชาติต่างๆ เช่น เขมร ลาว มอญ


---หงส์  อาศัยอยู่ที่ถ้ำทองบนเขาคิชฌกูฏหรือเขายอดนกแร้ง หงส์เป็นพาหนะของพระพรหม


*มนุสสาภูมิ


---กล่าวถึงฝูงสัตว์อันเกิดในมนุสสาภูมิ  มีกำเนิดดังนี้ ตั้งแต่เริ่มต้นปฏิสนธิในครรภ์มารดาก็เริ่มก่อตัวเป็นกัลละ


---กัลละมีรูปร่างโปร่งเหลว เหมือนน้ำหรือเหมือนเมือกตม เป็นคำที่ใช้เฉพาะสิ่งที่ห่อหุ้มก่อกำเนิดเป็นคนเท่านั้น กัลละที่ก่อเป็นตัวเด็กขึ้นมานี้ตามวิทยาศาสตร์กล่าวเรียกว่า 'cell'  เมื่อเวลาผ่านไปก็เกิดกลายเป็นตัวเด็กขึ้นนั่ง กลางท้องแม่และเอาหลังมาชนท้องแม่  มีสายสะดือเป็นตัวส่งอาหารที่แม่กินเข้าไปให้แก่เด็ก  เด็กที่นั่งอยู่กลางท้องแม่นั้น จะนั่งอยู่เวลาประมาณ 8-10 เดือน แล้วจึงคลอดจากท้องแม่


*บุตรที่เกิดมาในไตรภูมิแบ่งได้เป็น 3 สิ่ง คือ


---อภิชาตบุตร เป็นคนเฉลียวฉลาดมีรูปงามหรือมั่งมียศยิ่งกว่าพ่อแม่


---อนุชาตบุตร มีเพียงพ่อแม่


---อวชาติบุตร ด้อยกว่าพ่อแม่ 


*คนทั้งหลายก็แบ่งเป็น 4 ชนิด คือ


---ผู้ที่ทำบาปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และบาปนั้นตามทัน  ต้องถูกตัดตีน  สิ้นมือและทุกข์โศกเวทนานักหนา พวกนี้เรียกว่า "คนนรก"


---ผู้หาบุญจะกระทำบ่มิได้ และเมื่อแต่ก่อนและเกิดมาเป็นคนเข็ญใจยากจนนักหนา อดอยากไม่มีกิน รูปโฉมก็ขี้เหร่ พวกนี้เรียกว่า "คนเปรต"


---คนที่ไม่รู้จักบาปและบุญ ไม่มีความเมตตากรุณา ไม่มีความยำเกรงผู้ใหญ่ ไม่รู้จักปฏิบัติพ่อแม่ครูอาจารย์ ไม่รักพี่รักน้อง กระทำบาปอยู่ร่ำไป พวกนี้ท่านเรียกว่า "คนเดรัจฉาน"---คนที่รู้จักบาปและบุญ รู้กลัวรู้ละอายแก่บาป รู้รักพี่รักน้อง รู้กรุณาคนยากจนเข็ญใจ และรู้จักยำเกรงพ่อแม่ผู้เฒ่าผู้แก่ครูอาจารย์ และรู้จักคุณแก้ว 3 ประการ คือ พระรัตนตรัย พวกนี้ท่านเรียกว่า "มนุษย์"


---ในไตรภูมิพระร่วงกล่าวว่า มนุสสาภูมิประกอบด้วย 4 ทวีป ดังนี้


*ชมพูทวีป 


---ตั้งอยู่ในมหาสมุทรทางทิศใต้ของเขาพระสุเมรุ  มีสัณฐานเป็นรูปไข่  ดุจดังดุมเกวียน คนมีรูปหน้ากลมดุจดังดุมเกวียน  อายุของคนในชมพูทวีปนั้น หากเป็นผู้ที่เป็นคนดีมีศีลธรรมอายุก็จะยืน หากมีลักษณะตรงกันข้ามก็จะอายุสั้น เป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า (ซึ่งก็คือโลกที่เราๆ ท่านๆ อาศัยอยู่)


*บุรพวิเทหทวีป


---ตั้งอยู่ในมหาสมุทรทางทิศตะวันออกของเขาพระสุเมรุ  เป็นแผ่นดินกว้างได้ 7,000 โยชน์ มีสัณฐานเป็นรูปแว่นที่กลม   มีเกาะล้อมรอบเป็นบริวาร 400 เกาะ  มีแม่น้ำเล็กใหญ่ มีเมืองใหญ่เมืองน้อย คนในทวีปนี้หน้ากลมดังเดือนเพ็ญ  มีรูปกะโหลกสั้น  ทุกคนไม่เบียดเบียนกัน  ไม่ทำชั่ว  เมื่อตายแล้วจึงขึ้นสวรรค์แน่นอน ทำให้คนในทวีปนี้ไม่กลัวตาย และผู้ที่อาศัยในทวีปนี้ มีอายุ 100 ปีเท่ากันทุกคน


*อมรโคยานทวีป


---ตั้งอยู่ในมหาสมุทรทางทิศตะวันตกของเขาพระสุเมรุ เป็นแผ่นดินกว้างได้ 9,000 โยชน์ มีสัณฐานเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งดวง มีเกาะเล็กเกาะน้อยเป็นบริวารอยู่โดยรอบ  คนในทวีปนี้มีรูปหน้าดังพระจันทร์ครึ่งดวง ทุกคนไม่เบียดเบียนกัน ไม่ทำชั่ว เมื่อตายแล้วจึงขึ้นสวรรค์แน่นอน ทำให้คนในทวีปนี้ไม่กลัวตาย และผู้ที่อาศัยในทวีปนี้ มีอายุ 400 ปีเท่ากันทุกคน


*อุตตรกุรุทวีป


---ตั้งอยู่ในมหาสมุทรทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ   เป็นแผ่นดินกว้างได้ 8,000 โยชน์ มีสัณฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยม   มีภูเขาทองล้อมรอบ   มีเกาะล้อมรอบเป็นบริวาร 500 เกาะ  คนในทวีปนี้หน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม  มีรูปร่างสมประกอบ  ไม่สูงไม่ต่ำดูงดงาม


---กล่าวกันว่า  คนที่อยู่ทวีปนี้เป็นคนรักษาศีล จึงทำให้แผ่นดินราบเรียบ ต้นไม้ต่างก็ออกดอกงดงาม  ส่งกลิ่นหอมขจรขจายไปทั่วและเป็นแผ่นดินที่ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน  ในแผ่นดินอุตตรกุรุทวีปนี้  มีต้นกัลปพฤกษ์  ต้นหนึ่ง สูง 100 โยชน์ กว้าง 100 โยชน์ ผู้ใดปรารถนาจะได้แก้วแหวนเงินทองหรือสิ่งใดๆ ก็ให้ไปยืนนึกอยู่ใต้ต้นกัลปพฤกษ์นี้


---ผู้หญิงชาวอุตตรกุรุทวีปนั้น  มีความงดงามมาก ส่วนผู้ชายก็เช่นกันมีความงามดังเช่นหนุ่มอายุ 20 ปี  กันทุกคน ทุกคนไม่เบียดเบียนกัน ไม่ทำชั่ว เมื่อตายแล้วจึงขึ้นสวรรค์แน่นอน ทำให้คนในทวีปนี้ไม่กลัวตาย และผู้ที่อาศัยในทวีปนี้ มีอายุ 1,000 ปีเท่ากันทุกคน


*พระยาจักรพรรดิราช


---พระยาจักรพรรดิราช เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ ยิ่งกว่าพระราชาทั้งปวง คือเป็นพระราชาผู้มีจักรหรือล้อแห่งรถเลื่อนแล่นไปได้รอบโลก  โดยปราศจากการขัดขวางหรือปราบปรามทั่วโลก   พระยาจักรพรรดิราชนั้นเมื่อชาติก่อนเป็นคนแต่ทำบุญไว้มาก  เมื่อตายไปจึงไปเกิดในสวรรค์


---ในบางครั้งก็มาเกิดเป็นพระยาที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ได้รับพระนามว่า พระยาจักรพรรดิราช เป็นพระยาที่ทรงคุณธรรมทุกประการ   เป็นเจ้านายคนทั้งหลายพระองค์ทรงตั้งอยู่ในทศพิศราชธรรม   พระยาจักรพรรดิราชมีแก้ว 7 ประการเกิดคู่บารมีมาด้วย ได้แก่


---1.จักรแก้ว คือแก้วอย่างที่หนึ่ง จักรแก้วหรือจักรรัตน์จมอยู่ใต้ท้องทะเลลึกได้ 84,000โยชน์ เมื่อเกิดจักรพรรดิราชขึ้นในโลก จักรแก้วซึ่งเป็นคู่บุญบารมีและจมอยู่ในมหาสมุทร  ก็จะผุดขึ้นมาจากท้องทะเล พุ่งขึ้นไปในอากาศ  เกิดเป็นแสงส่องอันงดงาม  มาน้อมนบ  เมื่อพระยาผู้ครองเมืองนั้น  ทราบว่าพระองค์จะได้เป็นพระยาจักรพรรดิราช  ปราบทั่วจักรวาลเพราะมีจักรแก้วมาสู่พระองค์ พระยาจักรพรรดิราชก็จะเสด็จปราบทวีปทั้งสี่   แล้วประทานโอวาทให้ชาวทวีปเหล่านั้นประพฤติและตั้งอยู่ในคุณงามความดีแล้ว จึงเสด็จกลับพระนคร


---2.ช้างแก้ว (หัสดีรัตน์)  คือแก้วอย่างที่สอง   ซึ่งเป็นช้างที่มีความงดงาม ตัวเป็นสีขาว ตีนและงวงสีแดง เหาะได้รวดเร็ว 


---3.ม้าแก้ว (อัศวรัตน์) คือแก้วอย่างที่สาม เป็นม้าที่มีขนงามดังสีเมฆหมอก กีบเท้าและหน้าผากแดงดั่งน้ำครั่ง เหาะได้รวดเร็วเช่นเดียวกับช้างแก้ว 


---4.ดวงแก้ว (มณีรัตน์) คือแก้วอย่างที่สี่ เป็นแก้วที่มีขนาดยาวได้ 4 ศอก ใหญ่เท่าดุมเกวียนใหญ่ สองหัวแก้วมีดอกบัวทอง เมื่อมีความมืดแก้วนี้จะส่องสว่างให้เห็นทุกหนแห่ง  ดังเช่นเวลากลางวัน แก้วนี้จะอยู่กับพระยาจักรพรรดิราชจนตราบเท่าเสด็จสวรรคาลัย จึงจะคืนไปอยู่ยอดเขาพิปูลบรรพตตามเดิม


---5.นางแก้ว (อิตถีรัตน์) คือแก้วอย่างที่ห้า เป็นหญิงที่จะมาเป็น  มเหสีคู่บารมี  ของพระยาจักรพรรดิราช นางแก้วนี้จะต้องเป็นหญิงที่ได้ทำบุญมาแต่ชาติก่อน และมาเกิดในแผ่นดินของพระยาจักรพรรดิราช  ในตระกูลกษัตริย์ นางแก้วนี้จะเป็นหญิงที่มีลักษณะงดงามไปทุกส่วน จะทำหน้าที่เป็นภรรยาที่ดีของพระยาจักรพรรดิราช 


---6.ขุนคลังแก้ว คือแก้วอย่างที่หก เกิดขึ้นเพื่อบุญแห่งพระยาจักรพรรดิราช และจะเป็นมหาเศรษฐี ขุนคลังแก้วจะสามารถกระทำได้ทุกอย่างที่พระยาจักรพรรดิราชต้องการ  เพราะขุนคลังแก้ว  มีหูทิพย์  ตาทิพย์  ดังเทวดาในสวรรค์  หากว่าพระยาจักรพรรดิราชต้องการทรัพย์สินสิ่งใด  ขุนคลังก็จะสามารถนำมาถวายได้ 


---7.ขุนพลแก้ว คือแก้วประการสุดท้าย  ของพระยาจักรพรรดิราช หรือโอรสของพระยาจักรพรรดิราช มีรูปโฉมอันงดงาม กล้าหาญ เฉลียวฉลาด สามารถบริหารกิจการบ้านเมืองได้ทุกประการ บางตำราก็ว่าเป็นขุนพลแก้ว 


     *จาตุมหาราชิกาภูมิ


    ---สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกภูมิ เป็นสวรรค์ชั้นแรก สูงจากพื้นโลกได้ 46,000 โยชน์ เป็นดินแดนของผู้มีจิตใจสูงส่ง แต่ยังเกี่ยวข้องในกามคุณ


    ---จาตุมหาราชิกภูมิ แปลว่า  "แดนแห่ง 4 มหาราช"   สวรรค์ชั้นนี้ตั้งอยู่เหนือเทือกเขายุคนธร  อันเป็นเทือกเขาแรกที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ  


    *บนเทือกเขายุคนธรทั้ง 4 ทิศ มีเมืองใหญ่ 4 เมือง


    ---1.เมืองที่อยู่ทางทิศตะวันออก  ของเขาพระสุเมรุมี  "ท้าวธตรฐ"  เป็นเจ้าเมือง เป็นใหญ่เหนือ  "คนธรรพ์" (เป็นอมนุษย์จำพวกหนึ่ง ครึ่งเทวดาครึ่งมนุษย์ เป็นนักดนตรีและชอบผู้หญิง)


    ---2.เมืองที่อยู่ทางทิศตะวันตก  ของเขาพระสุเมรุมี  "ท้าววิรูปักษ์"  เป็นเจ้าเมือง เป็นใหญ่เหนือ  "นาค"


    ---3.เมืองที่อยู่ทางทิศใต้ของเขาพระสุเมรุมี  "ท้าววิรุฬหก"  เป็นเจ้าเมือง เป็นใหญ่เหนือ  "พวกกุมภัณฑ์"   (เป็นยักษ์จำพวกหนึ่ง มีท้องใหญ่และมีอัณฑะเหมือนหม้อ)


    ---4.เมืองที่อยู่ทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุมี  "ท้าวไพศรพ"  เป็นเจ้าเมือง เป็นใหญ่เหนือ  "พวกยักษ์"  ท้าวมหาราชทั้ง 4  นี้เรียกรวมๆ  ว่า  "จตุโลกบาล"  ทั้ง 4  คือ  ผู้ดูแลรักษาโลกทั้ง 4 ทิศ


    *ดาวดึงส์


    ---เป็นสวรรค์ชั้นที่ 2 มีเทวดาผู้เป็นใหญ่ในชั้นนี้คือ ท้าวสักกะเทวราช หรือที่เรียกกันว่า  "พระอินทร์"


    *ยามาภูมิ


    ---สวรรค์ชั้นยามา  เป็นสวรรค์ชั้นที่ 3 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  84,000 โยชน์   มี "พระยาสยามเทวราช"  ครองอยู่ สวรรค์ชั้นนี้สูงกว่าวิถีการโคจรของพระอาทิตย์  แต่ก็ไม่มืดเนื่องจากรัศมีแก้วและรัศมีตัวเทวดาส่องสว่างอยู่เสมอ


    *ดุสิตาภูมิ


    ---สวรรค์ชั้นดุสิต เป็นสวรรค์ชั้นที่ 4 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นยามา 168,000 โยชน์ มี  "พระยาสันดุสิตเทวราช" พระโพธิสัตว์ซึ่งจะเสด็จลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า  มีพระศรีอาริย์โพธิสัตว์ซึ่งจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้า


    *นิมมานรดีภูมิ


    ---สวรรค์ชั้นนิมมานรดี เป็นสวรรค์ชั้นที่ 5 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดุสิต 336,000 โยชน์


    *ปรนิมิตวสวัตติภูมิ


    ---สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี   เป็นสวรรค์ชั้นที่ 6 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นนิมมานรดี 672,000 โยชน์ มี  "พระยาปรนิมมิตวสวัตตี"  ปกครองผู้เป็นเทวดา และมีพระยามารปกครองเหล่ามาร  เจ้าทั้งสองจะไม่เคยพบเจอกันเลยแม้จะอยู่สวรรค์ชั้นเดียวกัน


    *รูปภูมิ 16


    ---อยู่เหนือสวรรค์ชั้นสูงสุด


    ---1.พรหมปาริสัชชาภูมิ          ดินแดนของผู้สำเร็จปฐมฌาณขั้น   ต้น 


    ---2.พรหมปุโรหิตาภูมิ          ดินแดนของผู้สำเร็จปฐมฌาณขั้นกลาง


    ---3.มหาพรหมาภูมิ          ดินแดนของผู้สำเร็จปฐมฌาณขั้นสูง


    ---4.ปริตตาภาภูมิ          ดินแดนของผู้สำเร็จทุติยฌาณขั้นต้น


    ---5.อัปปมาณาภาภูมิ          ดินแดนของผู้สำเร็จทุติยฌาณขั้นกลาง


    ---6.อาภัสสราภูมิ          ดินแดนของผู้สำเร็จทุติยฌาณขั้นสูง


    ---7.ปริตตสุภาภูมิ          ดินแดนของผู้สำเร็จตติยฌาณขั้นต้น


    ---8.อัปปมาณสุภาภูมิ          ดินแดนของผู้สำเร็จตติยฌาณขั้นกลาง


    ---9.สุภกิณหาภูมิ          ดินแดนของผู้สำเร็จตติยฌาณขั้นสูง


    ---10.เวหัปปผลาภูมิ          ดินแดนของผู้สำเร็จจตุตฌาณ มีผลไพบูลย์ พ้นจากการทำลาย  ของน้ำ ลม ไฟ


    ---11.อสัญญีสัตตาภูมิ          ดินแดนของพรหมไร้นาม มีร่างกายสง่างาม


    ---12.อวิหาภูมิ          ดินแดนของพระอรหันต์ขั้นอนาคามี เคยเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า


    ---13.อตัปปาภูมิ          ดินแดนของพรหมผู้ไม่เดือดร้อนทั้งกาย วาจา ใจ เพราะสามารถระงับนิวรณ์ได้


    ---14.สุทัสสาภูมิ          แดนของผู้เห็นสภาวธรรมแจ้งชัด


    ---15.สุทัสสีภูมิ          แดนของพรหมผู้เห็นธรรมแจ่มแจ้ง


    ---16.อกนิฎฐาภูมิ          แดนของพรหมที่มีคุณสมบัติมากพอจะนิพพานได้


    *อรูปภูมิ 4

    ---แดนของพรหมที่มีแต่จิต   ด้วยไม่พอใจที่รูปกายเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์      นานัปการ


    ---อากาสานัญจายตน  ภูมิแดนของพรหมที่มีแต่จิต เข้าถึง ภาวะมีอากาศไม่มีที่สุด 


    ---วิญญาณัญจายตน  ภูมิแดนของผู้ที่เข้าถึง ภาวะวิญญาณไม่มีที่สุด


    ---อากิญจัญญายตน  ภูมิแดนของผู้ที่เข้าถึง ภาวะไม่มีอะไร


    ---เนวสัญญานาสัญญายตน   ภูมิแดนของผู้ที่เข้าถึง ภาวะไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ มีสัญญาก็ไม่ใช่ 


    *วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง


    ---วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับไตรภูมิ เช่น ไตรภูมิโลกวินิจฉัย เรื่องเล่าจากไตรภูมิ สมุดภาพไตรภูมิ ฯลฯ


     

    *ไตรภูมิกถา หรือไตรภูมิพระร่วง


    ---ไตรภูมิกถา หรือไตรภูมิพระร่วง เป็นวรรณกรรมชิ้นเอกสมัยกรุงสุโขทัย นับเป็นวรรณคดีเรื่องแรก ของไทยเป็นพระราชนิพนธ์ ในสมเด็จพระศรีสุริยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราชหรือพระมหาธรรมราชาลิไทย เป็นวรรณคดีไทย  ที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทย ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยามาจนถึงปัจจุบัน เพราะได้รวบรวมเอาคติ  ความเชื่อ  ทุกแง่ทุกมุมของทุกชนชั้น  หลายเผ่าพันธุ์มาร้อยเรียงเป็นเรื่องราว  ให้ผู้อ่านผู้ฟังยำเกรงในการกระทำบาปทุจริต และเกิดความปิติยินดี  ในการทำบุญทำกุศล อาจหาญมุ่งมั่นในการกระทำคุณงามความดี


    ---พระมหาธรรมราชาลิไทย มีพระปรีชา  รอบรู้แตกฉานในพระไตรปิฎก อรรถกถาฎีกา  อนุฏีกา และปกรณ์พิเศษต่าง ๆ พระองค์ยังเชี่ยวชาญในวิชาโหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ และไสยศาสตร์  จนถึงขั้นทรงบัญญัติคัมภีร์ศาสตราคม  เป็นปฐมธรรมเนียมสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน


    ---ในปี พ.ศ.๑๘๘๘ พระยาลิไทย อุปราชผู้ครองนครศรีสัชนาลัย ได้ทรงนิพนธ์ไตรภูมิกถาขึ้น มีสาระสำคัญ คือ ทรงพรรณาถึงเรื่องการเกิด การตาย ของสัตว์ทั้งหลาย  ว่าการเวียนว่าย  ตาย  เกิด  อยู่ในภูมิทั้งสามคือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ


    ---ด้วยอำนาจของบุญและบาปที่ตน  ได้กระทำแล้ว  กามภูมิเป็นที่ตั้งแห่งความใคร่ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ อบายภูมิ และสุคติภูมิ


    ---อบายภูมิ ยังแบ่งออกเป็น 4 ภูมิ  ได้แก่   นรกภูมิ,  ติรัจฉานภูมิ,  เปรตภูมิ,  และอสูรกายภูมิ


    ---นรกภูมิ เป็นที่ตั้งของสัตว์ที่ทำบาป   ต้องไปรับทัณฑ์ทรมานนานาประการ แบ่งออกเป็นขุมใหญ่ ๆ ได้  


    ---8 ขุมด้วยกัน คือ 


    ---1.สัญชีพนรก มีอายุ ๕๐๐ ปี นรก        (๑ วันเท่ากับ ๙ ล้านปีของมนุษย์)


    ---2.กาฬสุตตนรก มีอายุ ๑,๐๐๐ ปีนรก  (๑ วันเท่ากับ ๓๖ ล้านปีของมนุษย์)


    ---3.สังฆาฏนรก มีอายุ ๒,๐๐๐ ปีนรก     (๑ วันเท่ากับ ๑๔๕ ล้านปีของมนุษย์)


    ---4.โรรุวะนรก มีอายุ ๔,๐๐๐ ปีนรก       (๑ วันเท่ากับ ๕๗๖ ล้านปีของมนุษย์)


    ---5.มหาโรรุวะนรก มีอายุ ๘,๐๐๐ ปีนรก (๑ วันเท่ากับ ๒,๓๐๔ ล้านปีของมนุษย์)


    ---6.ตาปนรก มีอายุ ๑๖,๐๐๐ ปีนรก        (๑ วันเท่ากัย ๙,๒๓๖ ล้านปีของมนุษย์)


    ---7.มหาตาปนรก มีอายุยาวนานนับไม่ถ้วน---8.อวีจีนรก หรือ อเวจีนรก มีอายุนับได้กัลป์หนึ่ง


    ---ในแต่ละนรก  ยังมีนรกบริวาร   เช่น นรกขุมที่ชื่อ  โลหสิมพลี เป็นนรกบริวารของสัญชีพนรก ผู้ที่เป็นชู้กับสามีหรือภริยาผู้อื่น จามาตกนรกขุมนี้ จะถูกนายนิรบาลไล่ต้อนให้ขึ้นต้นงิ้ว  ที่สูงต้นละหนึ่งโยชน์ มีหนามเป็นเหล็กร้อนจนเป็นสีแดง  มีเปลวไฟลุกโชนยาว ๑๖ นิ้ว ชายหญิงที่เป็นชู้กันต้องปีนขึ้นลง โดยมีนายนิรบาลเอาหอกแหลมทิ่มแทง  ให้ขึ้นลงวนเวียนอยู่เช่นนี้นับร้อยปีนรก


    ---สำหรับ ผู้ที่ทำบาป แต่ไม่หนักพอที่จะตกนรก ก็ไปเกิดในที่อันหาความเจริญมิได้ อื่น ๆ เช่น เกิดเป็นเปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน พวกที่พ้นโทษจากนรกแล้วยังมีเศษบาปติดอยู่ก็ไปเกิดเป็นเดรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสูรกายบ้าง เป็นมนุษย์ที่ทุพพลภาพพิกลพิการ ตามความหนักเบาของบาปที่ตนได้ทำไว้


    ---สุคติภูมิ เป็นส่วนของกามาพจรภูมิ หรือ กามสุคติภูมิ แบ่งออกเป็น 7 ชั้น คือ 


    ---1.มนุษย์ภูมิ 


    ---2.สวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกาภูมิ


    ---3.สวรรค์ชั้นตาวติงสาภูมิ (ดาวดึงส์ - ไตรตรึงษ์)


    ---4.สวรรค์ชั้นยามาภูมิ 


    ---5.สวรรค์ชั้นตุสิตาภูมิ (ดุสิต)


    ---6.สวรรค์ชั้นนิมมานรดีภูมิ 


    ---7.สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีภูมิ


    ---กามาพจร ภูมิทั้ง 7ชั้น เป็นที่ตั้งอันเต็มไปด้วยกาม เป็นที่ท่องเที่ยวของสัตว์ที่ลุ่มหลงอยู่ใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นอารมณ์อันพึงปรารถนา เมื่อรวมกับอบายภูมิอีก 4 ชั้นเรียกว่า กามภูมิ 11 ชั้น


    ---รูปภูมิ หรือรูปาวจรภูมิ ได้แก่ รูปพรหม 16 ชั้น เริ่มตั้งแต่พรหมปริสัชชาภูมิ ที่อยู่สูงกว่าสวรรค์ชั้นหก คือ ปรนิมมิตวสวัตดี มากจนนับระยะทางไม่ได้ ระยะทางดังกล่าวอุปมาไว้ว่า สมมติมีหินก้อนใหญ่เท่าโลหะปราสาทในลังกาทวีป หินก้อนนี้ทิ้งลงมาจากชั้นพรหมปริสัชชาภูมิ หินก้อนนั้นใช้เวลาถึง  4  เดือน  จึงจะตกลงถึงพื้น 


    ---จากพรหมปริสัชชาภูมิขึ้นไปถึงชั้นที่  11 ชื่อชั้นอสัญญีภูมิ เป็นรูปพรหมที่มีรูป  แปลกออกไปจากพรหมชั้นอื่น ๆ คือ พรหมชั้นอื่น ๆ มีรูป มีความรู้สึก เคลื่อนไหวได้ แต่พรหมชั้นอสัญญีมีรูปที่ ไม่ไหวติง ไร้อริยาบท โบราณเรียกว่า พรหมลูกฟักครั้นหมดอายุ ฌานเสื่อมแล้วก็ไปเกิดตามกรรมต่อไป



    ---รูปพรหมที่สูงขึ้นไปจากอสัญญี พรหมอีก 5ชั้นเรียกว่า ชั้นสุทธาวาส หมายถึงที่อยู่ของผู้บริสุทธิ ผู้ที่จะไปเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาสคือ ผู้ที่สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระอนาคามี  คือเป็นผู้ที่ไม่กลับมาสู่โลกนี้ต่อไป ทุกท่านจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วนิพพานในชั้นสุทธาวาสนี้


    ---อรูปภูมิ หรืออรูปาพาจรภูมิ มี 4 ชั้น เป็นพรหมที่ไม่มีรูปปรากฏ ผู้ที่ไปเกิดในภูมินี้คือผู้ที่บำเพ็ญเพียรจนได้บรรลุฌานโลกีย์ชั้นสูงสุด เรียกว่า  อรูปฌาน  ซึ่งมีอยู่ 4 ระดับ  ได้แก่ผู้ที่บรรลุอากาสานัญจายตนะฌาน (ยึดหน่วงเอาอากาศเป็นอารมณ์)  จะไปเกิดในอากาสานัญจายตะภูมิ   ผู้ที่บรรลุวิญญาณัญจายตนะฌาน (ยึดหน่วงเอาวิญญาณเป็นอารมณ์)  จะไปเกิดในวิญญาณัญจายตะภูมิ


    ---ผู้ที่บรรลุ  อากิญจัญญายตนะฌาน (ยึดหน่วงเอาความไม่มีเป็นอารมณ์) จะไปเกิดในอากิญจัญญาตนะภูมิ และผู้ที่บรรลุเนวสัญญานสสัญญายตนะฌาน (ยึดหน่วงเอาฌานที่สามให้ละเอียดลงจนเป็นผู้มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีญาก็มิใช่) จะไปเกิดในแนวสัญญานาสัญญายตนะภูมิ พรหมเหล่านี้  เมื่อเสื่อมจากฌานก็จะกลับมาเกิดในรูปพรหมภูมิ หรือภูมิอื่น ๆ ได้เช่นกัน


    *การกำเนิดของสัตว์ การเกิดของสัตว์ในสามภูมิมีอยู่  4 อย่างด้วยกันคือ 


    ---1.ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ เช่น มนุษย์และสัตว์เดรัจฉานบางชนิดที่เลี้ยงลูกด้วยนม


    ---2.อัณฑชะ เกิดในไข่ ได้แก่ สัตว์เดรัจฉานบางชนิด เช่น นก สัตว์เลื้อยคลานบางชนิด ปลา เป็นต้น


    ---3.สังเสทชะ เกิดในเถ้าไคล ได้แก่ สัตว์ชั้นต่ำบางชนิดที่ใช้การแบ่งตัวออกไป เช่น ไฮดรา อมิบา เป็นต้น


    ---4.โอปาติกะ เกิดขึ้นเอง เมื่อเกิดแล้วก็จะสมบูรณ์เต็มที่ เมื่อตายไปจะไม่มีซาก ได้แก่ เปรต อสูรกาย เทวดา และพรหม เป็นต้น


    *การตายของสัตว์ การตายมีสาเหตุ  4  ประการด้วยกันคือ 


    ---1.อายุขยะ          เป็นการตายเพราะสิ้นอายุ


    ---2.กรรมขยะ          เป็นการตายเพราะสิ้นกรรม


    ---3.อุภยขยะ          เป็นการตายเพราะสิ้นทั้ง อายุ และสิ้นทั้งกรรม


    ---4.อุปัจเฉทกรรมขยะ          เป็นการตายเพราะอุบัติเหตุ


    ---นอกจากนั้น  แล้วมีการกล่าวถึงสิ่งต่าง ๆ ในโลกและในจักรวาล  มีภูเขาพระสุเมรุราช  เป็นแกนกลาง แวดล้อมด้วยกำแพงน้ำสีทันดรสมุทร และภูเขาสัตตบรรพต อันประกอบด้วย ภูเขายุคนธร,  อินิมธร, กรวิก,   สุทัศนะ,  เนมินธร,  วินันตกะ,  และอัสสกัณณะ


    ---กล่าวถึง  พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดาวนพเคราะห์ และดารากรทั้งหลายในจักรวาล เป็นเครื่องบ่งบอกให้รู้วันเวลา  ฤดูกาล และเหตุการณ์ต่าง ๆ กล่าวถึงทวีปทั้ง 4 ที่ตั้งอยู่รอบภูเขาพระเมรุมาศ ชมพูทวีปอยู่ทางทิศใต้กว้าง ๑๐,๐๐๐ โยชน์ มีปริมณฑล ๓๐๐,๐๐๐ โยชน์ มีแผ่นดินเล็กล้อมรอบได้ ๕๐๐ มีแผ่นดินเล็กอยู่กลางทวีปใหญ่ 4 ผืน เรียกว่า สุวรรณทวีป กว้างได้ ๑,๐๐๐ โยชน์ มีประมณฑล ๓๐,๐๐๐ โยชน์ เป็นเมืองที่อยู่ของพญาครุฑ


    ---การกำหนดอายุของสัตว์และโลกทั้ง  3 ภูมิ มี กัลป์,  มหากัลป์,  การวินาศ,  การอุบัติ, การสร้างโลก สร้างแผ่นดิน  ตามคติของพราหมณ์


    *ท้ายสุดของภูมิกถา


    ---เป็นนิพพานคถา  ว่าด้วยนิพพานสมบัติของพระอริยะเจ้าทั้งหลาย วิธีปฏิบัติเพื่อบรรลุพระนิพพาน อันเป็นวิธีตามแนวทางของพระพุทธศาสนา.






    .......................................................................





    ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล

    อ้างอิง

    1.  นิยะดา เหล่าสุนทร, ไตรภูมิพระร่วง การศึกษาที่มา. กรุงเทพ : สำนักพิมพ์แม่คำผาง, 2543 หน้า 11

    เสฐียรโกเศศ, เล่าเรื่องไตรภูมิ. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์คลังวิทยา, 2518)

    รวบรวมโดย...แสงธรรม

    (แก้ไขแล้ว ป.)

     อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 25 กันยายน 2558


    ความคิดเห็น

    แสดงความคิดเห็น

    * *

     

    *

    view

    ประวัติต่างๆ

    ประวัติวัดเขาไกรลาศ

    ประวัติของหลวงพ่อเทียน=คลิป

    มาเช็คชื่อ-เช็คสกุลกันดีกว่า=คลิป

    ประวัติพระอธิการชิติสรรค์ จิรวฑฺฒโน=คลิป

    ขอเชิญผู้ร่วมบุญสร้างอาศรมเสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก

    ประวัติหลวงปู่เทพโลกอุดร

    ประวัติฝ่าพระหัตถ์ของพระพุทธองค์

    ประวัติของนางวิสาขา=คลิป

    ประวัติของอนาถปิณฑิกเศรษฐี=คลิป

    ประวัติของเศรษฐีขี้เหนียว

    ประวัติเหตุทำบุญที่ช้า=คลิป

    ประวัติของผู้ร่วมบุญ=คลิป

    ประวัติของพระไตรปิฎก=คลิป

    ประวัติการสร้างพระพุทธรูปและพระเจ้า ๕ พระองค์

    ประวัติง้วนดิน

    ประวัติปู่ฤาษีนารอท

    ประวัติพระปางมหาจักรพรรดิ์ ทรงปราบพระเจ้ามหาชมพูบดี

    ประวัตินางห้าม..แห่งขอมโบราณ

    ประวัติพญานาค

    ความรู้และรายละเอียดพุทธเจดีย์

    พระมหาโพธิสัตว์

    สาระธรรม

    ธรรมะส่องใจ

    อานิสงส์แต่ละอย่าง

    ประเพณีต่างๆ

    ตำนานทั่วไป

    สาระน่ารู้

    ปกิณกะธรรม

    วัตถุมงคล-สาระอื่นๆ

    ข้อมูลทั่วไป

    ปฎิทิน

    « March 2024»
    SMTWTFS
         12
    3456789
    10111213141516
    17181920212223
    24252627282930
    31      

    สมาชิก

    ลืมรหัสผ่าน?
    สมัครสมาชิก

    สถิติ

    เปิดเว็บ20/06/2011
    อัพเดท04/08/2023
    ผู้เข้าชม6,586,708
    เปิดเพจ10,327,320
    สินค้าทั้งหมด8

     หน้าแรก

     บทความ

     เว็บบอร์ด

     รวมรูปภาพ

     พระบรมสารีริกธาตุ

     โจโฉ รวมเสียงธรรม

     เฟสบุ๊ค

    ติดต่อเรา-

    view