ความเป็นมาเป็นไปในอินเดีย
---ประเทศอินเดียตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทวีปเอเซีย ลักษณะเป็นคาบสมุทรรูปสามเหลี่ยม ยื่นออกไปในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งมักเรียกว่า อนุทวีป มีขนาดกว้างใหญ่ไพศาล มีพื้นที่ประมาณ ๓,๒๖๗,๕๐๐ ตารางกิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับเจ็ดของโลก หรือประมาณสองในสามของพื้นที่ทวีปยุโรป ที่ไม่รวมประเทศรัสเซีย เส้นพรมแดนทางบกยาวประมาณ ๑๕,๒๐๐ กิโลเมตร ทางทะเลประมาณ ๕,๗๐๐ กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศต่าง ๆ มหาสมุทรและทะเล ดังนี้
---ทิศเหนือ ติดต่อกับประเทศจีน ทิเบต และเนปาล
---ทิศตะวันออก ติดต่อกับประเทศบังคลาเทศ และพม่า กับมีหมู่เกาะอันดามัน และหมู่เกาะนิโคบาร์ ในทะเลอันดามัน ของมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งอยู่ใกล้ประเทศพม่า ไทย และอินโดนิเซีย
---ทิศใต้ ติดต่อกับประเทศศรีลังกา มหาสมุทรอินเดีย และทะเลอาเรเบียน โดยมีหมู่เกาะลัคคาได์ว อยู่ในทะเลอาเรเบียน
---ทิศตะวันตก ติดต่อกับทะเลอาราเบียน และประเทศปากีสถาน
*ลักษณะภูมิประเทศ
---พื้นที่ของประเทศอินเดีย แบ่งออกได้เป็นเขตที่สำคัญอยู่สี่เขตด้วยกันคือ
---เขตภูเขา ประกอบไปด้วย เทือกเขาหิมาลัย ทางตอนเหนือซึ่งเป็นเทือกเขาสามเทือกทอดตัว เป็นแนวที่เกือบขนานกัน สลับไปด้วยที่ราบสูง และที่ลุ่มหุบเขาในบางแห่ง เช่น หุบเขาแคชเมียร์ และหุบเขาคูลู เป็นบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ และมีทิวทัศน์ที่งดงาม บรรดายอดเขาสูง ๆ ในเทือกเขาหิมาลัย มักจะอยู่ในแถบนี้ ภูเขาในเทือกเขาหิมาลัย จะมีระดับลดต่ำลง เมื่อเริ่มเข้าเขตตะวันออก เข้าสู่ชายแดนพม่า และบังคลาเทศ
---เขตที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคาและแม่น้ำสินธุ เป็นเขตที่ถัดลงมาจากเขตภูเขา มีขนาดพื้นที่กว้างประมาณ ๓๐๐ กิโลเมตร และยาวประมาณ ๑,๐๐๐ กิโลเมตร เป็นที่ราบอุดมสมบูรณ์ อันเกิดจากระบบแม่น้ำที่สำคัญ สามสายคือ แม่น้ำสินธุ แม่น้ำคงคา และแม่น้ำพรหมบุตร บริเวณดังกล่าวเป็นที่ตั้งรกรากอยู่อาศัยของประชากร ที่หนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เป็นบริเวณที่พื้นที่ส่วนใหญ่ ราบลุ่มเสมอกันมาก จนเกือบจะไม่มีความสูงต่ำแตกต่างกันเท่าใดนัก ดังจะเห็นได้จากบริเวณลุ่มแม่น้ำยมนา ที่กรุงเดลฮี ไปจนถึงปากอ่าวเบงกอล ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ ๑,๖๐๐ กิโลเมตร แต่มีระดับความสูงต่างกันเพียง ๒๐๐ เมตร เท่านั้น
---เขตทะเลทราย แบ่งออกได้เป็นพื้นที่สองส่วนย่อยคือ ส่วนทะเลทรายใหญ่ และส่วนทะเลทรายเล็ก
*ส่วนทะเลทรายใหญ่
---อยู่ตามแนวชายแดนของอินเดียกับปากีสถาน บริเวณรัฐราชสถาน ของอินเดีย กับจังหวัดสินธุ ของปากีสถาน
*ส่วนทะเลทรายเล็ก
---อยู่ทางตอนเหนือของส่วนทะเลทรายใหญ่ ขึ้นไปทางเหนือคือ จากบริเวณแม่น้ำลูนิ (Luni) ระหว่างเมืองชัยซาลเมด์ (Jaisalmer ) และเมืองจอดห์ปุระ (Jodhpur)
---ส่วนของทะเลทรายทั้งสองนี้ มีส่วนที่ไม่ได้เป็นทะเลทรายคั่นอยู่ ซึ่งเป็นบริเวณที่เต็มไปด้วยโขดหิน ขาดแหล่งน้ำและฝนแล้ง ทำให้บริเวณแห้งแล้งไม่แพ้เขตทะเลทรายแท้ ๆ
---เขตที่ราบสูงคาบสมุทรภาคใต้ คือ เขตคาบสมุทรเดคคาน (Deccan) มีอาณาเขตเริ่มจากตอนใต้ของเขตที่ราบลุ่มน้ำ โดยเริ่มจากแนวเทือกเขาใหญ่น้อยที่คั่นอยู่ เช่น เทือกเขาวินไชย (Vindhya) เทือกเขาสัตปุระ (Satpura) เทือกเขาไมคาลา (Maikala) และเทือกเขาอชันตา (Ajanta) เทือกเขาเหล่านี้มีความสูงต่างกัน ตั้งแต่ ๔๖๐ - ๑,๒๒๐ เมตร จากระดับน้ำทะเล
---สองฝั่งของเขตคาบสมุทรเดคคาน ก่อนถึงชายฝั่งทะเลมีเทือกเขากัทส์ (Ghats) ตะวันออก และเทือกเขากัทส์ตะวันตกขนาบอยู่ เทือกเขาดังกล่าวทางภาคตะวันออก อยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลมากกว่าทางฝั่งตะวันตก ทำให้หาดชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก ฝั่งอ่าวเบงกอลกว้างขวาง หาดชายทะเลในฝั่งตะวันตกด้านทะเลอาหรับ
---ฝั่งทะเลด้านตะวันตกมีภูเขาสูงชันตามชายฝั่ง ในฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ลมมรสุมจะพัดเกือบตั้งฉากกับชายฝั่ง ทำให้เกิดคลื่นลมแรง และไม่มีเกาะเป็นที่กำบังคลื่นลม มีท่าเรือตามธรรมชาติที่สะดวกต่อการจอดเรืออยู่สามแห่งคือ บอมเบย์ กัว และโคชิน
---ฝั่งทะเลด้านตะวันออก ไม่ได้รับคลื่นลมเต็มที่ ฝั่งทะเลลาดตื้นเรือใหญ่ไม่สามารถเข้าออกใกล้ฝั่งได้ ท่าเรือที่สร้างขึ้นทางฝั่งนี้ได้แก่ กัลกัตตา มัทราส และวิสาขาปัตนัม
---เทือกเขากัทส์ ทั้งสองฝั่งมาบรรจบกันตรงปลายคาบสมุทรในตอนใต้ บริเวณนี้เรียกว่า เขตเนินเขานิลคีรี (Nilgiri)
---ระบบแม่น้ำ แม่น้ำในอินเดียแบ่งออกได้เป็นสี่ประเภทคือ แม่น้ำหิมาลัย แม่น้ำคาบสมุทรเดคคาน แม่น้ำชายฝั่ง และแม่น้ำในดินแดนภายใน
*แม่น้ำหิมาลัย
---ปกติจะเกิดจากน้ำที่ละลายมาจากหิมะ ในภาคเหนือของอินเดีย ดังนั้น แม่น้ำเหล่านี้จะมีน้ำไหลเต็มที่อยู่ตลอดเวลา ในฤดูมรสุมเมื่อฝนตกมาก แม่น้ำเหล่านี้จะรับน้ำไว้ได้ไม่หมด จึงทำให้เกิดน้ำท่วมอยู่เสมอ
---ส่วนแม่น้ำในคาบสมุทรเดคคาน โดยปกติได้น้ำจากน้ำฝน ดังนั้นปริมาณน้ำในแม่น้ำดังกล่าว จึงมักจะมากน้อยไม่แน่นอน นอกจากนี้แม่น้ำย่อย ๆ ซึ่งไม่มีต้นกำเนิดจากแม่น้ำทั้งสองประเภทดังกล่าว และอยู่ตามชายฝั่งโดยเฉพาะในฝั่งตะวันตก จะมีเส้นทางสั้น ๆ และมีขนาดแคบ จึงรับน้ำได้ในปริมาณจำกัด
---สำหรับแม่น้ำในดินแดนภายใน เป็นลำน้ำเล็ก ๆ ไม่มีทางออกทะเล ปลายทางของแม่น้ำหากไม่ไหลลงแอ่งน้ำ ทะเลสาป ก็จะเหือดแห้งไปในทะเลทราย
---ระบบแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในอินเดียคือ แม่น้ำคงคา ซึ่งมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาหิมาลัย แม่น้ำสาขาในระบบแม่น้ำคงคาคือ แม่น้ำยมนา แม่น้ำกากรา แม่น้ำกันดัค และแม่น้ำโคสิ
---ที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคา จัดได้ว่ามีความอุดสมบูรณ์ และกว้างใหญ่ไพศาลที่สุด เป็นบริเวณกว้างถึงหนึ่งในสี่ของประเทศ ส่วนลุ่มน้ำของระบบแม่น้ำอื่น ๆ ที่มีความสำคัญ รองลงมาได้แก่ ลุ่มแม่น้ำโคธาวารี (Godavari) ในเขตที่ราบสูงเดคคาน ระบบน้ำตาปี (Tapi) ในภาคเหนือ และระบบน้ำเพนเนอร์ (Penner) ในภาคใต้
---การที่อินเดียถูกแวดล้อมด้วยพรมแดนธรรมชาติรอบด้าน คือ มีทั้งภูเขาและฝั่งทะเลเป็นพรมแดน ได้แยกอินเดียออกจากส่วนอื่น ๆ ของทวีปเอเชีย ทำให้อินเดียตั้งอยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง ซึ่งนับว่ามีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อวิถีชีวิตของชาวอินเดีย ทำให้ชาวอินเดียมีอารยธรรมและวัฒนธรรมที่มีลักษณะของตนเองโดยเฉพาะ และในโอกาสเดียวกัน พรมแดนธรรมชาติดังกล่าว ช่วยให้สามารถรักษาวัฒนธรรมของตนให้สืบเนื่องตลอดมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงสมัยปัจจุบัน ประชากรและวิถีชีวิตของประชากร
*ประชากรอินเดีย
---ประกอบด้วยชนชาติหลายเผ่า หลายเชื้อชาติ ศาสนาและวัฒนธรรม มีสีผิวตั้งแต่ผิวขาวถึงผิวดำ ความสูงต่ำ ดำ จางของสีผมและสีตา ทั้งนี้ด้วยเหตุที่อินเดียเป็นศูนย์รวมของเชื้อชาติหลาย ๆ เชื้อชาติ ตั้งแต่เริ่มประวัติศาสตร์ของชนชาติอินเดีย
---เชื่อกันว่าชาวพื้นเมืองดั้งเดิมของอินเดียมีผิวดำ รูปร่างเล็ก เตี้ย จมูกแบน เป็นพวกเชื้อชาติดราวิเดียน คนไทยส่วนมากเรียกชาวอินเดียว่า แขกอินเดียภารตะ คนอินเดียเรียกดินแดนของตนว่า ภารตวรรษ แปลว่า ที่อยู่ของชาวภารตะ ชาวภารตะถือว่าเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากพระพรต ผู้เป็นกษัตริย์ต้นวงศ์เการพ และปาณฑพ ในมหากาพย์ภารตะ แต่คนทั่ว ๆ ไปเรียกดินแดนนี้ว่าอินเดีย ซึ่งมาจากคำว่า สินธุ อันเป็นชื่อแม่น้ำสำคัญสายหนึ่งของอินเดีย และเป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ของโลกสายหนึ่ง
*ชนชาติพวกแรก
---ที่อพยพเข้ามาอยู่ในแถบลุ่มแม่น้ำนี้คือ ชนชาติเปอร์เซียน ชาวเปอร์เซียนเรียกแม่น้ำสินธุว่า ฮินดู
---ในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งกรีก ได้ยกกองทัพมารุกรานอินเดียจนถึงลุ่มแม่น้ำสินธุ ทำให้ชนชาติกรีกได้มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในแถบแม่น้ำนี้ กรีกเรียกแม่น้ำนี้ว่า Indos ชาวพื้นเมืองและชนชาติอื่นเรียกเพี้ยนไปเป็น Indus และได้กลายเป็น India
---ชาวเปอร์เซีย เป็นเชื้อสายอินโด ยูโรเปียน สาขาอินโดอารยัน มีผิวขาว จมูกโด่ง รูปร่างสูงใหญ่ เข้ามสมัยโมเฮนโจ - ดาโร (Mohenjo - Daro) และฮารัปปา (Harappa) ซึ่งเป็นความเจริญที่เกิดขึ้นประมาณ ๒๕๐๐ - ๑๕๐๐ ปี ก่อนพุทธศักราช ชนพื้นเมืองที่เป็นชนผิวดำ เป็นเผ่าดราวิเดียน เรียกกันว่า พวกมิลักขะ หรือทัสยุ พวกอินโดอารยันได้รุกรานพวกมิลักขะ เมื่อประมาณ ๑๐๐๐ ปี ก่อนพุทธศักราช สามารถเข้าครอบครองดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำสินธุ โดยได้ตั้งมั่นอยู่ในมณฑลปัญจาบ แล้วขยายอำนาจไปถึงลุ่มแม่น้ำคงคา ขับไล่พวกมิลักขะลงไปทางใต้แต่บางพวกไม่ยอมอพยพออกไป จึงตกเป็นทาษพวกอารยัน ดังนั้นคำว่า ทาส จึงมาจากคำว่า ทัสยุ นั่นเอง
---ในจำนวน ๒๒ รัฐของอินเดีย มีประชากรประกอบด้วย ชนหลายเชื้อชาติ ศาสนา และภาษา โดยมีเชื้อชาติต่างกันถึง ๒๐ เชื้อชาติ ส่วนใหญ่เป็นเผ่าอารยันและดราวิเดียน โดยเป็นเผ่าอารยันประมาณร้อยละ ๗๒ เผ่าดราวิเดียน ประมาณร้อยละ ๒๕ และเป็นเผ่ามองโกลอยด์ ประมาณร้อยละ ๓
---โดยอาศัยลักษณะภูมิประเทศ และภาษาพูด ประชากรอินเดียอาจแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ ๆ คือ
*อินเดียภาคเหนือ
---ประชากรมีลักษณะที่สืบเชื้อสายมาจากพวกอารยัน ซึ่งเข้ามาอยู่ในอินเดีย เมื่อประมาณ ๑,๐๐๐ ปี ก่อนพุทธกาล เป็นชนเผ่าที่มีอารยธรรมสูง และเป็นพวกปัญญาชน
---ชาวอารยันอาจมีเชื้อชาติเดียวกับชาวยุโรป พวกนี้ได้แบ่งชีวิตสังคมของตนออกเป็นชั้นวรรณะ ส่วนใหญ่พูดภาษาฮินดี มีรัฐใหญ่ ๆ อยู่หลายรัฐ เช่น ปัญจาบ ราชสถาน อุตรประเทศ ใช้ภาษาและขนบธรรมเนียมประเพณีที่คล้ายคลึงกัน
---สำหรับรัฐอื่น ๆ ที่ใช้ภาษาท้องถิ่นต่าง ๆ ที่สำคัญ เช่น แคว้นเบงกอลตะวันตก พูดภาษาเบงคลี ประชากรมีลักษณะที่สืบเชื้อสายมาจากพวกมองโกลอยด์ อาศัยอยู่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคา มีเมืองสำคัญคือ กัลกัตตา ประชากรใช้ภาษาอัสสมี และฮินดี ในรัฐปัญจาบ ประชากรพูดภาษาปัญจบี ภาษาเหล่านี้รวมเรียกว่า ภาษาอินโด - อารยัน
*อินเดียภาคกลาง
---เป็นเขตติดต่อระหว่างประชากรอินเดีย ที่ใช้ภาษาอินโด - อารยัน กับดราวิเดียน หรือภาษาทมิฬตอนใต้ ศูนย์กลางอยู่ที่เมืองบอมเบย์ แต่ก็มีประชากรในบอมเบย์ และที่อื่น ๆ ใช้ภาษาอื่น ๆ อีก เช่น พวกที่อยู่ทางด้านตะวันออกของที่ราบสูงเด็คคาน ใช้ภาษาเตลุคุ หรือที่เมืองปูนา ซึ่งเป็นศูนย์กลางของศาสนาพราหมณ์ ใช้ภาษาดุดรัต เป็นต้น
*อินเดียภาคใต้
---เชื่อกันว่าประชากรในภาคนี้สืบเชื้อสายมาจากคนดั้งเดิมของอินเดีย ซึ่งอยู่มาตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์คือ พวกดราวิเดียน หรือมิลักขะ พวกนี้มีรูปร่างเล็ก ผิวค่อนข้างดำ ส่วนใหญ่ใช้ภาษาทมิฬ มีศูนย์กลางอยู่ในแคว้นมัทราส มีเมืองทางชายฝั่งทะเลตะวันออก อันเป็นที่อยู่ของประชากรที่ใช้ภาษามลายลัม
---นอกจากพวกอารยัน และดราวิเดียน จะเป็นประชากรดั้งเดิมของอินเดีย แล้วก็ยังมีพวกอื่น ๆ อีก เช่น เปอร์เซีย กรีก ฮั่น อาหรับ เตอร์ก มองโกล ชนชาติต่าง ๆ เหล่านี้ได้เข้ามาอยู่ในอินเดีย และได้เป็นบรรพบุรุษของชาวอินเดีย ในปัจจุบัน
---ประชากรส่วนใหญ่ของอินเดีย ประมาณร้อยละ ๘๐ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชนบทประมาณ ๕๖๗,๐๐๐ แห่ง ที่เหลืออีกประมาณร้อยละ ๒๐ อาศัยอยู่ตามเมืองต่าง ๆ ประมาณ ๓,๖๐๐ เมือง คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ และศูทร พวกศูทรจะถูกเหยียดหยาม และถูกกีดกันจากคนที่มีวรรณะสูงกว่า แม้ว่ารัฐบาลกลางของอินเดีย จะไม่ยอมรับนับถือวรรณะ แต่ปัจจุบันการแบ่งชั้นวรรณะในสังคมอินเดียก็ยังมีอยู่
---ปัญหาประชากรที่มีความแตกต่างในเชื้อชาติ มีอยู่หลายกลุ่มที่มีความแตกต่างจากส่วนใหญ่ จะมีความสำนึกในเรื่องชาติพันธุ์ของตนมากขึ้นเรื่อย ๆ และประสงค์จะมีการปกครองตนเอง เช่น ชาวนาคา ในแคว้นอัสสัม ชาวมัดกาในรัฐพิหาร เป็นต้น ชนเหล่านี้ได้เรียกร้องต่อรัฐบาลกลาง และแบ่งกลุ่มถึงกับใช้กำลัง เพื่อให้ได้สิทธิการปกครองตนเอง
---ประชากรในชนบท ประเทศอินเดียมีลักษณะพื้นที่เป็นหมู่บ้านกระจายอยู่ทั่วไปประมาณร้อยละ ๗๐ ขนาดของหมู่บ้านมีตั้งแต่ที่มีประชากร ๕,๐๐๐ คน ไปจนถึงหมู่บ้านที่มีเพียง ๒๐๐ - ๓๐๐ คน
---ลักษณะของหมู่บ้านประกอบด้วยกลุ่มของครัวเรือน ที่ล้อมรอบด้วยทุ่งนาที่ทำกิน และที่เลี้ยงสัตว์ ติดต่อกับหมู่บ้านอื่น หรือโลกภายนอกด้วยถนนดินโคลนเหนียว ซึ่งส่วนมากในฤดูฝนจะใช้การแทบไม่ได้
---บ้านในชนบทโดยทั่วไปสร้างด้วยดินเหนียวผสมมูลวัว หลังคามุงด้วยใบไม้หรือใบปาล์ม ที่พักหรือห้องพักผ่อนจะเป็นที่เดียวกับที่นอน กล่าวคือ กลางวันใช้เป็นที่พักผ่อน กลางคืนใช้เป็นที่นอน ห้องครัวจะมีขนาดเล็ก บางบ้านจะมีห้องสำหรับเก็บอาหารเมล็ดพืชและเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ติดกับตัวบ้านจะเป็นคอกวัว หน้าบ้านจะมีสวนหน้าบ้าน และมีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ชื่อตุลสี (Tulsi) ใช้เป็นยาขนานวิเศษรักษาโรคต่าง ๆ และเป็นที่สิงสถิตย์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่คุ้มครองบ้านด้วย ด้านข้างของลานหน้าบ้านจะมีบริเวณที่เรียกว่า นอกชาน (Veranda) เป็นสถานที่ที่สมาชิกในครอบครัวพบปะกัน และพบปะกับเพื่อนบ้าน เป็นศูนย์รวมข่าวและกระจายข่าว
---ตามหมู่บ้านที่ไม่มีแม่น้ำหรือลำห้วยผ่าน จะมีบ่อน้ำที่ใช้สำหรับเป็นน้ำดื่ม น้ำใช้ การใช้ประโยชน์จากบ่อน้ำดังกล่าวเป็นหน้าที่ของผู้หญิง ทำให้บรรดาผู้หญิง ได้มีโอกาสพบปะกัน และเป็นแหล่งข่าวสำคัญ บรรดาข่าวสารต่าง ๆ จะแพร่ออกไปจากแหล่งนี้ เพราะชาวอินเดียจะมีโอกาสอ่านหนังสือพิมพ์ หรืออ่านหนังสือได้เพียงประมาณร้อยละ ๓๐ เท่านั้น
*แบบอย่างชีวิตในชนบทของอินเดีย
---มีความใกล้ชิดกับหมู่บ้าน ซึ่งตั้งอยู่บนฐานของเศรษฐกิจคือ การเกษตร อันมีความเกี่ยวโยงคนกับที่ดิน แต่ละครอบครัวมีที่ดินเป็นของตนเอง การทำงานจะใช้แรงงานคนในครอบครัว ที่ดินจึงมีความสำคัญต่อการผลิตภายในประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งได้กำหนดโครงสร้างทางสังคม ปรัชญาและอุดมคติสำหรับชาวชนบท
*คุณลักษณะของชีวิตชาวชนบทของอินเดีย
---พอจะประมวลได้ดังนี้
---ทางด้านเศรษฐกิจ การผลิตทางเศรษฐกิจเป็นการผลิตเบื้องต้น และเป็นแบบเก่า ซึ่งได้กำหนดโครงสร้างทางสังคม และแบบแผนของการดำเนินชีวิตของชาวอินเดีย ในชนบททั่วอินเดีย การประกอบอาชีพของชาวชนบทคือการเกษตรกรรม และใช้แรงงานคนเป็นส่วนสำคัญ
---มีความใกล้ชิดกับธรรมชาติ อิทธิพลของธรรมชาติได้กำหนดวิถีชีวิตของชาวอินเดียในชนบทในหลาย ๆ ด้าน เช่น ขนบธรรมเนียมประเพณี บุคลิกภาพและความเชื่อต่าง ๆ
---ขาดความชำนาญในการผลิตทางเศรษฐกิจ ทำงานตามฤดูกาล การดำเนินชีวิตเป็นแบบง่าย ๆ ไม่มีการคิดค้นวิธีการใหม่ ๆ มาใช้
---ถูกควบคุมโดยสถาบันของสังคมเก่า เช่น ครอบครัว วรรณะ แบบแผนของการดำเนินชีวิต ถูกกำหนดให้ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ
---ข้อบังคับทางศาสนา มีการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด อิทธิพลของศาสนาได้กำหนดวิถีชีวิตของชาวชนบทในหลาย ๆ ด้าน เช่น ด้านสติปัญญา อารมณ์ แนวทางการปฏิบัติ รูปแบบของศิลปะ และบรรทัดฐานของสังคมทางเชื้อชาติ
---วรรณะ (Caste) ชาวชนบทในอินเดียประกอบด้วยกลุ่มวรรณะต่าง ๆ วรรณะมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ได้กำหนดหน้าที่สถานภาพ และอาชีพของบุคคลไว้อย่างชัดแจ้ง หน้าที่ทางการบริหารทั้งหมดถูกแบ่งโดยวรรณะ
---การที่ประชาชนอินเดียส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู ซึ่งศาสนานี้ได้แบ่งชั้นวรรณะของคนตามชาติกำเนิด แต่ละวรรณะไม่สามารถเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันด้วยกิจกรรมใด ๆ เป็นอันขาด แต่ละวรรณะก็แบ่งหน้าที่ของตนโดยเฉพาะ จึงเข้าลักษณะต่างกลุ่มต่างวรรณะ ต่างคนต่างอยู่ ไม่ปะปนกัน มีความรังเกียจเดียดฉันท์ซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ยังมีคนนับถือศาสนาอื่น เช่น พุทธ คริสต์ อิสลาม ซิกข์และเชน จึงต่างแยกกันอยู่เป็นหมู่เหล่า ไม่สังสรรค์กัน แต่ละกลุ่มต่างก็ปรับปรุงตนให้เข้ากับธรรมชาติ และสภาพของสังคม ผู้คนในชนบทจึงอยู่กันอย่างโดดเดี่ยว เฉพาะคนในศาสนาหรือวรรณะเดียวกัน
---ประชากรในเมือง พื้นที่ที่เป็นเขตเมืองนับว่ามีส่วนสำคัญอยู่มากในประวัติศาสตร์ของอินเดีย
---ในสมัยเมื่อประมาณ ๑,๕๐๐ ปีก่อนพุทธศักราช อินเดียมีชุมชนที่เป็นเมืองใหญ่ ๆ อยู่สองแห่งคือโมเฮนโจ - ดาโร (Mohenjo - Daro) และฮารัปปา (Harappa) แต่ละแห่งมีประชากรประมาณ ๔๐,๐๐๐ คน
---เมืองเก่าแก่บางเมืองของอินเดียเช่น เมืองพาราณสี มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล
---เมืองที่มีประชากรมากกว่าแสนคน มีอยู่ไม่น้อยกว่า ๑๕๐ เมือง ในจำนวนนี้มีอยู่ไม่น้อยกว่า ๑๐ เมือง ที่มีประชากรมากกว่าล้านคนคือกัลกัตตา ๗ ล้านคน บอมเบย์ ๖ ล้านคน เดลฮี ๔ ล้านคน มัทราช ๓.๕ ล้านคน ไฮเดอราบัด ๒ ล้านคน อาเมตบัด ๒ ล้านคน บังกาลอ ๒ ล้านคน กัมเปอร์ ๑.๕ ล้านคน พุเน ๑.๕ ล้านคน โดยประมาณเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๕
---เมืองพาราณสี เป็นเมืองเก่าแก่ที่รุ่งเรืองมาตลอด ส่วนเมืองกัลกัตตา บอมเบย์ และมัทราช เจริญและขยายตัวมากในช่วงที่อังกฤษเข้ามาครอบครองอินเดีย และมีการพัฒนาแบบประเทศทางตะวันตก
---ความแออัด เนื่องมาจากการพัฒนาเพื่อการชุมชน ไม่ทันกับการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประชากร เป็นผลให้เกิดสลัมในเมืองใหญ่ ๆ มากมาย ชาวเมืองเป็นจำนวนมาก ไม่มีบ้านอยู่อาศัย ต้องอาศัยอยู่ตามริมถนน ทางเดิน อาศัยวัสดุที่พอหาได้มาทำเป็นที่กำบังให้พออยู่ได้
---ในเมืองเหล่านี้จะเห็นความเหลื่อมล้ำอย่างถึงที่สุดระหว่างคนรวยกับคนจน สลัมจะอยู่ริมร่มเงาของบ้าน ที่เป็นคฤหาสน์ใหญ่โตเหมือนวัง พวกขอทานตามถนน ห้อมล้อมรถยนต์คันใหญ่ราคาแพง เป็นสิ่งที่พบเห็นเป็นปกติของชุมชนใหญ่ ๆ ที่แออัดในอินเดีย
---ทัศนคติของคนอินเดียต่อชาวต่างประเทศ อาจจำแนกออกได้เป็นสามประเภทคือ
*ทัศนคติต่อชาวเอเซียด้วยกัน
---ชาวอินเดียมีความยึดมั่นในความเป็นอินเดียสูงมาก คนอินเดียจะมองคนญี่ปุ่น และจีน เป็นเพื่อนผู้มีฐานะเท่าเทียมกันกับตน ส่วนคนชาติอื่น ๆ ในเอเซียด้วยกัน คนอินเดียจะมองว่าด้อยกว่าตน โดยเฉพาะคนไทย ชาวอินเดียจะมองว่าคนไทยเป็นลูกไล่ เป็นฝ่ายที่อินเดียถ่ายทอดวัฒนธรรมต่าง ๆ ให้ แม้พระพุทธเจ้าก็เป็นคนอินเดีย และเกิดหลังเทพของพราหมณ์ และฮินดู
---การให้เกียรติคนอื่นและความเป็นสุภาพบุรุษ มีความเกรงอกเกรงใจผู้อื่นของชาวอินเดีย จึงมีน้อยมากในสายตาคนไทย จึงมองคนอินเดียว่าเป็นแขก และแขกคือ พวกที่มีนิสัยเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้
---พฤติกรรมดังกล่าว ของชาวอินเดียยังความเกลียดชังแก่ชาวเอเซียมาก และชาวเอเซียก็มองคนอินเดียในแง่ของความยากจน ทิฐิ ซึ่งก่อให้เกิดความช้ำใจแก่คนอินเดียมาก
*ทัศนคติต่อชนผิวขาว
---มีลักษณะแตกต่างไปจากทัศนคติต่อชาวเอเซียด้วยกัน อันเป็นผลสืบเนื่องจากพฤติกรรม ของชาวอังกฤษในระหว่างที่เข้ามายึดครองอินเดีย ชาวอังกฤษมีพฤติกรรมต่อชาวอินเดียเยี่ยงนายกับบ่าว พฤติกรรมดังกล่าวยังฝังใจชาวอินเดียสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้เกิดทัศนคติที่ไม่ดีต่อชนต่างชาติผิวขาว
---อย่างไรก็ดี ชาวอินเดียไม่ได้แสดงอาการเกลียดชังชนผิวขาวอย่างออกนอกหน้า โดยเฉพาะต่อชาวอังกฤษรวมทั้งประเทศในเครือจักรภพด้วย อินเดียถือว่าอังกฤษได้ช่วยสร้างสมพัฒนาบ้านเมืองให้มากมาย
*ทัศนคติต่อชนในประเทศเพื่อนบ้าน
---ด้วยเหตุที่อินเดียเป็นประเทศเก่าแก่ที่มีอาณาเขตติดต่อกับหลายประเทศ มีความขัดแย้งกัน และรบราฆ่าฟันกันมามาก ความรู้สึกของชาวอินเดียต่อประเทศเพื่อนบ้าน จึงเป็นความรู้สึกที่หนักใจ ขมขื่น ที่มีเสมือนหอกข้างแคร่ หรือหนามยอกอก เช่น กรณีปัญหาแคว้นปัฐจาบ ที่มีว่ามีประเทศเพื่อนบ้านทางด้านนั้นอยู่เบื้องหลัง ปัญหากับประเทศศรีลังกา บังคลาเทศ เนปาล ในกรณีที่ชาวบังคลาเทศและเนปาล อพยพเข้าไปทำมาหากิน ค้าขาย ตลอดจนมีตำแหน่งทางราชการ และมีอิทธิพลทางสังคมวัฒนธรรมเหนือชาวพื้นเมือง ก่อให้เกิดความไม่พอใจจากชาวพื้นเมือง เกิดการจราจลยกพวกขับไล่ชาวต่างชาติ ที่อพยพถึงขั้นฆ่าฟันกันอย่างนองเลือด โดยเฉพาะในมณฑลอัสสัม ก่อให้เกิดปัญหาอย่างมากแก่รัฐบาลกลาง
---การหยิ่งในความเป็นอินเดีย อันเนื่องมาจากอารยธรรมของอินเดียเอง เป็นฐานหลักนำไปสู่ความมีชาตินิยมสูง ชาวอินเดียมีค่านิยม และทัศนคติ ที่น่าสนใจหลายประการด้วยกันคือ การห้าม และไม่ให้นิยมเห่อเหิมกับวัฒนธรรม และแม้แต่เทคโนโลยีใหม่ ๆ จากชาติที่เจริญพัฒนามาแล้ว การแต่งกาย ความเป็นอยู่ง่าย ๆ และการไว้ตัวของสตรีอินเดีย ก็เป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงทัศนคติ ที่คนอินเดียมีต่อชนชาติของเขาเอง และต่อชาติอื่น ๆ
*พัฒนาการทางวัฒนธรรม
---อินเดียเป็นดินแดนเก่าแก่ และเป็นแหล่งอารยธรรมสำคัญของโลก เป็นต้นตอของวัฒนธรรมตะวันออก เป็นแหล่งศาสนาของโลก เป็นแหล่งกำเนิดวรรรณคดีที่สำคัญ อารยธรรมเหล่านี้มีความสำคัญ และมีอิทธิพลต่อดินแดนใกล้เคียงเป็นอย่างยิ่ง
---อารยธรรมแถบลุ่มน้ำสินธุ ได้ปรากฎมากว่า ๕,๐๐๐ ปีแล้ว สันนิษฐานว่า น่าจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด กับวัฒนธรรมกับ ชน "สุมาเรีย" มาก่อน ก่อนสมัยที่ชนชาวอารยันจะเริ่มอพยพเข้ามาสู่อินเดีย จากเอเซียกลาง ชนชาวอารยันได้นำเอาศาสนา ปรัชญา และขนบธรรมเนียมประเพณีของตนเข้ามาด้วย และเมื่อเข้ามาอยู่แล้ว ก็ได้รับเอาอารยธรรมซึ่งมีอยู่ก่อนแล้ว ในอินเดียเข้าไว้ด้วย
---ในสมัยต้นพุทธกาล การประกาศพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า และศาสนาเชน ของพระมหาวีระ ทำให้เกิดมีการปฎิรูปทางสังคม ตามหลักธรรมคำสอนของทั้งสองศาสนา
---เมื่อปี พ.ศ.๒๑๗ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ได้ยกทัพมารุกรานอินเดีย ได้สร้างรอยจารึกในด้านความเชื่อถือเกี่ยวกับอำนาจลึกลับ มหัศจรรย์ และในด้านศิลปของอินเดียไว้อย่างลึกซึ้ง
---พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงละจากการทำสงคราม หันมานับถือพระพุทธศาสนา ประกาศตนเป็นพุทธมามกะ ยึดถือมนุษยธรรมเป็นหลัก ก่อให้เกิดศิลปก่อสร้างทางสถาปัตยกรรม เจริญเฟื่องฟูอย่างมาก และได้ส่งผู้แทนคณะต่าง ๆ ออกไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาในนานาประเทศ อิทธิพลของอินเดีย ก็ได้แผ่ขยายกว้างขวางออกไปถึงเอเซียตะวันออก พร้อมกันไปด้วย
---ในอีกหนึ่งพันปีต่อมา งานศิลปะประดิษฐ์อันยิ่งยงก็ได้ปรากฎขึ้นอย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ศิลปแกะสลัก และก่อสร้างทางศาสนา ดังที่ปรากฎอยู่ทั่วไปในอินเดีย จนถึงปัจจุบันนี้
---ชนชาวมุสลิม ทั้งที่เป็นพ่อค้าวานิช และที่เป็นผู้รุกรานได้เริ่มเข้ามาในอินเดียตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๓ ส่วนชาวโมกุลที่เข้ามายึดครองอินเดียไว้ จนถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๔ นั้นได้พากันเข้ามาเมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ผู้ที่เข้ามาครอบครองอินเดียใหม่นี้ ได้นำเอาแบบแผนประเพณี ศิลปการช่างต่าง ๆ รวมทั้งความรู้ ความสามารถอื่น ๆ ของตนโดยเฉพาะเข้ามาด้วย
---ชาวโมกุล ได้พยายามรวมอินเดียเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยอาศัยการก่อตั้งระบบการปกครองอันก้าวหน้า ขึ้นไว้ในภูมิภาคต่าง ๆ ระบบการปกครองดังกล่าวได้ถือปฎิบัติต่อมา จนประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๔
---เมื่ออำนาจการปกครองของชนชาวมุสลิมเสื่อมโทรมลง อังกฤษซึ่งเข้ามาในฐานะพ่อค้าก็ได้เข้าครอบครองอินเดียสืบต่อมา เป็นผลให้อินเดียสามารถรวมตัวกันเข้าอยู่ภายใต้อิทธิพล ตามแนวนึกคิดของตะวันตก
---สรุปแล้ว จะเห็นว่าในอินเดียนั้น ได้มีการผสมผสานทางเชื้อชาติ และวัฒนธรรมของชนต่างเผ่าพันธุ์ วรรณะ อย่างกว้างขวาง ในขณะที่ชนชาวอินเดียต่างก็ดำเนินชีวิต ความเป็นอยู่ตามแนวประเพณีที่ตนถือปฎิบัติกันอยู่แล้ว หลายศตวรรษโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง
---ปรัชญาและค่านิยม วัฒนธรรมของอินเดีย ไม่สามารถแยกปรัชญา และศาสนาออกจากกันได้
*ค่านิยมของอินเดีย
---เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ ยิ่งกว่าจีน และญี่ปุ่น ตามประวัติศาสตร์ยุคแรกของอินเดีย เป้าหมายที่สำคัญคือ จิตใจของมนุษย์ และการเข้าถึงสันติทางวิญญาณเป็นเป้าหมายของมนุษย์
---หลักคำสอนสำคัญของอินเดีย เน้นถึงความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง อยู่เหนือกาลเทศะ เหนือเหตุผลทุกอย่าง เป็นสิ่งที่สิ้นสุดแสดงออกเป็นถ้อยคำไม่ได้ มีลักษณะเป็นหนึ่ง สิ่งนั้นคือ พรหมหรือพรหมัน พรหมเท่านั้นเป็นสิ่งที่แท้จริง ความแท้จริงที่สมบูรณ์เป็นนามธรรม ทุกอย่างจะกลมกลืนกันเมื่อเข้าถึงโมกษะ คือ พ้นจากพันธนาการโลก พ้นจากสังสารวัฏที่อวิชชาได้สร้างขึ้น
---ศิลปะของอินเดีย ศิลปะอินเดียก็เหมือนกับลักษณะอื่น ๆ คือมุ่งสร้างความกลมกลืนระหว่างอดีตกับปัจจุบัน
---ในถ้ำคูหาโบราณสถานที่มิสซาฟุรและในที่อื่น ๆ จะพบภาพจิตรกรรมเก่าแก่ เขียนเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ การเขียนภาพระบายสี มีหลักฐานแสดงว่า ได้ถือกำเนิดในยุคหินระยะหลังของอินเดีย ในระหว่างสมัยพุทธกาล การเขียนภาพลวดลายได้ก้าวหน้าไปถึงขั้นสมบูรณ์สูงสุด อย่างชนิดที่จะหาสิ่งที่เจริญอื่นใดมาเปรียบเทียบได้
---คูหาวิหารที่สร้างขึ้นด้วยการสกัดถ้ำคูหาของโขดเขาที่อะชันตา มีความสูงส่งในแนวความคิดและความเด่นในฝีมืออย่างน่าอัศจรรย์ อาจกล่าวได้ว่า ไม่มีผลงานทางสถาปัตยกรรม ประติมากรรมและจิตรกรรมที่ใดที่จัดว่าสมบูรณ์ยอดเยี่ยม เช่น ที่อะชันตา เอลลอรา และบาดามิ
*ดนตรีและการฟ้อนรำ
---ต้นกำเนิดของศาสนาของอินเดียมีมาแต่การบูชาบวงสรวง ชาวอินเดียเล่นดนตรีด้วยเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย คล้ายกับว่าความผสมกลมกลืนของเสียงดนตรี คือสรวงสวรรค์ เสียงขับร้องของคน และเสียงจากการบรรเลงของเครื่องดนตรี จะสะท้อนถึงกันและกัน
---ในด้านการฟ้อนรำ เป็นการฟ้อนอย่างมีแบบแผนซึ่งมีมาช้านานกว่าสามพันปี ภารตะได้เขียนตำรานาฏศาสตร์ขึ้นไว้ในพุทธศตวรรษที่สาม ผู้ฟ้อนรำบรรยายเรื่องราว โดยใช้การเคลื่อนไหวของมือและเท้า ประกอบกับการแสดงท่าทีอาการด้วยตา และใบหน้า
---ปัจจุบัน การฟ้อนรำแบบแผนสำคัญ ๆ มีอยู่สี่แบบคือ "ภารตนาฏยัม" เป็นการฟ้อนตามกฎเกณฑ์แต่โบราณของภาคใต้ แสดงโดยนักฟ้อนรำประจำวัดวาอารามต่าง ๆ ในการประกอบพิธีบวงสรวง ตามแบบอย่างที่ได้ปฏิบัติติดต่อกันมารหลายศตวรรษ "กถึกกาลิ" เป็นแบบฟ้อนรำที่เกิดจากเดราลา แสดงให้ผู้ชมได้เห็นโลกของเทพเจ้า และภูติผีปีศาจ ผู้แสดงแต่งตนสีฉูดฉาด และแสดงบทบาทด้วยท่วงท่าเข้มแข็ง คึกคัก "มณีปุริ" เป็นแบบฟ้อนรำของภาคเหนือ มีลีลาการแสดงที่ประกอบด้วย อาการเคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวล ละมุนละไม และ "กถึก" เป็นแบบฟ้อนรำซึ่งวิวัฒนาการภายใต้การสนับสนุนส่งเสริมของราชวงศ์โมกุล การฟ้อนรำแบบนี้อาศัยจังหวะเป็นสำคัญ
---ศิลปะฟ้อนรำพื้นเมือง ประกอบด้วยลีลาร่ายรำหลายรูปแบบ ที่นิยมแพร่หลายที่สุดก็คือ การฟ้อนรำแบบมณีปุระ ซึ่งผู้แสดงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สีสวยสดงดงาม
---เครื่องแต่งกายชั้นหนึ่งของสตรีที่ดึงดูดความสนใจของชาวต่างชาติคือ "ส่าหรี" ผ้าที่ใช้ทำส่าหรีจะมีความยาวระหว่างห้าถึงเก้าหลา เป็นได้ทั้งผ้าฝ้ายและผ้าไหมปักเป็นดอกดวงลวดลายต่าง ๆ กัน ส่งประกายวาววับ เครื่องแต่งกายของบุรุษ ที่จัดไว้คู่กันเรียกว่า "โคติ" มีทั้งชนิดที่มีขอบ และไม่มีขอบ เป็นเครื่องแต่งกายของบุรุษที่เกิดขึ้น เมื่ออิทธิพลของเปอร์เซีย และโมกุล แผ่ขยายเข้ามาสู่อินเดีย
---สตรีในชนบทนิยมแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีฉูดฉาดบาดตา ผ้าโพกศีรษะเป็นเครื่องแต่งกายส่วนหนึ่งของบุรุษในรัฐราชสถาน และในหมู่ชาวซิกข์ ผ้าโพกศีรษะเป็นสิ่งที่ได้รับความพิถีพิถันเป็นพิเศษ ส่วนชาวพื้นเมืองก็มีเครื่องแต่งกายมากมาย
---วรรณคดี อินเดียมีวรรณคดีเก่าแก่ ลึกซึ้ง และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง แม้ในต่างประเทศ เช่น เรื่องมหาภารตยุทธ และรามายณะ ซึ่งเป็นต้นฉบับของเรื่องรามเกียรติของไทย นอกจากนี้ยังมีเรื่องนิทานต่าง ๆ เช่น หิโตประเทศ นิทานเวตาล เป็นต้น
---รัฐบาลอินเดียได้จัดตั้งสถาบัน รวบรวมและศึกษาเกี่ยวกับวรรณคดีอินเดีย และได้แปลออกเป็นภาษาต่าง ๆ ที่ใช้อยู่ในอินเดียปัจจุบัน และเผยแพร่ให้แก่ชาวอินเดีย รวมทั้งประเทศอื่นได้ทราบอีกด้วย
---อินเดีย นั้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นชาติเดียวในโลก ที่แนวทางชีวิตแบบดั้งเดิมพื้นเมือง และแบบก้าวหน้าตามสมัยนิยม ยังคงเดินควบคู่กันไป อย่างผสมกลมเกลียวกันตลอดมา แม้จะมีสภาพที่ยังมีการต่างพวก ต่างวรรณะ ต่างศาสนา ต่างค่านิยม ที่มีอยู่อย่างมากหลาย แต่ชาวอินเดียก็รักชาติ รักอินเดีย มีความภาคภูมิใจในอินเดียอย่างหาชาติใดเปรียบได้ยาก เพราะอินเดียมีอารยธรรม วัฒนธรรมเป็นตัวผูก เป็นฐานหลักให้อินเดียมีเอกลักษณ์ มีความพิเศษอยู่ในตัวของอินเดียเอง
---วัฒนธรรมของอินเดียได้แพร่เข้ามาสู่ไทย ทางศาสนประเพณีบางอย่าง ไทยได้นำเอามาใช้ตั้งแต่สมัยสุโขทัย ประเพณีส่วนมากที่ใช้กันอยู่ยึดถือแบบพราหมณ์ เช่น พิธีโกนจุก บวชนาค แรกนาขวัญ ทางสถาปัตยกรรม ก็มีเกี่ยวกับการปั้นพระพุทธรูป เป็นต้น
---การจัดลำดับชั้นของสังคม ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู เป็นศาสนาที่ชาวอินเดียส่วนใหญ่ ประมาณร้อยละ ๘๒ นับถือ ศาสนานี้มีความเชื่อเรื่องวรรณะ หรือชนชั้นในสังคม เป็นระบบที่เข้มงวดมานานนับพันปีแล้ว แต่ละวรรณะมีกฎเกณฑ์กำหนดระเบียบความประพฤติ และประเพณีในหมู่ของตน มีข้อกำหนดเรื่องการแต่งงาน อาหารการกิน การปฎิบัติทางศาสนา ผู้ที่ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์วรรณะของตน อาจได้รับโทษหนักเบา แล้วแต่กรณี หรืออาจขับไล่ออกจากวรรณะก็ได้ ผิดกับระบบชั้นของสังคมของชาติอื่น ๆ
---คำว่า วรรณะ แปลว่า สี อักษร ชาติ กำเนิด ลักษณะ คุณสมบัติ รูป ประเภท
---ในคัมภีร์พระเวท สอนไว้ว่า มนุษยชาตินั้นหากจะแบ่งประเภทออกไปแล้ว ย่อมสามารถแบ่งได้เป็นสี่ประเภท หรือสี่วรรณะด้วยกันคือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ และศูทร
*วรรณะพราหมณ์
---ได้แก่ ผู้ยังความแพร่หลายให้เกิดแก่วิทยาการด้านต่าง ๆ กล่าวคือ หากมีความชำนาญในวิชาหนึ่งวิชาใด แล้วนำเอาวิชานั้นไปสอน หรือเผยแพร่ให้แก่ผู้อื่น ๆ ถือว่าเป็นครู อาจารย์ ในวิชาหนึ่ง ๆ เช่น วิชาจิตศาสตร์ นิติศาสตร์ ดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ อักษรศาสตร์ แพทยศาสตร์ บุคคลที่ทำหน้าที่นี้ถือว่าเป็นวรรณะพราหมณ์
---คำว่า พราหมณ์ หมายถึง ผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับ พระพรหม พระเวท และอาตมัน ในคัมภีร์ธรรมศาสตร์บอกไว้ว่า ผู้เป็นพราหมณ์ ย่อมมีลักษณะ ๑๑ ประการ ตามธรรมชาติ หรือเรียกว่า ธรรมของพราหมณ์
---ผู้ที่เป็นพราหมณ์อาจประกอบการกสิกรรม การค้าขายหรือธุรกิจอื่นได้ เพื่อการครองชีพที่สมควรในยามยากลำบาก หรือคราวภาวะคับขัน
*วรรณะกษัตริย์
---ได้แก่ ผู้ที่เป็นนักรบหรือผู้ป้องกัน เป็นวรรณะที่สองรองมาจากวรรณะพราหมณ์ มีสิทธิปกครองประเทศชาติ นั่นก็คือผู้ที่ทำหน้าที่เป็นกษัตริย์ ซึ่งวรรณะก็ต้องมีธรรมะของกษัตริย์ ๑๑ ประการ ทำนองเดียวกับวรรณะพราหมณ์ แต่ไม่เหมือนกัน
---ผู้ที่อยู่ในวรรณะกษัตริย์มีหน้าที่รักษา คุ้มครองป้องกันรักษาดินแดน รู้จักใช้อาวุธต่าง ๆ รู้จักใช้ยุทธวิธีตามสมัย ตลอดจนรู้หลักวิชากฎหมายด้วย แต่หากจำเป็นในยามวิบัติ พระธรรมศาสตร์ก็อนุญาตให้ประกอบอาชีพอื่นได้ เช่น เป็นครูอาจารย์การทำกสิกรรมและการค้าขาย เพื่อการครองชีพได้
*วรรณะแพศย์
---ได้แก่ ผู้ที่ทำหน้าที่ประกอบการกสิกรรมและพาณิชยการต่าง ๆ แต่ในยามวิบัติกาล พระธรรมศาสตร์ ก็อนุญาตให้อาจประกอบอาชีพอื่นได้ทุกอย่างตามกาลเทศะ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องเป็นอาชีพที่สุจริตเท่านั้น
*วรรณะศูทร
---เป็นวรรณะที่สี่ ถือว่าวรรณะนี้มีกำเนิดมาจากบาทของพระพรหม ฉะนั้นจึงทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้ในกิจการต่าง ๆ โดยทั่วไป วรรณะศูทรมีลักษณะเจ็ดประการ เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้วรรณะที่สูงกว่าทั้งสามวรรณะคือ พราหมณ์ กษัตริย์ และแพศย์
---ในอินเดียมีความพยายามที่จะเลิกระบบชนชั้นมาโดยตลอด ผู้ที่ดำเนินการท่านแรกคือ พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงนำแบบก้าวหน้า ในสังคมชาวพุทธจะไม่มีชนชั้น มีแต่ความเสมอภาคกัน แต่สังคมอินเดียเห็นว่าเป็นอุดมคติเกินไป ชาวอินเดียส่วนใหญ่จึงรับไม่ได้ และศาสนาพุทธก็ถูกศาสนาฮินดู พยายามกลมกลืนในเวลาต่อมา
---ผู้นำการเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงระบบชนชั้นในอินเดียในยุคปัจจุบันคือ ดร.อัมเบ็คการ์ เป็นผู้ที่ชาวพุทธอินเดีย ยกย่องถึงกับให้เป็นสรณะที่สี่ต่อจากพระรัตนตรัย ในปี พ.ศ.๒๔๙๙ ดร.อัมเบ็คการ์ ในฐานะรัฐมนตรียุติธรรมของอินเดีย ได้นำชาวอินเดียในชนชั้นต่ำสุดคือ พวกจัณฑาล (Untouchable) ทั่วประเทศชุมนุมประกาศตนเป็นชาวพุทธตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เป็นเหตุให้จำนวนชาวพุทธเพิ่มขึ้นในอินเดีย
*ศาสนา
---อินเดียเป็นแหล่งกำเนิดของศาสนาสำคัญสามศาสนาคือ ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ศาสนาพุทธ และศาสนาเชน นอกจากนี้ยังมีศาสนาอื่น ๆ ที่ได้แพร่หลายเข้ามาในอินเดีย และได้ลงหลักปักฐานเจริญเติบโตขึ้นภายใต้บรรยากาศของความอดกลั้น ผ่อนปรน ศาสนาสำคัญ ๆ ในลักษณะดังกล่าวได้แก่ ศาสนาอิสลาม และศาสนาคริสต์
---ประชากรส่วนใหญ่ของอินเดียนับถือศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ที่มีกำเนิดมาจากการกราบไหว้บูชาผีสางเทวดาในรูปพิธีกรรมตามแบบอย่างง่าย ๆ ปรัชญาฮินดูมุ่งสอนมนุษย์ให้ยอมรับนับถือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของเทพวิญญาณ พระเวทเป็นคัมภีร์เก่าแก่ดั้งเดิมที่สุดในโลก
---ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู เป็นต้นกำเนิดของศาสนาอื่น ๆ อีกสามศาสนาคือ ศาสนาพุทธ ศาสนาเชนและศาสนาซิกข์
---ศาสนาพุทธและศาสนาเชนเกิดร่วมสมัยเดียวกัน ส่วนศาสนาซิกข์เกิดในพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ศาสนาอิสลามเข้ามาสู่อินเดีย พร้อมกับการรุกรานเข้ามาทางด้านทิศเหนือ และทิศตะวันตกของอินเดีย ได้นำวัฒนธรรมเปอร์เซีย และซาราเซนเข้ามา และได้มีส่วนปรุงแต่งภูมิปัญญา และรสนิยมที่มีอยู่ก่อนแล้ว จนเป็นผลให้เกิดประดิษฐกรรมทางด้านสถาปัตยกรรม จิตรกรรมและดนตรีที่สำคัญมากมายสืบต่อมา
*การนับถือศาสนาของชาวอินเดีย
---มีจำนวนประชากรที่นับถือศาสนาต่าง ๆ เรียงลำดับจากมากไปหาน้อยคือ ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ประมาณร้อยละ ๘๓ ศาสนาอิสลามประมาณร้อยละ ๑๑ ศาสนาคริสต์ประมาณร้อยละ ๓ ศาสนาซิกข์ประมาณร้อยละ ๒ ศาสนาพุทธประมาณร้อยละ ๑ และศาสนาเชนประมาณร้อยละ ๐.๕
*อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู
---การดำรงชีวิตของชาวอินเดียโบราณมีความสัมพันธ์กับศาสนามาก คัมภีร์พระเวท ซึ่งมีอายุประมาณ ๑,๕๐๐ - ๕๐๐ ปี ก่อนพุทธกาล เป็นตำราประวัติศาสตร์และวรรณคดีเล่มแรกของอินเดีย ประกอบด้วยคัมภีร์ฤคเวท ยชุรเวท และสามเวท รวมเรียกว่า ไตรเพท ต่อมามีพวกอารยันเดิมทั้งสองพวกมีความสามารถ และความเจริญเท่าเทียมกัน จึงหาวิธีต่าง ๆ มาต่อสู้กัน จึงหันไปหาทางศึกษาวิธีการใช้คาถาอาคมต่าง ๆ จึงเกิดคัมภีร์อาถรรพเวทขึ้นอีกคัมภีร์หนึ่ง
---ลัทธิฮินดูมีวิวัฒนาการมาจากศาสนาพราหมณ์ โดยนำเอาความเชื่อหลาย ๆ อย่างมารวมกัน ไม่มีผู้ใดทราบว่าลัทธิฮินดูเกิดขึ้นเมื่อใด ลัทธินี้แพร่หลายอยู่ทางตอนใต้ของอินเดียหลังพุทธกาลเล็กน้อย โดยยึดหลักจากคัมภีร์อุปนิษัท ซึ่งเป็นวรรณคดีภาษาสันสกฤต เขียนขึ้นเมื่อประมาณ ๒๕๐ - ๕๐ ปี ก่อนพุทธกาล มีทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง สาระของเรื่องเป็นปรัชญาทั้งสิ้นถือว่าเป็นแก่นแท้ของศาสนาฮินดู
---ลัทธิฮินดูถือว่าคัมภีร์พระเวทเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พราหมณ์เป็นผู้แทนจากพระเจ้า พระเจ้าสมัยฮินดูเปลี่ยนจากการถือว่าพระพรหมเป็นเทพสูงสุด มานับถือนารายณ์เป็นเทพสูงสุดเรียกว่า ปรพรหม พระองค์ประสงค์จะสร้างโลกจึงแบ่งเป็นสามภาคเรียกว่า ตรีเทพหรือตรีมูรติ ถือพระพรหมให้เป็นผู้สร้างโลก พระวิษณุให้เป็นผู้บริหารโลก และพระศิวะให้เป็นผู้ทำลายโลก
---ในสมัยที่ฮินดูรุ่งเรืองในอินเดีย การแบ่งชั้นวรรณะเข้มงวดมากขึ้น ห้ามแต่งงานข้ามวรรณะ และในการอื่น ๆ ก็เป็นเรื่องของแต่ละวรรณะจะพึงประพฤติปฎิบัติ จะก้าวก่ายกันไม่ได้
---ลัทธิฮินดูมีหลายนิกาย บางนิกายก็นับถือพระวิษณุ บางนิกายก็นับถือพระอิศวร บางนิกายก็นับถือพระพรหมและเทพเจ้าอื่น ๆ อีกหลายองค์ เช่น พระอุมา พระอินทร พระจันทร์ เป็นต้น
---คำสอนที่หล่อเลี้ยงชาวฮินดูอันสำคัญคือ คัมภีร์ภควัตคีตา แปลว่า เพลงของพระเจ้า เป็นระบบคำสอนแบบรวม คำสอนของพวกพราหมณ์ที่เคยแพร่หลายเป็นเวลานาน เน้นสาระสำคัญสี่ประการประกอบกันคือ
---ความเจริญสูงสุดเกี่ยวกับสัญญาณของโลกเรียกพรหม
---ความไม่แน่นอนของวัตถุโลก
---การเวียนว่ายตายเกิดของวิญญาณ
---ความพยายามที่จะหนีจากการเวียนว่ายตายเกิด
*พุทธศาสนากับอิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดีย
---พุทธศาสนาเกิดขึ้นท่ามกลางวัฒนธรรมอินเดีย ซึ่งมีแบบฉบับขนบธรรมเนียมสืบต่อกันมาหลายพันปี โดยเฉพาะศาสนาพราหณ์ - ฮินดู มีอิทธิพลมาก พุทธศาสนาได้ทำการปรับเปลี่ยนแก้ไขให้ดีขึ้นกว่าแบบเก่าของอินเดียหลายประการ บางอย่างได้แนวปฎิบัติในรูปวัฒนธรรมใหม่ จึงมีสิ่งดีงามใหม่ ๆ ขึ้นหลายประการ เช่น
---พุทธศาสนาได้สอนหลักแห่งกรรม โดยยืนยันความดี ความชั่ว ตามกรรมที่ตนทำ ไม่ใช่เอาการกำเนิดเป็นเครื่องตัดสิน ใช้หลักคุณธรรมเป็นสำคัญ ในเรื่องนี้ มหาตมคานธี และเยาวหราล เนห์รู ผู้นำคนสำคัญของอินเดียได้สดุดีเกียรติคุณ ของพระพุทธเจ้าเป็นพิเศษ
---พระพุทธศาสนาไม่เห็นด้วยกับระบบการซื้อขายทาสในอินเดีย มีบทบัญญัติห้ามพระภิกษุมีทาส ซึ่งเป็นแนวทางสังคมใหม่ที่ในระยะต่อมา ก็มีการเลิกระบบทาส พุทธศาสนาจึงมีส่วนส่งเสริมสิทธิมนุษยชน
---ชาวอินเดียโบราณเชื่อในเรื่องพรหมลิขิตอย่างแพร่หลาย เป็นเหตุให้ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม ผู้ที่ต้องการความเจริญ หรืออยากพ้นทุกข์ ก็คอยให้พรหมบันดาล เอาแต่สวดอ้อนวอน ขาดการขวนขวายแก้ไขปัญหา พระพุทธศาสนาสอนหลักแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ปรับปรุงชีวิตของคน ให้สอดคล้องกับหลักการทางวิทยาศาสตร์
---ชาวอินเดียโบราณแสวงหาบุญด้วยการฆ่าสัตว์บูชายัญ เพื่อบูชาเทพเจ้า ก่อความทุกข์โศกให้แก่มนุษย์และสัตว์ เป็นอย่างมาก พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เลิกวิธีการดังกล่าว ให้มาสร้างความดี ด้วยการให้สงเคราะห์ซึ่งกันและกัน ไม่เบียดเบียนกัน ให้อภัยกัน ชำระจิตใจให้สะอาด เป็นวัฒนธรรมในแนวใหม่ ดีกว่าเดิมเป็นไปตามแนวสันติภาพ
*การเมืองและการปกครอง
---อินเดียเป็นรัฐเอกราชที่เกิดขึ้นใหม่ แต่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน อย่างน้อยก็สมัยอารยธรรมแห่งลุ่มแม่น้ำสินธุ ซึ่งได้ตั้งขึ้นเมื่อประมาณ ๒๕๐๐ ปีก่อนพุทธกาล
---เมื่อปี พ.ศ.๒๑๗ อเล็กซานเดอร์มหาราชได้เข้ามายึดครองอินเดีย ทำให้อินเดียได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากกรีก ต่อมาเมื่อพุทธศตวรรษที่ ๙ พระเจ้าจันทร์คุปต์ที่ ๒ สามารถสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอินเดียตอนเหนือ
---ในปี พ.ศ.๒๑๔๓ ชาวอังกฤษได้เริ่มเข้ามาค้าขายในอินเดีย พระราชินีเอลิซาเบธ แห่งอังกฤษ ได้มอบสิทธิบัตรให้กับบริษัทอินเดียตะวันออก โดยได้ตั้งศูนย์การค้าใหญ่ที่เมืองบอมเบย์ กัลกัตตา และมัทราส
---ในปี พ.ศ.๒๔๐๑ รัฐบาลอังกฤษได้ยุบบริษัทอินเดียตะวันออก และเข้าปกครองอินเดียโดยตรง
---ในปี พ.ศ.๒๔๖๓ โบฮันธาส การามจันท์ คานธี ผู้นำอินเดียได้ใช้วิธีอหิงสา และสามารถทำให้อินเดียได้รับเอกราชเป็นขั้น ๆ ในเวลาต่อมา
---ในปี พ.ศ.๒๔๙๐ นายกรัฐมนตรีแอตลี ของอังกฤษได้ประกาศเจตนาของรัฐบาลอังกฤษ ที่จะมอบอำนาจปกครองให้อินเดีย เนื่องจากมีความแตกแยกกัน ระหว่างฝ่ายมุสลิมกับฮินดู เกิดเป็นการจลาจลที่รุนแรง และแผ่ขยายทั่วประเทศ จึงต้องแบ่งแยกอินเดียออกเป็นสองประเทศคือ อินเดียกับปากีสถาน อินเดียประกาศเอกราชในปีเดียวกันนั้น
---หลังจากได้รับเอกราช สภาร่างรัฐธรรมนูญได้ร่างรัฐธรรมนูญกำหนดแนวทางในการปกครองประเทศไว้ครบทุกด้าน ทั้งระดับชาติ และระดับรัฐ ทำให้รัฐธรรมนูญอินเดียมีความยาวที่สุดในโลก มีบทบัญญัติถึง ๓๙๕ มาตรา ประกาศใช้เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๓ ประกาศตนเป็นสาธารณรัฐ มีประธานาธิบดีเป็นประมุข แต่ยังคงยอมรับประมุขของอังกฤษว่า เป็นประมุขของเครือจักรภพอังกฤษ ซึ่งอินเดียรวมเป็นสมาชิกอยู่ด้วย
---โครงสร้างทางการเมือง อินเดียได้นำเอาวิธีการจัดแบ่งอำนาจหน้าที่ทางการเมือง และการปกครองของสถาบันต่าง ๆ มาจากระบบของอังกฤษคือ
*ประธานาธิบดี
---มีฐานะเป็นประมุขของประเทศที่ปกครองในระบบรัฐสภาคือ มีฐานะอยู่เหนือการเมือง และใช้อำนาจหน้าที่ตามพิธีการเท่านั้น ตามปกติประธานาธิบดีจะใช้อำนาจของตนผ่านคณะรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีจะทำหน้าที่เป็นผู้แนะนำให้ประธานาธิบดี ใชัอำนาจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
---ประธานาธิบดีอินเดียได้รับเลือกตั้งโดยทางอ้อมจากประชาชน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งประธานาธิบดีคือ สมาชิกสภาทั้งสองสภาของรัฐบาลกลาง และสมาชิกสภานิติบัญญัติของรัฐต่าง ๆ ๒๑ มลรัฐ
*อำนาจหน้าที่ของประธานาธิบดีอินเดีย แบ่งออกเป็นสามประเภทคือ
---อำนาจบริหาร มีอำนาจหน้าที่ต่าง ๆ ในฐานะประมุขของชาติ และเป็นตัวแทนของประชาชนอินเดียทั้งมวล ซึ่งรวมถึงด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
---อำนาจนิติบัญญัติ มีอำนาจในการลงนามประกาศใช้ หรือยับยั้งกฎหมายต่าง ๆ ออกกฤษฎีกาต่าง ๆ นอกสมัยประชุมรัฐสภา เป็นต้น
---อำนาจฉุกเฉิน มีอำนาจประกาศภาวะฉุกเฉิน ในกรณีที่ความมั่นคงของชาติถูกคุกคาม กลไกการปกครองตามรัฐธรรมนูญ ในส่วนมลรัฐถูกทำลาย และเมื่อเกิดวิกฤตทางการคลังในประเทศ หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของประเทศ
*คณะรัฐมนตรี
---เป็นเพียงที่ปรึกษาแนะนำ และช่วยเหลือประธานาธิบดีในการปฎิบัติหน้าที่ โดยประธานาธิบดีเป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ตามคำเสนอของนายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดีจะต้องแต่งตั้งหน้าที่พรรคที่มีเสียงข้างมาก ในสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นนายก ผู้ที่จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรี อาจไม่ได้เป็นสมาชิกรัฐสภาก็ได้ แต่มีเงื่อนไขว่า ถ้าผู้ใดจะเป็นรัฐมนตรีเกินกว่า ๖ เดือนได้ จะต้องจัดการให้ผู้นั้น เป็นสมาชิกสภาใดสภาหนึ่ง ภายใน ๖ เดือน
---คณะรัฐมนตรีจะต้องลาออกจากตำแหน่ง เมื่อไม่ได้รับความไว้วางใจจากสภาผู้แทน แต่คณะรัฐมนตรีอาจขอให้ประมุขยุบสภาได้ ซึ่งจะมีผลให้มีการเลือกตั้งใหม่
---สภารัฐมนตรี (Council of Ministers) มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้า รับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎร นายกรัฐมนตรีเป็นสื่อติดต่อระหว่างประธานาธิบดี และสภารัฐมนตรีในกิจการทุกอย่าง สภารัฐมนตรีประกอบด้วยรัฐมนตรีสามประเภทคือ ประเภทที่ ๑ รัฐมนตรีที่เป็นสมาชิกในคณะรัฐมนตรี มีสิทธิเข้าร่วมประชุมในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เป็นผู้กำหนดและวางนโยบายของรัฐบาล ประเภทที่ ๒ รัฐมนตรีที่มิได้เป็นสมาชิกในคณะรัฐมนตรี ประเภทที่ ๓ รองนายกรัฐมนตรี
*รัฐสภา
---ประกอบด้วยสภาสองสภาคือ
---สภาแห่งรัฐหรือวุฒิสภา (Council of State) อินเดียเรียก ราชยสภา (Rajaya Sabha) ประกอบด้วยสมาชิกที่ได้รับการเลือกตั้ง หรือแต่งตั้งมาจากสภาต่าง ๆ ของรัฐ ๒๒ รัฐ มีสมาชิกไม่มากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกในสภาผู้แทนราษฎร และต้องไม่มากกว่า ๒๕๐ คน ซึ่งในจำนวนนี้มี ๑๒ คนได้รับแต่งตั้งจากประธานาธิบดี
---สภาสูงจะถูกยุบไม่ได้ สมาชิกอยู่ในตำแหน่ง ๖ ปี แต่ทุก ๆ ๒ ปีจะต้องออกไป ๑ ใน ๓ สภานี้มีรองประธานาธิบดี เป็นประธานสภาโดยตำแหน่ง
---สภาแห่งรัฐมีอำนาจหน้าที่ในการออกกฎหมายเหมือนกับสภาผู้แทนราษฎรทุกอย่าง กฎหมายใดที่ผ่านจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว แต่สภาแห่งรัฐไม่อนุมัติ กฎหมายนั้นออกบังคับไม่ได้ มีอำนาจควบคุมการบริหารรัฐการแผ่นดินโดยการตั้งกระทู้ถาม ไม่ผ่านกฎหมายงบประมาณของรัฐบาล และมีอำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญ
---สภาผู้แทนราษฎร (House of People) อินเดียเรียกว่า โลกสภา (Lok Sabha) ประกอบด้วยสมาชิกที่ได้รับเลือกตั้ง โดยตรงจากประชาชน มีจำนวนไม่เกิน ๕๐๐ คน จากมลรัฐทั้งหมด และไม่เกิน ๒๕ คน จากดินแดนที่อยู่ในปกครองของรัฐบาลกลางที่ไม่มีฐานะเป็นรัฐ นอกจากนี้ ประธานาธิบดียังมีสิทธิแต่งตั้งผู้แทนราษฎร เพื่อเป็นตัวแทนของชนกลุ่มน้อยไม่เกิน ๒ คน
---การเลือกตั้งเป็นแบบแบ่งเขต แต่ละเขตจะเลือกผู้แทนได้คนเดียว สภามีอายุ ๕ ปี ประชาชนอินเดียที่มีสิทธิเลือกตั้ง จะต้องมีอายุไม่น้อยกว่า ๒๑ ปีบริบูรณ์ในวันเลือกตั้ง ให้มีคณะกรรมการเลือกตั้งเป็นสถาบันอิสระ มีหน้าที่จัดทำบัญชีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และควบคุมการเลือกตั้งระดับชาติและระดับรัฐ
---รัฐสภามีหน้าที่สำคัญสองประการเหมือนกับรัฐสภาอังกฤษ คือการออกกฎหมายและการควบคุมการบริหารรัฐการของคณะรัฐมนตรี
*ศาล
---รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีศาลสูงสุด (Supreme Court) หนึ่งศาล ประกอบด้วยประธานศาลสูงสุดและผู้พิพากษาอื่นอีกไม่เกิน ๑๓ คน ศาลสูง (High Court) มีประจำรัฐต่าง ๆ รัฐละ ๑ แห่ง และศาลชั้นต้น (Primar Court) มีประจำในแต่ละเขต ภายในรัฐต่าง ๆ แบ่งเป็นเขตละ ๑ ศาล ผู้พิพากษาศาลสูงสุดได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี ซึ่งประธานาธิบดี จะปรึกษากับผู้พิพากษาทั้งหลายของศาลสูงสุด และศาลของรัฐต่าง ๆ ตามที่เห็นว่าจำเป็น
---ศาลสูงสุด นอกจากจะรับการอุทธรณ์มาจากศาลล่างแล้ว ยังเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาที่มีลักษณะเป็นการเมืองได้โดยไม่ต้องมีใครอุทธรณ์มา และมีอำนาจพิจารณาว่ากฎหมายของรัฐสภา หรือคำสั่งของประธานาธิบดีขัดกับรัฐธรรมนูญ ใช้บังคับมิได้
*มลรัฐ
---มีสภานิติบัญญัติของตนเอง บางมลรัฐมีสองสภา ประมุขมลรัฐเรียกว่าผู้สำเร็จราชการ ซึ่งประธานาธิบดีเป็นผู้แต่งตั้ง มีอำนาจต่าง ๆ ภายในมลรัฐ มีรัฐบาลของตนเอง และมีผู้นำรัฐบาลเรียกว่า มุขมนตรี ซึ่งรับผิดชอบต่อสภานิติบัญญัติของมลรัฐนั้น ๆ มลรัฐต่าง ๆ มี ๒๕ มลรัฐ และมีดินแดนสหภาพ (Union Territory) ๗ แห่ง
*พรรคการเมือง
---มีอยู่หลายพรรคด้วยกัน มีนโยบายแตกต่างกันตั้งแต่ขวาสุดถึงซ้ายสุด พรรคการเมืองที่สำคัญ ๆ ได้แก่ พรรคคองเกรส พรรคชนตะ พรรคโลกดาล พรรคคอมมิวนิสต์ ฯลฯ
*การปกครองท้องถิ่น
---แบ่งออกเป็น ๔ ระดับคือ
---หมู่บ้าน มีสภาปัญจาญาต (Village Panjayat) เป็นสภาของหมู่บ้าน มีหน้าที่บางประการเกี่ยวกับการสาธารณสุข และการศึกษาของหมู่บ้าน
---เขตพัฒนา ตั้งขึ้นมาเพื่อการพัฒนา มีสภาปัญจาญาตสามิติ (Panjayat Samiti) พิจารณาแต่เรื่องการพัฒนาเก็บเงินเพื่อการเกษตร เป็นต้น
---อำเภอ มีสภาซีลาปาริชาด (Zila Parishad) เป็นผู้ดูแลการบริหารกิจการในท้องถิ่น
---แขวง เป็นเขตบริหารของรัฐบาลของรัฐ ไม่มีสภาของประชาชน
*นโยบายต่างประเทศ
---อินเดียยอมรับนับถือหลักความประพฤติของนานาชาติห้าประการ เรียกว่า หลักปัญจศีล ซึ่งประกอบเป็นพื้นฐาน ของมติข้อตกลงแห่งที่ประชุมบังดง หลัก ๕ ประการได้แก่
---การให้ความเคารพในเอกภาพทางดินแดนและอธิปไตยของกันและกัน
---การไม่รุกรานกัน
---การไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น
---ความเสมอภาคและการคำนึงถึงประโยชน์ร่วมกัน
---การดำรงอยู่ร่วมกันโดยสันติ
*นโยบายต่างประเทศของอินเดียต่อประเทศไทย
---อินเดียกับไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในระดับอัครราชทูต เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๐ และต่อมาได้ยกฐานะขึ้นเป็นระดับเอกอัครราชทูตเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๔
---ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและอินเดียมีมาในอดีตเป็นเวลากว่าสองพันปี คือเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๑๔ ศาสนาพุทธได้ถูกนำมาเผยแพร่ ที่เมืองนครปฐมเป็นแห่งแรกในประเทศไทย และได้เจริญรุ่งเรืองต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์ทางด้านภาษาเป็นอย่างมาก เพราะภาษาไทยได้รับอิทธิพลจากภาษาบาลี และสันสกฤต
---ในระยะหลังสงครามมหาเอเซียบูรพา ได้มีชาวไทยเดินทางไปแสวงบุญในอินเดียเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ และรัฐบาลอินเดียก็ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ ในการบูรณะปฏิสังขรณ์ สถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาในอินเดีย เช่น ที่พุทธคยา เมืองราชคฤห์ สารนารถ กุสินารายณ์ เป็นต้น
---ในปี พ.ศ.๒๕๒๒ รัฐบาลอินเดียได้ทูลเชิญสมเด็จพระสังฆราชของไทยให้เสด็จไปเยือนอินเดียในฐานะพระอาคันตุกะของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอินเดีย
---ก่อนหน้านี้ในปี พ.ศ.๒๕๑๕ ประธานาธิบดีอินเดียได้มาเยือนไทยในฐานะแขกของรัฐบาลไทย ในปี พ.ศ.๒๕๑๙ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดียได้มาเยือนไทย ในปี พ.ศ.๒๕๒๑ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศของไทย ไปเยือนอินเดียตามคำเชิญของรัฐบาลอินเดีย และในปี พ.ศ.๒๕๒๒ นายกรัฐมนตรีของไทยไปเยือนนายกรัฐมนตรีอินเดีย เป็นต้น
---ไทยและอินเดียได้ทำความตกลงระหว่างกันหลายฉบับคือ
---ความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๑
---ความตกลงทางการค้า เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๑
---ความตกลงทางวัฒนธรรม เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๐
---ความตกลงสามฝ่าย ระหว่างไทย อินเดียและอินโดนีเซีย และความตกลงสองฝ่ายระหว่างไทยกับอินเดีย ว่าด้วยการแบ่งเขตก้นทะเลในทะเลอันดามัน เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๑
---การค้าระหว่างไทยกับอินเดีย มีประมาณเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ สินค้าออกสำคัญของไทยที่ส่งไปอินเดียได้แก่ แร่ธาตุบางชนิด เส้นใยประดิษฐ ผ้าทอ ถั่วเขียว เผือกมัน กระดาษ ยางไม้ และอัญมณีต่าง ๆ ส่วนสินค้าที่ไทยสั่งเข้ามาจากอินเดียได้แก่ เหล็ก หม้อน้ำ เครื่องจักร และเครื่องจักรไฟฟ้า ยานยนต์ อาหารสัตว์ ผ้าป่าน ผลิตภัณฑ์เภสัช สีย้อมผ้า และเคมีภัณฑ์อินทรีย์
*ความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา
---อินเดียไม่พอใจที่สหรัฐ ฯ ให้การสนับสนุนปากีสถานในการทำสงครามกับอินเดีย ทั้งสองครั้งคือ ในปี พ.ศ.๒๕๐๘ และในปี พ.ศ.๒๕๑๔ อินเดียไม่พอใจที่มูลนิธิเอเซียได้รับความช่วยเหลือจาก ซี ไอ เอ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๑
---ความตึงเครียดได้คลายลงเมื่อสหรัฐ ฯ ปฎิเสธการขายอาวุธให้กับปากีสถาน ต่อจากนั้นในปี พ.ศ.๒๕๑๗ ได้มีการสั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไปเยือนระหว่างกัน เพื่อหาทางปรับปรุงสัมพันธภาพของประเทศทั้งสอง
---ในปี พ.ศ.๒๕๑๑ ประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ ได้ไปเยือนอินเดีย และได้พบปะเจรจากับนายกรัฐมนตรีอินเดียเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำของอินเดีย และมีความร่วมมือทางด้านนิวเคลียร์ ทั้งสองฝ่ายได้ออกคำประกาศเดลฮี ที่มีสาระสำคัญว่า ทั้งสองประเทศมีความมุ่งมั่นที่จะลดภัยคุกคามจากสงครามนิวเคลียร์ และจะลดช่องว่างระหว่างประเทศร่ำรวยกับประเทศยากจน มีเจตนาแน่วแน่ในระบอบประชาธิปไตย
*ความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียต
---แม้ว่าจะไม่ราบรื่นมากนัก แต่ก็อยู่ในขั้นที่ดีกว่ากับสหรัฐ ฯ และจีน ทั้งนี้จากการที่สหภาพโซเวียตให้การสนับสนุนอินเดีย ในกรณีพิพาทระหว่างอินเดียกับปากีสถาน และกรณีพิพาทเกี่ยวกับพรมแดนระหว่างอินเดียกับจีน
---ในปี พ.ศ.๒๕๑๖ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต ได้เดินทางไปเยือนอินเดียเพื่อชักจูงอินเดีย ให้รับข้อเสนอในการจัดตั้งระบบความมั่นคงร่วมกันแห่งเอเซีย และข้อเสนอให้สหภาพโซเวียตใช้ท่าเรือของอินเดียเป็นการถาวร เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่กองเรือสหภาพโซเวียต ในมหาสมุทรอินเดีย แต่ทางอินเดียไม่ยอมรับข้อเสนอดังกล่าว เพราะขัดกับนโยบายไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดของอินเดีย
---สหภาพโซเวียตได้ให้ความช่วยเหลือแก่อินเดียหลายประการ เช่น ในด้านการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๗ ทำให้อินเดียเป็นประเทศที่หกของโลก ที่มีระเบิดนิวเคลียร์ นอกจากนั้นยังได้ช่วยเหลืออินเดียในการส่งดาวเทียม ขึ้นโคจรรอบโลก ในปี พ.ศ.๒๕๑๘
---ในด้านเศรษฐกิจสหภาพโซเวียตช่วยเหลืออินเดียในโครงการอุตสาหกรรม ประมาณ ๕๐ โครงการ เช่น โครงการพัฒนาเหมืองถ่านหิน โครงการถลุงเหล็ก โครงการผลิตไฟฟ้า และโครงการสร้างโรงกลั่นน้ำมัน
*ความสัมพันธ์กับประเทศจีน
---ตั้งแต่สงครามเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๕ ความสัมพันธ์กับจีนได้เสื่อมทรามลงอย่างมาก แม้ว่าประเทศทั้งสองได้ตกลง ส่งเอกอัครราชทูตไปประจำในแต่ละฝ่าย เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๙ ก็ตาม ทางรัฐบาลอินเดียยังไม่ยอมฟื้นฟูความสัมพันธ์ในระดับปกติระหว่างกัน จนกว่าจีนจะคืนดินแดนที่ยึดครองไว้ให้แก่อินเดีย
---ได้มีการพบปะหารือเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาพรมแดนระหว่างกันโดยสันติวิธี ตลอดจนการปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างกัน เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๑
*ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน
---ความสัมพันธ์กับปากีสถาน ทั้งสองฝ่ายยังคงมีปัญหายืดเยื้อทางพรมแดนกันอยู่ โดยเฉพาะข้อพิพาทเกี่ยวกับแคว้นแคชเมียร์ โดยอินเดียยืนกรานว่า มีสิทธิครอบครองเหนือดินแดนส่วนใหญ่ โดยจะเปลี่ยนแปลงมิได้ และแคชเมียร์ จะต้องเป็นส่วนหนึ่งของอินเดียอย่างถาวร ในขณะเดียวกันปากีสถานยังถือว่าจะต้องปฎิบัติตามมติของสหประชาชาติ เกี่ยวกับเรื่องการออกเสียงประชามติในแคชเมียร์
---ส่วนความสัมพันธ์กับอัฟกานิสถาน นั้น อินเดียพยายามที่จะกระชับความสัมพันธ์อันดีกันไว้ โดยได้ประกาศให้การรับรองรัฐบาลใหม่ของอัฟกานิสถานเป็นประเทศที่สองต่อจากสหภาพโซเวียต หลังการรัฐประหารเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๑ ต่อมาเมื่อสหภาพโซเวียต เข้าแทรกแซงทางทหารในอัฟกานิสถาน ในปี พ.ศ.๒๕๒๒ ทางอินเดียได้แสดงความวิตกกังวลต่อสถานการณ์นั้น แต่ก็ได้รับการยืนยันจากสหภาพโซเวียตว่า ได้ส่งกำลังทหารเข้าไป ตามคำเรียกร้องของอัฟกานิสถาน
---อินเดียได้ประกาศรับรองรัฐบาลกัมพูชาฝ่ายเฮงซัมริน เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๓ นับว่าเป็นประเทศแรกที่มีใช่คอมมิวนิสต์ ที่ประกาศรับรองรัฐบาลกัมพูชา
*การเจรจาเพื่อจัดทำสนธิสัญญาไม่รุกรานระหว่างอินเดีย - ปากีสถาน
---ปากีสถานได้ยื่นข้อเสนอต่ออินเดีย เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๔ ในประเด็นสำคัญสามประการ ได้แก่ ค้ำประกันการไม่รุกรานกัน ไม่ผลิตอาวุธนิวเคลียร์ และตกลงในอัตรากำลังป้องกันประเทศทั้งสอง และเสนอทำความสู้รบร่วมกัน ในกรณีที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ถูกประเทศที่สามรุกราน อินเดียยอมรับในหลักการด้วยเหตุผลว่า ข้อเสนอดังกล่าว มีพื้นฐานเช่นเดียวกับข้อเสนอของอินเดีย เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๒ โดยมีเงื่อนไขว่า ปากีสถานจะต้องยอมรับหลักการแห่งข้อตกลงซิมลา ปี พ.ศ.๒๕๑๕ ในการยุติสงครามพรมแดนระหว่างกัน ไม่รุกรานกัน เคารพในกฎบัตรสหประชาชาติ เคารพในเอกราชอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของกันและกัน ตลอดจนระงับกรณีพิพาทระหว่างกันโดยสันติวิธี จะไม่นำปัญหาขัดแย้งกัน เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมระหว่างประเทศ แต่จะแก้ไขในระดับทวิภาคี
*เหตุการณ์ในรัฐปัญจาบของชาวซิกข์
---เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๗ รัฐบาลอินเดียได้พิจารณาข้อเรียกร้องของขบวนการเรียกร้องสิทธิ และเสรีภาพของชาวซิกข์ ซึ่งมีจำนวนประมาณ ๑๒ ล้านคน ในรัฐปัญจาบ โดยกลุ่มชาวซิกข์ที่ไม่นิยมความรุนแรง ได้รวมตัวเป็นพรรคการเมือง เรียกร้องต่อรัฐบาลให้ชาวซิกข์มีบทบาทปกครองตนเอง เป็นอิสระจากรัฐบาลกลาง
---แต่มีชาวซิกข์กลุ่มหนึ่งเห็นว่า การเรียกร้องของพรรคการเมืองดังกล่าว ไม่ได้ผลทันใจ พวกนี้ได้ผู้นำเป็นนักบวชอาวุโส ได้รวบรวมพวกหัวรุนแรง ตั้งขบวนการก่อการร้ายขึ้น โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่วิหารทอง (Golden Temple) ซึ่งตั้งอยู่ในนครศักสิทธิ์ของชาวซิกข์คือ อมริสสา (Amrisar) เหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นกับชาวฮินดู เช่น การลอบสังหาร การวางระเบิดในที่ชุมนุมชน รถไฟ และรถประจำทาง เป็นฝีมือของขบวนการนี้
---ขบวนการของชาวซิกข์ ที่นิยมความรุนแรงอีกกลุ่มหนึ่งได้ทำการก่อกวน ประท้วงรัฐบาล และลอบสังหารชาวฮินดู และได้ประท้วงก่อการจลาจล ในปี พ.ศ.๒๕๒๗ รัฐบาลอินเดียได้ส่งกำลังเข้าปิดล้อมวิหารทองคำ แล้วให้ผู้ที่อยู่ในวิหารทองคำออกมามอบตัว มีผู้ออกมามอบตัว ๖๗๙ คน เหลืออยู่อีก ๓,๐๐๐ คน ไม่ยอมมอบตัวจึงถูกทหารอินเดียโจมตี เสียชีวิต ๔๙๒ คน ถูกจับ ๑,๖๐๐ คน
*ปัญหาแคว้นอัสสัม
---ปัญหาความขัดแย้งระหว่างชนชาติในรัฐอัสสัมของอินเดีย เป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.๒๕๒๒ และเพิ่มความรุนแรงขึ้นตามลำดับ จนถึงเกิดการก่อความไม่สงบและจลาจล มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
---อัสสัมเป็นหนึ่งของจำนวน ๒๒ รัฐ ของอินเดีย ซึ่งเป็นรัฐชายเแดนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีเขตติดต่อกับต่างประเทศคือ ทิศเหนือติดต่อกับประเทศภูฎาน ทิศตะวันออกติดต่อกับประเทศพม่า และทิศใต้ติดต่อกับประเทศบังคลาเทศ ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ มีชาวเชื้อสายออสโตร และเชื้อสายเอเซียติก ได้เข้าไปตั้งถิ่นฐานแถบลุ่มแม่น้ำพรหมบุตร และได้สถาปนาเป็นรัฐเล็ก ๆ ที่มีวัฒนธรรมและภาษาพูดของตนเอง ต่อมาเมื่อประมาณปี พ.ศ.๑๗๗๐ ชาวอาหมเชื้อสายมองโกล ซึ่งอพยพมาจากตอนใต้ของประเทศจีน ได้เข้ามารวบรวมอาณาจักรเล็ก ๆ เหล่านี้เข้าด้วยกันเป็นอาณาจักรอาหม ต่อมาเมื่อราชวงศ์โมกุลของอินเดียเข้มแข็งขึ้น ก็ได้แผ่อิทธิพลเข้ามาในดินแดนของอาณาจักรอาหม เกิดทำสงครามกันเป็นเวลานานถึง ๒๕ ปี ในปี พ.ศ.๒๑๘๑ จึงได้มีการทำสนธิสัญญา กำหนดเขตแดนของอาณาจักรทั้งสอง อาณาจักรอาหมก็เป็นดินแดนของรัฐอัสสัมในปัจจุบัน
---ในปี พ.ศ.๒๓๐๘ - ๒๓๓๘ อาณาจักรอาหมเกิดสงครามไม่สงบ จากการแย่งชิงอำนาจกันเองภายใน ทำให้อาณาจักรอาหมเกิดความอ่อนแอ เมื่อพม่ายกกองทัพเข้ามารุกราน อาณาจักรอาหมก็ตกอยู่ในความปกครองของพม่า กษัตริย์ของชาวอาหมได้ไปขอความช่วยเหลือจากอังกฤษ ที่เข้าไปอยู่ในอินเดีย อังกฤษได้ประกาศสงครามกับพม่าในปี พ.ศ.๒๓๖๗ พม่ายอมให้อาณาจักรอาหมอยู่ในความปกครองของอังกฤษ ต่อมาเมื่ออินเดียตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ อังกฤษได้ผนวกอาณาจักรอาหม หรือที่เรียกว่าอัสสัม เข้าเป็นอาณานิคมของอังกฤษในอินเดีย และเมื่ออินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๐ แล้ว และได้ประกาศใช้ธรรมนูญ อัสสัมก็มีฐานะเป็นรัฐหนึ่งของอินเดีย นับแต่นั้นมา
---สาเหตุของความไม่สงบ ดินแดนอัสสัมมีทรัพยากรสมบูรณ์มาก เป็นเหตุให้มีผู้อพยพเข้าไปตั้งหลักแหล่งทำมาหากินกันมาก เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๖๙ เมื่ออังกฤษเริ่มเข้ามาดำเนินการอุตสาหกรรมในอัสสัม อังกฤษได้นำชาวเนปาล ชาวเบงกอล รวมทั้งชาวมุสลิมเข้าไปทำงานในรัฐอัสสัมมากขึ้น ในระยะต่อมาชาวมุสลิมได้อพยพเข้าไปตั้งรกรากมากขึ้นตามลำดับ จนมีจำนวนถึง ๓๕๐,๐๐๐ ในปี พ.ศ.๒๔๔๔ เพิ่มเป็น ๙๔๐,๐๐๐ คน ในปี พ.ศ.๒๔๗๔ เพิ่มเป็น ๙๑,๕๙๐,๐๐๐ คน ในปี พ.ศ.๒๔๙๔ นอกจากนั้นจากเหตุการณ์สงครามระหว่างปากีสถานตะวันตก กับปากีสถานตะวันออก ทำให้มีผู้ลี้ภัยจากปากีสถานตะวันออก (บังคลาเทศปัจจุบัน) จำนวนเกือบสองล้านคน เข้าไปอาศัยอยู่ในรัฐอัสสัม ในปี พ.ศ.๒๕๒๕ มีชาวมุสลิมในรัฐอัสสัม ประมาณสี่ล้านคน
---ความผิดแผกกันระหว่างชาวมุสลิมกับชาวฮินดู ก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่ชาวฮินดูเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ชาวอัสสัมเกรงว่าในอนาคต ชาวอัสสัมจะกลายเป็นชนกลุ่มน้อย ชาวมุสลิมที่จะกลายเป็นชนกลุ่มใหญ่ แล้วขอแยกตัวจากอินเดียไปรวมกับบังคลาเทศ ด้วยเหตุผลทางศาสนา ดังนั้น ชาวอัสสัมจากการนำขององค์การนักศึกษา และคณะสังคมปาริชาติรัฐอัสสัม จึงได้รณรงค์ร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากรัฐบาลกลางอินเดีย เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๒ ให้จำกัดสิทธิผู้อพยพ เช่น มิให้มีการลงทะเบียนชาวต่างชาติ มีการเนรเทศบุคคลเหล่านี้ออกจากรัฐอัสสัม เป็นการรณรงค์โดยสงบ แต่ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นรุนแรงขึ้น มีการเดินขบวนและปะทะกันด้วยอาวุธ แต่รัฐบาลก็ควบคุมสถานการณ์ได้
---ในปี พ.ศ.๒๕๒๖ เกิดการประท้วงก่อให้เกิดการจลาจลในรัฐอัสสัม เนื่องมาจากรัฐบาลอินเดียอนุญาตให้ชาวมุสลิม ที่อพยพมาจากบังคลาเทศ ได้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกของรัฐ และสมาชิกสภาแห่งชาติด้วย รัฐบาลอินเดียต้องเข้ามาควบคุมสถานการณ์ในรัฐอัสสัมเอง
*การคมนาคมขนส่ง
---การคมนาคมทางบก ได้แก่ การคมนาคมทางถนน และทางรถไฟ
*การคมนาคมทางถนน
---ในปี พ.ศ.๒๕๑๙ อินเดียมีข่ายถนนรวมความยาวประมาณ ๑,๓๖๗,๐๐๐ กิโลเมตร แบ่งออกเป็นทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงของรัฐ และเส้นทางชายแดน
---การคมนาคมทางรถไฟ อินเดียมีเส้นทางรถไฟยาวประมาณ ๖๐,๐๐๐ กิโลเมตร มีขบวนรถบริการวันละประมาณ ๑,๑๐๐ ขบวน แบ่งเขตการเดินรถออกเป็น ๙ เขตคือ
---เขตกลาง มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองบอมเบย์ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนกลางด้านฝั่งตะวันตกของประเทศ
---เขตตะวันออก มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองกัลกัตตา ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนกลาง ด้านฝั่งตะวันออกของประเทศ
---เขตเหนือ มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงเดลฮี ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านเหนือของประเทศ
---เขตตะวันออกเฉียงเหนือ มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองโกรัคเบอร์
---เขตเหนือ - ตะวันออก มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองมาลิโกน - กัวฮาติ
---เขตใต้ มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองมัทราท ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ ด้านฝั่งตะวันออกของประเทศ
---เขตใต้ - กลาง มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองสคันเดอราบัด
---เขตตะวันออกเฉียงใต้ มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองกัลกัตตา ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนกลาง ด้านฝั่งตะวันออกของประเทศ
---เขตตะวันตก มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองบอมเบย์ - เชอร์เกด
---การรถไฟของประเทศอินเดีย อยู่ภายใต้การบริหารของกระทรวงคมนาคม แต่การเดินรถอยู่ภายใต้ กองดำเนินงานของเอกชน ซึ่งแต่ละรัฐจะเป็นผู้กำหนดข้อบังคับต่าง ๆ
---รางรถไฟของประเทศอินเดีย ใช้ระบบของอังกฤษ อังกฤษได้ก่อสร้างให้อินเดียตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๙๖ มีอยู่สามระบบคือ ขนาดรางกว้าง ๑.๖๘ เมตร (Broad gauge) ขนาดรางกว้าง ๑ เมตร (Meter gauge) และขนาดรางกว้างน้อยกว่า ๑ เมตร (Narrow gauge)
---การคมนาคมทางน้ำ ทางน้ำภายในประเทศส่วนใหญ่ที่ใช้คือ แม่น้ำคงคา และแม่น้ำพรหมบุตร ซึ่งสามารถใช้เรือกลไฟได้ ส่วนแม่น้ำอื่น ๆ เช่น แม่น้ำโคธาวารี แม่น้ำกฤษรษ กับบรรดาลำคลองในรัฐต่าง ๆ คงใช้เรือขนาดเล็ก อินเดียได้มีแผนพัฒนาการคมนาคมขนส่งทางน้ำ ให้มากขึ้นในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ
---การเดินเรือทะเล มีคณะกรรมการเดินเรือแห่งชาติ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ มีบริษัทเดินเรือของอินเดียมากกว่า ๖๐ บริษัท เป็นของรัฐอยู่ ๒ บริษัท
---ท่าเรือขนาดใหญ่ของอินเดียมี ๑๐ แห่ง ขนาดกลางและขนาดเล็ก ๑๖๐ แห่ง ท่าเรือขนาดใหญ่ ทางชายฝั่งตะวันตกอยู่ที่เมืองกานตลา บอมเบย์ มอรูมเกา นิวบังกาลอร์ และโคซิน ท่าเรือทางชายฝั่งตะวันออก อยู่ที่เมืองนิวตูติโคริน มัทราช วิสาขาปัตนัม ปาราทิม และกัลกัตตา
---การคมนาคมทางอากาศ ท่าอากาศยานนานาชาติของอินเดีย มีอยู่ ๔ แห่งคือ ท่าอากาศยานซันตาคูรุซ ที่เมืองบอมเบย์ ท่าอากาศยานดัมดัม อยู่ที่เมืองกัลกัตตา ท่าอากาศยานปเล็ม อยู่ที่เมืองนิวเดลฮี ท่าอากาศยานมินามปัดขาบ อยู่ที่เมืองมัทราส และมีสนามบินภายในประเทศอีก ๘๕ แห่ง
---สายการบินระหว่างประเทศของอินเดียคือ Air India Intetnational ได้ทำการบินไปยังประเทศต่าง ๆ รวม ๓๔ ประเทศ
---สายการบินภายในประเทศคือ India Airlines ทำการบินภายในประเทศและประเทศข้างเคียงคือ บังคลาเทศ ปากีสถาน มัลดีฟ ศรีลังกา
---หน่วยงานที่รับผิดชอบการคมนาคมขนส่งทางอากาศคือ กรมการบินพลเรือน
..........................................................................................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 30 กันยายน 2558
แก้ไขแล้ว ป.
0 ความคิดเห็น