/music/.mp3 http://www.watkaokrailas.com
สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com

 หน้าแรก

 บทความ

 เว็บบอร์ด

 รวมรูปภาพ

 พระบรมสารีริกธาตุ

 โจโฉ รวมเสียงธรรม

 เฟสบุ๊ค

 ติดต่อเรา-แผนที่

รู้เรื่องร่างทรง-องค์เทพ

รู้เรื่องร่างทรง-องค์เทพ

การทรงเจ้าเข้าผีและจิตวิญญาณที่มองไม่เห็น







---หากมีการสำรวจอย่างจริงจังในรูปแบบวิชาการเราจะพบว่า อัตราการทรงเจ้าเข้าผีในช่วงปี ๒๕๕๐ ถึง ปี ๒๕๕๑ มีอัตราสูงขึ้น อาจด้วยเพราะภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำลง และภาวะความเครียดที่มากขึ้น ทำให้คนต้องหันมาหาที่พึ่งพาทางใจ แท้แล้ว ความเข้าใจของคนในปัจจุบันเรื่องการทรงเจ้าเข้าผี ยังนับว่าน้อยและอยู่ในวงจำกัดมาก อุปมาเหมือนภูเขาน้ำแข็งที่ลอยในน้ำทะเล   ส่วนที่เราเห็นประจักษ์นั้นไม่ถึง   ๑  ใน   ๓  ของความจริงทั้งหมด เพราะก้อนน้ำแข็งส่วนใหญ่จะจมน้ำ เรื่องของจิตวิญญาณก็เช่นกัน เราสามารถสัมผัสรับรู้ได้ด้วยตาเนื้อก็แค่ส่วนที่พอมองเห็นและเข้าใจได้ แต่ไม่สามารถเข้าใจในส่วนที่เกินกว่าความสามารถในการรับรู้แบบปกติของมนุษย์ได้


---บทความฉบับนี้ล่อแหลมต่อการถกเถียงชวนทะเลาะ และอาจกลายเป็นประเด็น สร้างความขัดแย้งแตกแยกในสังคม หากกลุ่มคนที่เชื่อและไม่เชื่อได้อ่านร่วมกัน จึงขออนุญาตที่จะนำเสนอเฉพาะในเว็บไซต์ที่เปิดกว้างแห่งนี้เท่านั้น เพื่อจำกัดจำนวนผู้เข้าชม และเป็นการย้ำเตือนว่า เป็นสื่อสาธารณะที่เปิดกว้าง ตามแต่ความเชื่อส่วนบุคคล ไม่ได้ผ่านกองบรรณาธิการเหมือนหนังสือต่างๆ แต่อย่างใด จึงขอให้ใช้วิจารณญาณอย่างสูง ในการศึกษาและค้นคว้า ซึ่งผู้เขียนได้รวบรวมและเรียบเรียง โดยใช้หลักการสุ่มสัมภาษณ์เชิงลึกประกอบกับการสำรวจควบคู่กัน ยังไม่สามารถทำในรูปแบบเชิงวิชาการได้เต็มที่ เนื่องจากขีดจำกัดด้านงบประมาณและแรงงาน จึงขอนำเสนอไว้เป็นเพียงข้อคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น ดังที่จะได้กล่าวต่อไปนี้


*จิตวิญญาณ (ผีและเทวดา) ที่มองไม่เห็นมีจริงหรือไม่


---บทความฉบับนี้ไม่ขอสรุปว่ามีจริงหรือไม่ แม้พระไตรปิฎกหรือพระดีหลายรูปจะยืนยันได้ว่ามีจริง จะขอใช้เพียงคำว่า “สมมุติฐานว่ามี” เพื่ออ้างอิงในเชิงวิชาการเท่านั้น เนื่องจากยังไม่สามารถพิสูจน์เชิงประจักษ์ได้ แต่หากสามารถพิสูจน์เชิงประจักษ์ได้ ก็จะนับว่าเป็นข้อเท็จจริง ไม่ใช่ความเชื่อ หรือสมมุติฐานอีกต่อไป ซึ่งจะขอข้ามประเด็นนี้ไป เพื่อไม่ให้เกิดการถกเถียง โดยอาศัยสมมุติฐานว่า ผีและเทวดามีจริง และจะกล่าวเรื่องผีและเทวดาอย่างเต็มรูปแบบภายใต้สมมุติฐานนี้ เพื่อตัดความกังวลในความน่าเชื่อถือของบทความ


*นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่ อยู่ที่ไหน อยู่กันอย่างไร


---ขอเล่าเรื่องเหล่านี้ เพื่อปูพื้นเป็นเบื้องต้น ก่อนที่จะเข้าเรื่องการทรงเจ้าเข้าผี เนื่องจากปกติแล้วผีและเทวดาจะต้องอยู่ในภพภูมิที่ถูกต้องของตน คือ นรกหรือสวรรค์ ไม่ใช่มาอาศัยร่างทรงอยู่ เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงสาเหตุที่มาของการมาอาศัยร่างทรงต่างๆ จึงขอเล่าความเป็นมาของนรกสวรรค์เป็นการปรับพื้นฐานความเข้าใจเบื้องต้นดังนี้


๑.การเกิดขึ้นของสามภพ


---ก่อนหน้าที่โลกจะเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตนั้น โลกธาตุนี้ได้ชื่อว่าเป็นเพียงดาวเคราะห์ที่ไร้สิ่งมีชีวิตมาก่อน จากนั้นเมื่อมีสภาวะที่เหมาะสมกับการมีสิ่งมีชีวิตบนโลกแล้ว จึงมีดวงจิตพรหม จากพรหมโลกที่ห่างไกลจากโลกนี้ ลงมาจุติเป็นมนุษย์ ท่ามกลางป่าที่สมบูรณ์ เราอาจเรียกป่านี้ว่า“สวนเอเดน” ตามแบบที่พระเยซูเรียก หรือเรียกว่า “ป่าหิมพานต์” ตามแบบไทยๆ ก็ได้ ในป่านี้ จะมีสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีจิตเกิดขึ้นก่อน ต้นไม้ต่างๆ จะยังไม่มีดวงจิตของรุกขเทวดามาครองในต้นไม้นั้น สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่เคลื่อนไหวได้เอง จะมีเพียงวิญญาณ แต่ยังไม่มีจิต เช่น “ตัวเปรี้ยว” เป็นสิ่งมีชีวิตโบราณที่ชาวล้านนาค้นพบ ซึ่งไม่มีจิต แต่เคลื่อนไหวได้ นับเป็นสังขารยุคแรกๆ ของโลกมนุษย์


---เมื่อมนุษย์มาเกิดแล้วเสื่อมจากศีลธรรม จึงไม่สามารถกลับพรหมโลกที่สงบสุขได้ แต่ความอาลัยในพรหมโลกยังมี ดวงจิตจึงพุ่งออกจากโลกไปยังชั้นบรรยากาศ เมื่อตายลงและช่วงที่ยังมีชีวิตได้ก่อกรรมดี กรรมดีเป็นพลังบุญนั้นได้พุ่งไปในชั้นบรรยากาศเช่นกัน จากที่ว่างในชั้นบรรยากาศเกิดเป็นเมืองที่สร้างจากพลังจิตขึ้น นี่คือที่มาของภพสวรรค์ และเมื่อมนุษย์เสื่อมลงอีก ก็ก่อให้เกิดภพสวรรค์ชั้นต่ำลงไปเรื่อย ๆ จนต่ำเตี้ยติดชั้นผิวดิน คือ สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งมีพวก นาค ครุฑ คนธรรพ์ รุกขเทวดา กุมภัณฑ์ อาศัยอยู่เป็นอาทิ


---เราสามารถพบและสื่อกับเทวดาชั้นแรกนี้ได้ง่ายมาก เพราะอยู่ร่วมกับเรา อยู่บนพื้นดิน บาดาล และอากาศที่ไม่สูงเกินไปนักนี่เอง การพบเจอ นางตานี นางตะเคียน นางไม้ เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา ผีจอมปลวก ฯลฯ เหล่านี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ และไม่ยากเกินไปที่จะฝึกจิตเพื่อสื่อกับท่านเหล่านี้เลย ดังนั้น จึงไม่ยากที่จะพิสูจน์ด้วยจิตของตน ว่าเทวดาชั้นที่หนึ่งอยู่ที่ไหน อยู่กันอย่างไร และชั้นอื่นๆ ก็ย่อมจะอยู่สูงขึ้นไป และเมื่อมนุษย์จิตเสื่อมถอยลง ก็จะมีความยึดมั่นในโลก อาลัยในโลกมาก หลงลืมภพพรหมที่งดงามกว่าที่ตนจากมา 


---กระแสจิตที่เลวร้ายจะสร้างสิ่งที่เลวร้ายลงไปยังใจกลางโลก กลายเป็นวัตถุเครื่องลงทัณฑ์ต่างๆ ในนรก และเมื่อตายลงจิตก็พุ่งไปสู่ใจกลางโลก คือ นรกนั่นเอง ดังนั้น นรกจึงไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล อยู่ในใต้พื้นดินลึกลงไปนี่เอง เหตุที่ต้องแบ่งชั้นอยู่กันอย่างนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ดวงจิตของมวลสรรพสัตว์แตกกระจายไป เป็นสัตว์ที่หลงทาง เป็นวิญญาณเร่ร่อนหาที่เกิดไม่ได้ หาโลกอยู่ไม่ได้ จึงต้องมีที่เก็บดวงจิตวิญญาณไว้รอการเกิดให้อยู่ไม่ไกลจากโลกเกินไป ยกเว้น สำหรับผู้มีพลังจิตพิเศษ จะอยู่นอกเหนือจากสามภพนี้ เช่น แดนสุขาวดี ที่ไม่ได้อยู่ในเขตของสามภพนี้ เป็นต้น


๒.การดับลงของสามภพ


---โลกนี้ และระบบสามภพที่ครอบโลกเป็นชั้นๆ หรืออยู่ลึกลงไปในใต้ดินเป็นชั้นๆ ก็ดี ล้วนมีอันต้องแตกดับไปตามหลักอนิจจัง อันว่าโลกไม่เที่ยง สวรรค์ไม่เที่ยง นรกไม่เที่ยง ภพไม่เที่ยงนั้นแน่แท้หนอ เมื่อถึงคราวที่โลกกำลังจะแตกดับ เทวดาตนหนึ่งจะลงมาจากสวรรค์ แล้วสยายผมพร้อมร้องตะโกนว่า “โลกจะแตกแล้วหนอๆๆ” เพื่อเตือนให้สรรพสัตว์ทั้งสามภพเตรียมเข้าฌานและตายในฌานเพื่อจุติไปพักยังพรหมโลก (มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎก) แล้วโลกก็จะถึงแก่การหายนะ ไหม้ลามไปถึงสวรรค์ทุกชั้น และนรกทุกขุม เป็นอันแตกดับทั้งหมด ซึ่งก็คือ


---ช่วงที่โลกระเบิดตามทฤษฎีที่นักวิทยาศาสตร์กล่าวไว้นั่นเอง ดังนั้น โลกไม่เที่ยง สวรรค์ก็ไม่เที่ยง ไม่ใช่ที่อาศัย ไม่ใช่ที่พึ่งของสรรพสัตว์ ไม่ใช่ที่ยึดมั่นถือมั่นได้ การทำบุญเอาสวรรค์ การแก่งแย่งของใดๆ ในโลก จึงไม่ช่วยให้พ้นจากหายนะนั้นได้ นอกเสียจากสรรพสัตว์จะพัฒนาจิตตน จนหลุดพ้นจากภพและชาติใดๆ ไม่มีเกิดและตายอีก กลับสู่ภาวะเดิมแท้ที่ไม่เกิดไม่ดับ ไม่สูญ และยังสามารถคอยช่วยเหลือเหล่าสรรพสัตว์อื่นๆ ที่ยังอาศัยระบบสามภพนี้ ในการพัฒนาจิตตนต่อไปได้ เมื่อโลกแตกแล้ว สามภพในโลกธาตุนั้นๆ ก็สิ้นลง จำต้องรอโลกธาตุใหม่ที่พร้อมให้มนุษย์ไปเกิดได้ ดวงจิตที่ไปจุติยังพรหมโลกก็จะจุติใหม่อีกครั้งเพื่อวิวัฒนาการครั้งใหม่


๓.ระบบการจัดการสามภพ


---ระบบการจัดการสามภพ ถูกดูแลด้วยองค์พุทธะทั้งที่ยังเวียนว่ายตายเกิดในสามภพแห่งโลกธาตุนั้นๆ เอง และองค์พุทธะที่หลุดพ้นจากชาติภพแล้ว (ได้แก่ พระพุทธเจ้า-พระปัจเจกพุทธเจ้า-พระอรหันต์ ที่นิพพานแล้วนั่นเอง) ท่านเหล่านี้จะคอยตรวจดูด้วยทิพญาณอันหาที่สุดไม่ได้ เพื่อช่วยเข็ญสรรพสัตว์จากพรหมโลกมายังโลกธาตุใหม่ในจำนวนที่เหมาะสม ทรงแผ่ปราณสีขาว อันส่งผลให้มีต้นไม้งอกงามในโลกธาตุใหม่นั้นๆ (หากเอาต้นไม้ถ่ายออร่าดูก็จะพบออร่าสีขาว) เพื่อให้สรรพสัตว์ได้อาศัย ทรงแผ่ปราณเพื่อปรับภูมิประเทศของโลกให้มีธาตุทั้งสี่สมดุลกัน


---พร้อมแก่การมีสิ่งมีชีวิต สิ่งเหล่านี้ ไม่มีการอ้างอิงถึงองค์พุทธะ มิได้ทรงยกยอตนเองว่าเป็นผู้ช่วยมวลสรรพสัตว์ แต่ทรงทำโดยไม่ต้องกล่าวอีก ด้วยพระมหากรุณาอันประมาณมิได้นั่นเอง ในกระบวนการนี้ พระเยซูจะเรียกว่า “การสร้างโลกของพระเจ้า” ซึ่งในทางพุทธมหายาน จะกล่าวถึงองค์พระพุทธะที่คอยสร้างโลกในลักษณะนี้ (แต่จะแตกต่างกันเล็กน้อยในกุศโลบายในการเล่า) เช่น พระวิศวะปานี ที่จะทรงสร้างสิ่งต่างๆ รอรับการจุติของพระศรีอาริยเมตตรัยในอนาคต ดังนั้น


---การเปลี่ยนแปลงของโลกธาตุบนโลกนี้ ล้วนไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นลอยๆ อย่างไม่มีเหตุ แต่มีเหตุจากพลังอันมหาศาล ที่บริสุทธิ์เกื้อกูลโลกเรานี้เอง เป็นพลังจิตของผู้พ้นแล้วจากการเวียนว่ายตายเกิดทั้งหลายที่คอยช่วยเหลือมวลมนุษย์อยู่ นอกจากงานสร้างโลกนี้แล้ว โลกยังต้องมีวาระในการถูกล้างใหม่ เพื่อปรับสมดุลตัวเองเสมอๆ เป็นวาระๆ ไป เมื่อสรรพสัตว์เรียงลำดับกันลงมาเกิด จากที่จิตดีงามในสวรรค์ชั้นบน ลงไปจนถึงจิตต่ำทรามจากนรก มาผลัดกันเกิดอย่างมีระบบและมีบัญชีรายชื่อในการเกิดเป็นมนุษย์ที่จัดการโดยเทวดาชั้นปกครองทั้งหลาย


---โลกก็จะทรุดโทรมเพราะสรรพสัตว์ได้ทำลายโลกลงไปมาก ก็ถึงแก่วาระการล้างโลก เมื่อล้างแล้วโลกยังไม่ถึงกาลแตกดับ ก็จะมีการสร้างใหม่เป็นวาระไป อายุขัยมนุษย์ก็สัมพันธ์กับปรากฏการณ์นี้ กล่าวคือ ช่วงที่มนุษย์มีจิตดีงามมาเกิด อายุขัยก็ยืน โลกก็เจริญด้วยพลังชีวิต จากนั้นก็แย่ลงเป็นกราฟระฆังคว่ำทั้งด้านจิตใจ-อายุขัย-และพลังชีวิต กราฟวิวัฒนาการของมนุษย์ก็ขึ้นลงดุจคลื่นรอบแล้วรอบเล่า จวบจนกว่าจะถึงกาลปาวสานแห่งโลกธาตุใบนี้ นับเป็นกัปกัลป์ ในระหว่างช่วงของการสร้างใหม่และการทำลายล้างนั้น จะมีการรักษาปกป้องภาวะที่ดีงามอยู่ ให้ยืนยาวนาน สามประการนี้ เรียกว่า หน้าที่แห่งมหาเทพ ดังที่ชาวฮินดูได้เล่าไว้นั่นเอง คือ การสร้าง-การรักษา-และการทำลายล้าง โลกใบนี้ตามวาระๆ ไป


๔.ช่องทางเข้าออกของสามภพ


---สามภพนี้ได้แก่ นรก-สวรรค์ และโลกมนุษย์ มีช่องทางเข้าออกเชื่อมโยงกันอยู่ คือ ประตูนรกและประตูสวรรค์ ประตูทั้งสองประเภทมีหลายแห่ง แต่ละแห่งจะมีเทพเฝ้าที่มีอิทธิฤทธิ์มาก และเคร่งครัดดุร้าย แต่มีศีลและหิริโอตตัปปะบริบูรณ์ เช่น เทพนาจา ปกติจะไม่มีทางเข้าออกระหว่างโลกและภพอื่นนอกเหนือจากนี้อีก ยกเว้นกรณีบางกรณี คือ ช่วงระหว่างการล้างโลก พลังคุ้มกันสามภพจะอ่อนกำลัง และเกิดรอยรั่วและรอยร้าวหลายแห่ง ส่งผลให้สรรพสัตว์ทั้งสามภพพบเจอกันได้ง่าย สัตว์นรก-เทวดาก็มายังโลกมนุษย์ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังมีช่วงเวลาที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงเปิดโลก หรือเปิดสามภพ เป็นพุทธประเพณีที่ทรงกระทำต่อเนื่องกันมา ทำให้เทพเฝ้าประตูเปิดประตูนรกสวรรค์ชั่วคราว อนุญาตให้จิตวิญญาณได้กลับมายังโลก


---เล่าเรื่องราวและติดต่อกับญาติพี่น้องเพื่อบอกถึงความมีอยู่จริงของนรกสวรรค์ เตือนให้เร่งสร้างคุณงามความดีได้ ซึ่งจะอยู่ในช่วงประเพณีตักบาตรเทโวบนโลกมนุษย์ (หลังพระพุทธองค์เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์) ดังนั้น จิตวิญญาณที่เป็นผีและเทวดา จึงมีโอกาสติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ในช่วงนี้ทุกปี ด้วยการทรงเจ้าเข้าผีก็ดี นอกจากประเพณีนี้แล้ว ยังมีประเพณีอื่นๆ ที่พระโพธิสัตว์บางองค์ได้เจรจาต่อรองเป็นการพิเศษ เพื่อให้จิตวิญญาณนอกภพ ได้สื่อให้มนุษย์ได้สัมผัสถึงความมีอยู่จริงของนรกสวรรค์อีกด้วย ทำให้เกิดประเพณีการทรงเจ้าเข้าผีในช่วงเทศกาลต่างๆ เช่น เทศกาลกินเจ เป็นต้น นับจากนั้นมามนุษย์ก็ได้สื่อกับจิตวิญญาณมากขึ้น แต่กลับไม่เชื่อในเรื่องความมีอยู่จริงของภูตผีและเทวดา



*สถานการณ์การทรงเจ้าเข้าผีในปัจจุบันเป็นอย่างไร


---ปัจจุบันหลังจากบางประเทศได้ทำการทดลองอาวุธที่รุนแรงใต้พื้นดิน ส่งผลให้ระบบป้องกันสามภพแปรปรวน และเกิดรอยรั่วขึ้นในส่วนของผนังนรก-สวรรค์บางส่วน ในแง่ของวิทยาศาสตร์สามารถตรวจสอบได้จากระบบแม่เหล็กโลก ซึ่งแปรปรวนอย่างรุนแรง จนถึงวิกฤติที่ไม่อาจปกป้องรังสีบางชนิดจากนอกโลกได้อีก กระแสแม่เหล็กโลกนี้ ก็คือ ส่วนของ “เขาพระสุเมรุ” นั่นเอง โดยรากของเขาพระสุเมรุ ก็คือ แกนโลกจากขั้วเหนือไปใต้ ร้อยทะลุนรก แล้วแผ่เป็นพลังหนาแน่นออกพวยพุ่งเป็นท่อที่เล็กลง เพราะเมื่อเขาพระสุเมรุหรือกระแสแม่เหล็กโลก พุ่งผ่านสวรรค์ชั้นใดๆ ก็จะแผ่กระแสแม่เหล็กบางส่วนออกไปป้องกันสวรรค์แต่ละชั้น ทำให้กระแสแม่เหล็กเบาบางลง


---จึงมีลักษณะแทนที่จะเป็นเขาท่อกลมสูง กลายเป็นรูปทรงกรวยยอดแหลมแทน เมื่อดูด้วยตาทิพย์จะเห็นเป็นเขาพระสุเมรุ แต่เมื่อดูด้วยตาเนื้อจะมองไม่เห็นอะไรเลย แต่เมื่อตรวจดูด้วยกล้องถ่ายพิเศษทางวิทยาศาสตร์ จะเห็นเป็นกระแสแม่เหล็กโลก กระแสแม่เหล็กโลกจะสมดุลอยู่ได้ด้วยการเคลื่อนตัวของเหล็กร้อนเหลวในชั้นแมนเทิล ซึ่งก็คือ นรกที่มีสมดุลในตัวเองนั่นเอง แต่หากได้รับความกระทบกระเทือนจากการทดลองระเบิดใต้พื้นดินแล้ว ชั้นแมนเทิลจะถูกรบกวนการไหลเวียน (เหมือนคลื่นที่เกิดจากการโยนหินลงน้ำวน) จนกระแสแม่เหล็กโลกแปรปรวนจะส่งผลต่อชั้นบรรยากาศ ซึ่งก็คือ สวรรค์ นั้นเอง


---ระบบสามภพจึงแปรปรวนด้วยประการฉะนี้ โปรดอย่าคิดว่าเป็นเรื่องตลกที่เกิดไม่ได้จริง อย่าคิดว่านรก-โลก-สวรรค์ แยกกันอยู่ตัวใครตัวมัน ตัวกูของกู อัตตา ไม่สามารถกระทบถึงกัน ขอให้เชื่อในทฤษฎี Butterfly effect เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว การทำร้ายโลกครั้งหนึ่ง นรกและสวรรค์ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ดังนั้น ภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน จึงเลวร้ายกว่าที่คาดคิดกัน เพราะนอกจากคลื่นพลังความร้อนนอกโลกจะส่องลงมาทำลายโลกแล้ว แม้แต่คลื่นพลังบางชนิดที่ถูกซ่อนไว้ใต้พื้นดิน ก็จะถูกขับดันออกมาด้วย หนึ่งในนั้น คือ พลังชีวิตที่เรียกว่า “จิตวิญญาณของมารนรก” นั่นเอง


---ด้วยเหตุนี้ จึงส่งผลให้จิตวิญญาณมากมายมาวนเวียนและเกี่ยวข้องกับมนุษย์โลกมากเป็นพิเศษ การทรงเจ้าเข้าผี และภาวะความรุนแรงของอาชญากรรมที่ไม่คาดคิดจึงเกิดขึ้นอย่างที่นักวิทยาศาสตร์ไม่อาจอธิบายได้ เช่น นักศึกษามหาวิทยาลัยกราดยิงเพื่อนนักศึกษาแล้วฆ่าตัวตาย ในประเทศที่นับว่าเลิศหรูเจริญที่สุดในโลกใบนี้ นี่คืออะไรกัน เราจะอธิบายและหาทางป้องกันเรื่องเลวร้ายที่ไม่คาดคิด เหนือความคาดหมายนี้ได้อย่างไร ถึงเวลาหรือยังที่เราจะเปิดใจกว้างเรียนรู้ในสิ่งที่ตาเนื้อมองไม่เห็น และวิทยาศาสตร์ยังตามไปพิสูจน์ไม่ทัน


*จะแยกแยะได้อย่างไรว่ามีการทรงเจ้าจริง


---คนที่มีสติ มีจิตอยู่กับเนื้อกับตัวของตนเอง กับคนที่จิตถูกกด ถูกระงับ ถูกข่ม ถูกครอบงำด้วยจิตวิญญาณอื่นนั้นมีความแตกต่างกันมาก สำหรับนักปฏิบัติทางจิต ที่มีความชำนาญในจิตานุสติปัฏฐาน จะไม่ใช่เพียงแต่สักแต่ว่ารู้ว่าจิตคิดอะไร หากเคยได้รับกระแสจิตมารที่รบกวนขณะบำเพ็ญสมาธิ จนถึงขั้นแยกแยะออกได้ว่ากระแสจิตนั้นเป็นของเรา หรือไม่ใช่ของเราแล้ว ย่อมสามารถดูออกได้ไม่ยากนักว่ามีการเข้าทรงจริงหรือไม่ เกิดจากดวงจิตของจิตวิญญาณภายนอกหรือไม่ โดยปกติแล้ว ชาวบ้านนิยมใช้ความแม่นยำในการทำนายทายทัก


---ในการที่จะเชื่อการทรงเจ้าเข้าผีนั้น แต่ขอให้เข้าใจด้วยว่า แม้แต่พวกภูตผีเทวดา ก็มีกำลังญาณในการหยั่งรู้ไม่เท่ากัน มีข้อห้ามในการบอกและเปิดเผยในเรื่องต่างๆ ไม่เท่ากัน ดังนั้น การที่ผีหลอกคน (โกหกหลอกลวงเพื่อหวังลาภสักการะ) และเทวดาทายทักผิด ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ ไม่สามารถระบุได้ว่านั่นคือไม่ใช่การเข้าทรงจริงแต่อย่างใด การเข้าทรงนี้ แท้แล้วเป็นหลักวิชาหนึ่งในทางโยคะ ที่พราหมณ์ทั้งมวลจะต้องฝึกและเรียนรู้กัน เรียกว่า การหลอมรวมจิตเป็นหนึ่งเดียวกับปรมาตมัน หรือการสื่อจิตถึงองค์มหาเทพทั้งหลาย แล้วขอให้ท่านส่งพลังมา (อำนวยพรชัยให้อิทธิฤทธิ์) ให้แก่เรานั่นเอง อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าหลังการเข้าทรง ร่างทรงก็คือ คนปกติที่มีกิเลส การหลอกลวง การขูดรีด และเรียกค่าบริการที่สูงเกินจริง ล้วนแต่เกิดขึ้นได้เสมอ แม้ว่าจะเป็นการเข้าทรงจริงก็ตาม แต่กิเลสของร่างทรง ที่หวังเอาเงินคนก็จริงเหมือนกัน ดังนั้น นอกจากจะต้องแยกแยะว่ามีการเข้าทรงจริงหรือไม่แล้ว ยังต้องแยกแยะระหว่าง ร่างทรงที่ดีกับร่างทรงที่ไม่ดีอีกด้วย ทั้งนี้เพื่อปกป้องตนเองจากการถูกหลอกลวง


*จะแยกแยะได้อย่างไรว่าจิตวิญญาณที่เข้าทรงมาจากไหน


---จิตวิญญาณที่มากจากนรกและสวรรค์นั้นต่างกันมาก และจิตวิญญาณที่มาจากสวรรค์ชั้นต่างๆ ก็ต่างกันอย่างชัดเจนอีกด้วย จะขอสรุปง่ายๆ เพื่อให้สังเกตกันดังต่อไปนี้


---๑.ถ้าปกติมักเข้าตอนจิตตก จิตอ่อนกำลังเท่านั้น เข้าตอนจิตปกติไม่ได้ ส่วนใหญ่จะเป็น “สัมภเวสี” พวกนี้กำลังจิตน้อยกว่าคนปกติ จะเข้าร่างคนปกติได้ตอนที่คนปกติมีกำลังจิตอ่อน จิตตกเท่านั้น ยกเว้น มารนรกที่มีฤทธิ์มาก จะครอบงำจิตคนได้มาก


---๒.ถ้าเข้าแล้วยื้อกับร่างทรงไม่ไหว ออกได้ง่ายเพียงแค่ร่างทรงได้สติ อาจเป็นสัมภเวสีธรรมดา หากเป็นเทวดากำลังจิตจะสูงกว่าร่างทรง แม้ร่างทรงมีสติก็ยังไม่อาจสลัดจิตของเทพเทวดานั้นออกได้ง่ายๆ เรื่องกำลังจิตมากน้อยนี้ต้องพิจารณาเป็นรายไป


---๓.ถ้าเข้าเป็นเวลา ออกเป็นเวลา มีระเบียบเรียบร้อยมาก มักเป็นเทวดาชั้นสูง ส่วนเทวดาชั้นล่างลงไป หรือสัตว์นรก จะขาดระเบียบลงไปตามลำดับ และมักยกเว้นการเข้าทรงในวันพระ สำหรับเทวดาที่มีกิจไปฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตว์


---๔.ถ้าเข้าแล้วชอบกินแต่ของคาวๆ เหม็นๆ เน่าๆ เลือดหรือเนื้อสดๆ มักเป็นจิตวิญญาณชั้นต่ำ เป็นพวกอสุรกายก็มี ยกเว้นน้อยจริงๆ ที่จะเป็นเทวดา ซึ่งจะเป็นชั้นล่างสุด เช่น พวกกึ่งเทพกึ่งเดรัจฉานที่ยังเหลือในสมัยโบราณ ที่ไม่ใช่นาค เป็นต้น


---๕.ถ้าเข้าทรงแล้วชอบแต่ของสวยๆ งามๆ ประณีต ของหอม มักไม่นิยมของที่มนุษย์มีนัก มักเป็นเทวดาประเภทนางฟ้าชั้นสูงๆ หน่อย นางฟ้าบางจำพวกก็เป็นพวกมีฤทธิ์มาก เน้นการฝึกอิทธิฤทธิ์ก็มี เช่น นางฟ้าบริวารของมหาเทพองค์ต่างๆ เป็นต้น


---๖.ถ้าเข้าทรงในงานไหว้ครู มักแสดงความสามารถที่ตนมี เช่น อยู่ๆ ร่ายเวทย์มนต์-ลุกขึ้นรำ- ฯลฯ มักเป็นเทวดาจำพวกที่เรียนวิชชาสายต่างๆ ต่างครูบาอาจารย์บนสวรรค์ จึงปฏิบัติบูชาด้วยการแสดงความสามารถที่ครูสอนให้ เพื่อบูชาแด่ครูบาทั้งหลาย


---๗.การแสดงอิทธิฤทธิ์ มีในเทพเทวดาบางกลุ่ม แต่ใช่ว่าเทพที่ไม่แสดงอิทธิฤทธิ์จะไม่มีฤทธิ์เสมอไป เพียงแต่ท่านไม่นิยมแสดงเท่านั้น เทพเทวดาบางจำพวกเน้นด้านปัญญา และช่วยเหลือคนด้วยปัญญาก็มี จึงไม่จำเป็นต้องแสดงฤทธิ์เสมอไป การใช้อิทธิฤทธิ์มาวัดความเป็นเทพเทวดานั้นไม่ถูกต้อง สมควรวัดที่ศีลและบารมี


*จะทำอย่างไรหากถูกทักว่ามีองค์ต้องรับขันธ์


---บุคคลที่มีปัญหาชีวิตถูกรุมเร้าถาโถมอย่างไม่ทันตั้งตัว และมักมีอาการแปลกๆ เกิดขึ้นกับร่างกาย หรือจิตใจก็ดี มักถูกทักว่ามีองค์ หมายถึง มีจิตวิญญาณเทพเทวดาจะมาอาศัยร่างเพื่อร่วมบำเพ็ญบุญบารมีด้วยในรูปแบบต่างๆ ส่วนใหญ่จะปฏิเสธเพราะไม่นิยมเรื่องแบบนี้ และมักเกิดขึ้นกับคนที่ไม่นิยมเสียด้วยสิ ในกลุ่มคนที่อยากได้มักไม่ได้ คนที่ไม่อยากได้มักจะมา สาเหตุอาจเกิดจาก ก่อนที่จะจุติยังโลกมนุษย์นั้น ได้เคยเป็นเทพเทวดาบริวารของเทพองค์อื่นๆ และได้ทำสัญญากันไว้ว่า หากมาเกิดบนโลกแล้วจะต้องให้ท่านได้บำเพ็ญบารมีด้วย


---ท่านจึงอนุญาตให้ลงมาเกิด หลายคนเป็นเทวดาบุญน้อยที่ขยันและตั้งใจดีในการบำเพ็ญ เพราะล่วงรู้ว่าในชาตินี้จะได้มีโอกาสทำบุญมาก กับผู้มีบุญมากที่จะมาเกิดยังโลกมนุษย์เพื่อโปรดสัตว์ทั้งสามภพ ดังนั้น เทพเทวดาที่ลงมาจุติไม่ได้เพราะติดภาระเบื้องบน จึงส่งให้บริวารบางตนที่ไว้ใจได้และขยันขันแข็งลงมาจุติแทน เมื่อถึงวาระที่ควรก็จะดลบันดาลให้ระลึกนึกถึง หรือมีเหตุให้ต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้ คือ ต้องให้เทพท่านได้บำเพ็ญบารมีร่วมกัน ร่วมโปรดมนุษย์สร้างสรรค์สังคม จรรโลงพระพุทธศาสนาด้วยกันนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีเทพเทวดาอีกมาก ที่แอบหลบหนีผู้ปกครองสวรรค์ลงมาทำการนี้ เนื่องจากระบบปิดกั้นสามภพมีช่องโหว่ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น 


---ดังนั้น จึงพบว่าปัจจุบันมีคนจำนวนมากขึ้นที่ต้องรับขันธ์ การรับขันธ์ไม่ได้แปลว่าต้องเป็นคนทรงเจ้าเสมอไป แล้วแต่รูปแบบที่เทพท่านได้ตกลงสัญญากันไว้ว่าจะมาช่วยเหลือกันในรูปแบบใด ดังนั้น การรับขันธ์ก็คล้ายๆ กับการรับขวัญ เมื่อมีเรื่องราวไม่ดีในชีวิต ขวัญเสีย ก็ไปรับขวัญ ต่างกันนิดหน่อย คือ ในการรับขันธ์นั้น ต้องมีการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต จากการเป็นคนไม่สนใจ ไม่จริงจังในการบำเพ็ญเพียร มาเป็นการตั้งใจจริงจัง และบำเพ็ญเพียรอย่างจริงจังมากขึ้น จนถึงขั้นมีรูปแบบชีวิตใหม่นั่นเอง อันที่จริง การรับขันธ์ หมายถึง พิธีการรับครูทางจิตวิญญาณที่มองไม่เห็น ซึ่งเป็นเทพเทวดาต่างๆ ที่จะลงมาคุ้มครองเรา และช่วยเราในการบำเพ็ญเพียรบนโลกมนุษย์นั่นเอง


*จะอยู่ร่วมกับจิตวิญญาณเหล่านี้ได้อย่างไรอย่างสันติสุข


---สิ่งที่ต้องกลัวและต้องระวังคือ วิญญาณชั้นต่ำทั้งหลาย วิญญาณชั้นต่ำเหล่านี้หนีออกมาจากนรกแล้วหลบซ่อนอยู่แถวเขตเสรีสามภพบนโลกมนุษย์ เช่น ทางสามแพร่ง เพื่อรอเวลาจับหาคนที่จิตอ่อน สติน้อย เพื่อครอบงำ อาศัยจิตวิญญาณชั้นต่ำเหล่านี้เมื่อหนีออกมาจากนรกใหม่ๆ จะอ่อนล้าเพราะถูกทรมานในนรกอยู่นาน จึงยังไม่มีฤทธิ์มากนัก และจะครอบงำจิตคนได้เฉพาะคนที่จิตตก จิตอ่อนแอ อยู่ในภาวะขาดสติ เช่น ดื่มเหล้าเมามาย-เสพสิ่งเสพติด-เต้นรำเสียงดังอึกทึก เป็นต้น จิตวิญญาณเหล่านี้มีหลายพวก เป็นพวกที่ผิดศีลทั้งห้าข้อหลัก ดังนั้น จึงครอบงำให้ไปในทางผิดศีลห้าได้ง่าย เช่น มีคู่นอนหลายคน-ฆ่ากันทำร้ายร่างกายกัน-โกหกหลอกลวงกัน-ขโมยทรัพย์ผู้อื่น-และการติดสิ่งเสพติดต่างๆ สำหรับจิตวิญญาณที่ดีงาม เช่น เทพเทวดานั้น เมื่อปรับตัวอยู่ร่วมกันได้ดีแล้ว จะนำแต่ความสุขความเจริญมาให้ จะช่วยให้พ้นเคราะห์พ้นกรรมเร็วขึ้น และสามารถดำรงชีวิตอยู่บนโลกได้อย่างงดงาม ในฐานะที่มีผู้คนยอมรับ และเป็นอิสระจากระบบทาสจำยอมในสังคม และมักพบว่าคนที่มีองค์มักมีอิสระในชีวิตกว่าปกติ


*บำเพ็ญเพียรร่วมกับองค์เทพต้องทำอย่างไร


---แนวทางการบำเพ็ญร่วมกับองค์เทพนั้น แท้แล้วเป็นมรรคาแห่งพราหมณ์ แท้จริงในสมัยโบราณมีการบำเพ็ญกันแบบนี้มาก ในปัจจุบันพราหมณ์จำนวนน้อยนักที่จะสามารถติดต่อสื่อสารกับเทพองค์ต่างๆ ได้ แต่ชาวบ้านธรรมดากลับสามารถทำได้ดีกว่า เพราะมีสัญญาทางใจกับองค์เทพบ้าง เป็นบริวารขององค์เทพมาเกิดบ้าง เป็นต้น ในการบำเพ็ญแนวพราหมณ์นั้น สามารถมีครอบครัวทำงานต่างๆ ได้ เมื่อถึงจุดหนึ่งจะไม่ต้องทำงานทางโลก จะเป็นอิสระ องค์เทพจะช่วยสนับสนุนให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างสบาย มีกินมีใช้พอดีพอเพียง ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่ขาดแคลนเกินไป และในช่วงบั้นปลายของชีวิตอาจได้ละครัวเรือนเพื่อบวชพราหมณ์ และบำเพ็ญเป็นฤษีอย่างเต็มตัว ตามหลักคฤหัสถ์ ๔ ในระหว่างการบำเพ็ญร่วมกับองค์เทพ ร่างทรงควรมีหลักการบำเพ็ญดังนี้


---๑.ศีล ควรมีศีล ๕ เป็นอย่างต่ำ เพื่อปกป้องตนเอง จากวิญญาณชั้นต่ำที่จะมาเข้าร่างของเรา จำไว้ว่าเมื่อจิตเราเปิดรับจิตวิญญาณภายนอกแล้ว จะง่ายที่จะถูกเข้าร่าง การมีศีลอย่างต่ำ ศีลห้าจะทำให้จิตวิญญาณชั้นต่ำเข้าอาศัยร่างเราได้ยาก แต่หากขาดศีล ย่อมทำให้จิตวิญญาณชั้นต่ำเข้าอาศัยร่างเรา และสุดท้ายอาจมีสภาพครึ่งผีครึ่งคน เช่น กลายเป็นปอบเป็นกระสือ ฯลฯ หากสามารถทำได้ควรถือศีล ๘ จะดียิ่ง (บวชพราหมณ์)


---๒.สมาธิ ควรฝึกอย่างสม่ำเสมอ เพราะจิตที่มีพลังและแจ่มใส จะสามารถติดต่อสื่อสารกับองค์เทพได้ดีกว่าจิตที่หม่นหมองขาดสมาธิ การสื่อกับองค์เทพได้ จะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตร่วมไปกับการบำเพ็ญเพียรกับองค์เทพได้ดี มีปัญหาอะไรก็สามารถเจรจากับองค์เทพท่านได้โดยตรง บางท่านที่ฝึกจิตได้ถึงขั้นสูง จะสามารถมองเห็นองค์เทพได้ (บรรลุทิพจักษุ) และสามารถพูดคุยกับองค์เทพได้ (ภาษาเทพ) บางท่านก็สามารถอ่านจิตกันได้โดยตรง โดยไม่ต้องพูดคุยสื่อสารกันเลย เป็นต้น นี่เป็นผลจากสมาธิที่ดี


---๓.ปัญญา ผู้บำเพ็ญต้องไม่ลืมว่า การใช้อิทธิฤทธิ์มากไปจะนำความวุ่นวายมาสู่ชีวิตภายหลัง พระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้แสดงอภิญญามาก เพราะทรงเล็งเห็นปัญหาข้อนี้ ที่จะเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติจิตเพื่อความสงบ หากมีการแสดงฤทธิ์มากไป ความสงบสุขจะหายาก หลายคนที่นิยมลองฤทธิ์และอวดฤทธิ์กัน จะเข้ามาลองดีกัน ทำให้วุ่นวายไปหมด ดังนั้น ควรฝึกใช้ปัญญาในการช่วยเหลือคนจะดีกว่า โดยเฉพาะปัญญาทางธรรม ดังนั้น แม้มีองค์เทพมาช่วยเราแล้ว เรายังต้องศึกษาหลักธรรมตามหลักพระพุทธศาสนาด้วย


---๔.พรหมวิหาร ผู้ที่บำเพ็ญแนวนี้ จำต้องมีพรหมวิหารสี่ให้ได้ เพราะต้องมีหน้าที่ช่วยเหลือคน จะมีจิตริษยาอาฆาตไม่ได้ เพราะจะถูกมารสวรรค์ครอบงำ และพาลงสู่ความมืดมนเศร้าหมองในภายหลัง การมีพรหมวิหารทำให้จิตมารแทรกได้ยาก กล่าวคือ เมตตา นอกจากเป็นความดีงาม เป็นทางปฏิบัติเพื่อโปรดสัตว์แล้ว ยังเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้จัดการกับจิตอาฆาต ซึ่งเป็นจิตมาร อีกทั้งมุทิตา ก็เช่นกัน สามารถปราบจิตริษยาได้


---๕.บารมี ผู้ที่จะโปรดสัตว์ได้ มีสานุศิษย์ได้ เข้ากับคนจำนวนมากๆ ได้ดี จะต้องบำเพ็ญบารมีทั้ง ๑๐ ประการ ตามแนวทางแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ร่างทรงที่มีบารมีมาก แม้แต่ผีและเทวดาด้วยกันเห็นยังต้องเกรงใจ ผู้คนทั่วไปต้องเคารพนับถือ ไม่อาจทำการล่วงเกินได้ บางท่านมีเมตตาบารมีมาก ใครได้อยู่ใกล้จะไม่อยากจากไปเลย เหมือนความทุกข์ทั้งหลายถูกปลดทิ้งไปชั่วคราว ฉะนั้น นี่คือ ผลแห่งการบำเพ็ญบารมี


---ผู้มีองค์เทพ ควรทำการรับขันธ์ ขึ้นครู ให้เป็นพิธี  เพื่อให้องค์เทพสามารถทำกิจได้สะดวกไม่ผิดกฎสวรรค์ และไม่รบกวนเราอีก ควรทำการไหว้ครูทุกปี ซึ่งอาจเตรียมขันธ์ของเราไปร่วมกับผู้อื่นก็ได้ หรือหากมีเงินมากก็อาจจัดปรำพิธี ขึ้นบายศรีบวงสรวงเองก็ได้ ควรเลือกรับขันธ์กับผู้ที่ประสบความสำเร็จมาก่อนและขอคำชี้แนะในการปฏิบัติจากท่านผู้นั้น...


(หมายเหตุ)...หาดูรายละเอียดได้ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง

.....................................................................





 ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล

รวบรวมโดย...แสงธรรม

อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 26 กันยายน 2558

แก้ไขแล้ว ป.

Tags :

0 ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

*

*

view

ประวัติต่างๆ

ประวัติวัดเขาไกรลาศ

ประวัติของหลวงพ่อเทียน=คลิป

มาเช็คชื่อ-เช็คสกุลกันดีกว่า=คลิป

ประวัติพระอธิการชิติสรรค์ จิรวฑฺฒโน=คลิป

ขอเชิญผู้ร่วมบุญสร้างอาศรมเสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก

ประวัติหลวงปู่เทพโลกอุดร

ประวัติฝ่าพระหัตถ์ของพระพุทธองค์

ประวัติของนางวิสาขา=คลิป

ประวัติของอนาถปิณฑิกเศรษฐี=คลิป

ประวัติของเศรษฐีขี้เหนียว

ประวัติเหตุทำบุญที่ช้า=คลิป

ประวัติของผู้ร่วมบุญ=คลิป

ประวัติของพระไตรปิฎก=คลิป

ประวัติการสร้างพระพุทธรูปและพระเจ้า ๕ พระองค์

ประวัติง้วนดิน

ประวัติปู่ฤาษีนารอท

ประวัติพระปางมหาจักรพรรดิ์ ทรงปราบพระเจ้ามหาชมพูบดี

ประวัตินางห้าม..แห่งขอมโบราณ

ประวัติพญานาค

ความรู้และรายละเอียดพุทธเจดีย์

พระมหาโพธิสัตว์

สาระธรรม

ธรรมะส่องใจ

อานิสงส์แต่ละอย่าง

ประเพณีต่างๆ

ตำนานทั่วไป

สาระน่ารู้

ปกิณกะธรรม

วัตถุมงคล-สาระอื่นๆ

ข้อมูลทั่วไป

ปฎิทิน

« April 2024»
SMTWTFS
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930    

สมาชิก

ลืมรหัสผ่าน?
สมัครสมาชิก

สถิติ

เปิดเว็บ20/06/2011
อัพเดท20/04/2024
ผู้เข้าชม6,653,323
เปิดเพจ10,412,476
สินค้าทั้งหมด8

 หน้าแรก

 บทความ

 เว็บบอร์ด

 รวมรูปภาพ

 พระบรมสารีริกธาตุ

 โจโฉ รวมเสียงธรรม

 เฟสบุ๊ค

ติดต่อเรา-

view