นิโรธสมาบัติ" และ "นิโรธสกรรม" แตกต่างกันอย่างไร
---คำว่า “นิโรธ” นั้น เป็นคำไวพจน์ของนิพพาน ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงตรัส หมายถึง พระนิพพานล้วน ๆ เช่น อริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นิพพานจึงเป็นกาลวิมุติ คือ พ้นจากกาลทั้ง 3 เป็นขันธวิมุติ คือ พ้นจากขันธ์ทั้ง 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
---ฉะนั้น คำว่า “นิโรธ” จึงหมายถึง สมาบัติที่ จิต เจตสิก และจิตตชรูป ดับสนิท ตลอดเวลาที่ได้อธิฐานไว้ เป็นการดับชั่วคราว ซึ่งจะอยู่ในอิริยาบถเดียว คือ นั่งทำสมาธิตั้งแต่ปฐมฌาน จนถึง เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน โดยไม่ไหวติง หรือขยับไปไหนได้ จนกว่าจะถึงระยะเวลาที่ได้อธิฐานจิตไว้
---ในปัจจุบันได้มีพระภิกษุจำนวนมาก แม้กระทั่งแม่ชี หรือที่อ้างว่าเป็นภิกษุณี นั้น ได้ทำพิธีเข้า “นิโรธ” ที่ผิดไปจากความเป็นจริง เป็นการแสวงหาเงิน ทรัพย์สมบัติใส่ตัว มีการโฆษณาว่าจะเข้านิโรธวันนี้ หรือออกนิโรธวันนั้น ๆ ให้มาทำบุญทำทานกับพระอริยะผู้ได้ฌานสมาบัติ หากผู้ใดทำบุญกับพระที่ออกนิโรธแล้ว จะทำให้เป็นเศรษฐีกันในพริบตา เป็นต้น โดยจัดพิธีส่งเข้าห้องกันอย่างครึกโครม แท้จริงโดยไม่มีการเข้านิโรธได้ตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด เป็นแต่เพียงไปนั่ง ๆ นอน ๆ ในกุฎิ มีแอร์เย็นสบาย ดื่มน้ำได้ทุกชนิด แม้กระทั่งอาหารครบครัน รอถึงวันที่ได้กำหนดไว้ แล้วออกจากห้องอย่างอ้วนหมีพีมัน ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ราวกะว่า ไปสปามา
---ซึ่งหาดูได้ทาง Internet ไม่ว่าจะเป็นเวป Youtube หรือ เวปลิงค์ของเจ้าสำนักนั้น ๆ
---เพื่อเป็นการเข้าใจเรื่องนี้ ในที่นี้จะกล่าวถึงความหมายของ “นิโรธ” ที่เป็น “นิโรธสมาบัติ” ที่เป็น “นิโรธสกรรม” มาพอสังเขป ดังนี้
*1.นิโรธสมาบัติ
---ในคัมภีร์พระอภิธรรม นิโรธสมาบัติวิถี คือ วิถีที่มีการดับของจิต เจตสิกและจิตตชรูป มี 1 วิถี ดังนี้ ภฺ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ฌ – เจตสิกและจิตตชรูปดับ – ผ ภ ภ
---บุคคคลที่สามารถเข้านิโรธสมาบัติได้นั้น ได้แก่ พระอนาคามี และ พระอรหันต์ที่ได้ฌานสมาบัติ 9 (คือ รูปฌาน 5 และอรูปฌาน 4) ซึ่งอยู่ในกามสุคติภูมิ 7 และรูปภูมิ 15 (เว้นอสัญญสัตตภูมิ) เท่านั้น
---พระอนาคามีหรือพระอรหันต์ที่จะเข้านิโรธสมาบัตินั้น ต้องเข้าฌานไปตามลำดับ ตั้งแต่ปฐมฌานจนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้
---การเข้าปฐมฌานถึงวิญญาณัญจายตนฌาน เมื่อออกจากฌานนั้น ๆ แล้ว ต้องพิจารณาฌานจิต และเจตสิกที่ดับไปแล้ว โดยความเป็นไตรลักษณ์ทุกฌาน หลังจากนั้น จึงเข้าอากิญจัญญายตนฌาน และเมื่อออกจากอากิญจัญญายตนฌานแล้ว ไม่ต้องเจริญวิปัสสนาเหมือนฌานก่อน ๆ แต่ให้ทำบุพพกิจ 4 อย่าง เหล่านี้ คือ
---1.การอธิษฐานให้บริขารต่าง ๆ ของตนพ้นจากภัยอันตราย (นานาพัทธอวิโกปนะ)
---2.การอธิษฐานให้ออกจากนิโรธสมาบัติได้ทันที เมื่อพระพุทธเจ้าต้องการพบตัว (สัตถุปักโกสนะ) แต่สมัยนี้ ยกเว้นข้อนี้
---3.การอธิษฐานว่า เมื่อสงฆ์ประชุมกัน หากต้องการพบตัวข้าพเจ้าแล้ว ขอให้ออกจากนิโรธสมาบัติทันเวลาประชุม (สังฆปฎิมานนะ)
---4.การอธิษฐานกำหนดเวลาเข้านิโรธสมาบัติ (อัทธานปริจเฉทะ)
---ข้อนี้ควรพิจารณาตรวจดูชีวิตของตนด้วยว่าจะดำรงอยู่ได้ตลอด 7 วัน อันเป็นระยะเวลาที่เข้านิโรธสมาบัติหรือไม่ เมื่อตรวจดูแล้วทราบว่าจะอยู่ได้นานกว่านั้น ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แต่ถ้ามิอาจดำรงอยู่ได้ถึง 7 วันแล้ว หากบุคคลนั้นยังเป็นพระอนาคามีอยู่ ก็ไม่ควรเข้านิโรธสมาบัติ แต่ควรเจริญวิปัสสนากรรมฐานเพื่อบรรลุอรหัตตผลดีกว่า หากบุคคลนั้นเป็นพระอรหันต์ ก็สมควรเข้านิโรธสมาบัติ
---แต่ต้องกำหนดเวลาเข้าให้น้อยลง โดยออกก่อนหน้าเวลาที่จะปรินิพพาน ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้มีโอกาสกล่าวอำลาเพื่อนสหธรรมมิกทั้งหลาย
---อย่างไรก็ตาม บุพพกิจ 3 อย่างข้างต้นนั้น อาจจะไม่ต้องทำก็ได้ แต่สำหรับขอสุดท้าย (คือ อัทธานปริจเฉทะ) นั้น จำเป็นจะต้องทำเมื่ออยู่ในมนุสภูมิ แต่ในรูปภูมิ ไม่ต้องทำบุพพกิจเลยก็ได้ ถ้าจะทำบ้างก็เพียงแต่อธิษฐานกำหนดเวลาเข้าเท่านั้น
---เมื่อทำบุพพกิจเหล่านี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌานกุศล หรือกิริยา ตามสมควรแก่บุคคล เนวสัญญานาสัญญายตนฌานก็เกิดขึ้น 2 ขณะ หลังจากนั้น จิตเจตสิกและจิตตชรูปก็ดับลง คงมีแต่กัมมชรูป อุตุชรูป และอาหารชรูปเกิดอยู่ เป็นอันว่าสำเร็จการเข้านิโรธสมาบัติทุกประการ
**ส่วนการออกจากนิโรธสมาบัตินั้น
---มีความเป็นไปดังนี้ เมื่อครบกำหนดเวลาในการเข้านิโรธสมาบัติแล้ว อนาคมิผลจิตหรืออรหัตผลจิต ย่อมเกิดขึ้น 1 ขณะ ตามสมควรแก่บุคคลแล้วก็ลงภวังค์
---เมื่อออกจากนิโรธสมาบัติ จิตขณะแรกที่เกิดเป็น ผลจิต (โลกุตตรวิบากจิต) มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าเป็นพระอนาคามีบุคคลก็เป็นอนาคามิผลจิต ถ้าเป็นพระอรหันต์บุคคลก็เป็นอรหัตตผลจิต
*2. นิโรธสกรรม
---ไม่มีบัญญัติไว้ในพระธรรมวินัย ไม่มีในพระไตรปิฏก หรือ ไม่มีในคัมภีร์พระอภิธรรม
---ซึ่งได้ให้ความหมายว่า เป็นการบูชา ไม่ว่าจะบูชาต่อสิ่งใดๆ ก็ได้ ถือเป็นการบิดเบือนความหมายที่แท้จริง ไม่มีการทำให้แจ้งต่อนิโรธแม้แต่น้อย และไม่มีการบัญญัติไว้ในที่ใด ๆ ทราบเพียงแต่ว่า พระสาย “ครูบา”ต่าง ๆ ได้กระทำกันเป็นกิจวัตร จนถึงแม่ชีผู้ที่อ้างตนเป็นภิกษุณี นุ่งห่มผ้าเหลือ ก็ยังสามารถทำได้ และได้ให้ความหมายว่า
---การเข้านิโรธสกรรม 3 วัน เป็นการบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
---การเข้านิโรธสกรรม 5 วัน เป็นการบูชาพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ คือ
---1.พระกกุสันธะสัมมาสัมพุทธเจ้า
---2.พระโกนาคมสัมมาสัมพุทธเจ้า
---3.พระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า
---4.พระศรีศากยมุนีโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า
---5.พระศรีอริยเมตไตรยสัมพุทธเจ้า
---มีพิธีกรรม คือ เข้าไปอยู่ในห้องที่ได้จัดเตรียมไว้เฉย ๆ ไม่มีการทำสมาธิฌานตั้งแต่ ปฐมฌาน ถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะฌาน และสามารถดื่มน้ำได้ มีน้ำนม น้ำหวาน น้ำผลไม้คั้นต่างๆ บางคนมีการแอบฉันอาหารในห้องก็มี พอถึงวันที่กำหนดออกกรรม ก็จะมีการนัดโยมมาบริจาคถวายเงิน โดยอ้างว่า หากใครถวายเงินในวันออกนิโรธสกรรมจะได้เป็นเศรษฐีร้อยล้าน จึงมีคนหลงเชื่อเข้าใจว่า เป็นอย่างนั้นจริง ได้สูญเสียเงินมาแล้วหลายล้าน ซึ่งเป็นการอ้างเลียนแบบตามที่พระอริยเจ้าผู้เข้านิโรธสมาบัติจริง ให้ผลทานแก่ผู้ถวายอาหารมื้อแรก
---ส่วนความเป็นมาของการเข้านิโรธสกรรม นั้น มาจากพระสาย “ครูบา” ซึ่งในยุคปัจจุบันกำลังเป็นที่แพร่หลาย ในการยกระดับเทียบเท่ากับพระอริยบุคคล ชั้นพระอนาคามีและพระอรหันต์ ซึ่งได้อ้างตนว่า สามารถเข้านิโรธกรรมกันอย่างมากมาย จนได้รับสมญานามว่า เป็น “พระอริยะบุคคล” ชั้นต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องฝึกกรรมฐานแต่อย่างใด
---ซึ่งการกล่าวอ้างเช่นนี้ ย่อมเป็นอาบัติหนัก คือ การอวดอุตตริมนุสสธรรม มีคุณวิเศษ คือ ฌานสมาบัติ เป็นต้น อันไม่มีในตน ย่อมเป็นกรรมหนักที่สุด คือ ต้องอาบัติปาราชิก ซึ่งพระภิกษุใดที่อ้างดังกล่าว ถือว่าขาดจากความเป็นพระภิกษุเรียบร้อยแล้ว
---การนำคำว่า "นิโรธ" มาใช้ในพิธีกรรมใด ๆ ก็ตาม ย่อมมีความหมายเพียงหนึ่งเดียว คือ "การดับ" ซึ่งก็คือ การเข้าถึงนิพพาน นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการดับชั่วคราว คือ การเข้า "นิโรธสมาบัติ" จริง หรือ การเข้า "นิโรธสกรรม" คือ การเข้าสมาบัติปลอม ก็แล้วแต่ตามจะนึกคิด ย่อมหมายถึง "การเข้าสู่แดนแห่งพระนิพพาน" นั่นเอง
---ดังจะเห็นได้ว่า นิโรธสมาบัตินั้น ถ้าภิกษุใดสามารถเข้านโรธสมาบัติได้ นั่นแสดงว่า ท่านเป็นพระอริยะบุคคล ชั้น พระอนาคามี หรือ พระอรหันต์ ผู้ได้สมาบัติ 9 ผู้ใดได้ถวายอาหารมื้อแรกกับท่าน จะได้รับอานิสงส์ผลบุญมหาศาล แม้ปรารถนาสิ่งใดก็จะสมปรารถนากันในชาตินี้เทียว
---ส่วน นิโรธสกรรม นั้น ถ้าภิกษุใดอ้างว่าได้เข้านิโรธสกรรมได้ นอกจากจะไม่มีคุณวิเศษใด ๆ ในตัวเองแล้ว ยังเป็นการอวดอุตตริมนุสสธรรม ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาแล้ว เป็นผู้ที่ตัดคอตัวเอง ไม่มีสิทธิบรรลุมรรค ผล นิพพานในชาตินี้ ถือว่าเป็น “ภิกษุตาลยอดด้วน” ย่อมไม่มีความงอกเงยขึ้นมาอีก ผู้ใดได้ถวายทานไม่มีอานิสงส์ใด ๆ เลย ไม่ว่าชาตินี้ ชาติหน้า
---จึงเป็นปัญหาใหญ่สำหรับพระพุทธศาสนาเรา ที่ต้องแก้ไขห้ามปรามอย่างรีบด่วน ซึ่งหากปล่อยไว้ ไม่เพียงจะทำให้พระพุทธศาสนาต้องมัวหมองกับการประพฤตินอกรีต อันขัดต่อพระธรรมวินัยแล้ว ยังมีการถือปฏิบัติที่อวดเอาฌาน เอาความเป็นพระอริยะบุคคล มาใส่ตัวอย่างไม่เกรงกลัวต่อบาป ทั้งที่ไม่มีการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแม้แต่น้อย พิจารณาเถิด...
---ขอน้อมจิต : ขอขมาคุณท่านพระครูบาที่ล่วงลับไปแล้ว ผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบในการดำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา มา ณ ที่นี้ด้วยครับ.
---เพื่อธำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาให้ยาวนาน จึงต้องแจ้งแนวข้อปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ให้เกิดความสมบูรณ์มิคลาดเคลื่อน.
*อ้างอิง: จากพระอภิธรรม ว่าด้วยเรื่องนิพพานเป็นปรมัตถ์ นิโรธสมาบัติ
---ธรรมบท ประวัติพระอสีติมหาเถระ
---มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มหาเวทัลลสูตร
---วิสุทธิมัคค์ ปัญญาภาวนา สังสนิทเทส
---มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มหายมกวรรค จูฬโคสิงคสาลสูตร.
...............................................................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 26 กันยายน 2558
แก้ไขแล้ว ป.
0 ความคิดเห็น