แก้วจักรพรรดิ ข้อมูลจากตำรา
(ลูกแก้วมณีโชติ-ลูกแก้วจินดามณี-ลูกแก้วสารพัดนึก)
*ดวงแก้วจักรพรรดิ
---แก้วจักรพรรดิ เป็นหนึ่งในรัตนะทั้ง ๗ ของพระเจ้าจักรพรรดิเป็นแก้วสารพัดนึกที่สามารถดลบันดาลให้ผู้ที่เป็นเจ้าของ และผู้เลื่อมใสศรัทธาได้รับสิ่งที่ตนเองปรารถนาตามกำลังบุญของบุคคลนั้น ๆ
---ในจักกวัตติสูตร อังคุตตรนิกาย กล่าวถึงสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ ว่าประกอบด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ ๑. จักกรัตนะ (จักรแก้ว) ๒. อิตถิรัตนะ(นางแก้ว) ๓. มณีรัตนะ (ดวงแก้ว) ๔.ปรินายกรัตนะ (ขุนพลแก้ว) ๕. คหปติรัตนะ (ขุนคลังแก้ว) ๖. หัตถิรัตนะ (ช้างแก้ว) ๗.อัสสรัตนะ (ม้าแก้ว)
---ดวงแก้วมณี หรือ มณีรัตนะ คือ ดวงแก้วใสก็ปรากฏงดงามดวงโต ประมาณ 4 ศอก ก็เลื่อนลอยมาจาก วิปุลละบรรพต ดวงแก้วนั้นประดับด้วยฐานทองรองรับ มีดอกประทุมแก้วที่เป็นแก้วมุกดา ประดับไว้ทั้งสองข้าง แวดล้อมด้วยแก้วมณีที่เป็นบริวาร ๘๔,๐๐๐๐ ดวง งดงามมีสิริ ประดุจดาวล้อมเดือน ดวงแก้วนั้นมีรัศมีส่องสว่างไสวไปไกล ๑ โยชน์ มหาชนจะประกอบกิจการงานด้วยแสงสว่างแห่งดวงแก้วนั้น
---แก้วจักรพรรดิมีแสงส่องสว่างไปไกลถึง ๑ โยชน์ ในยุคที่มีพระเจ้าจักรพรรดิมาเกิด มนุษย์ในยุคนั้นอยู่ได้อย่างมีความสุขจากอานุภาพลูกแก้วจักรพรรดินั้น
*ลักษณะของลูกแก้วจักรพรรดิ
---๑.จุลจักร เป็นดวงแก้วกลมใสสะอาดบริสุทธิ์ ประณีตมีฤทธิ์อำนาจและบริวารน้อยกว่าแก้วมหาจักร
---๒.มหาจักร เป็นดวงแก้วกลมใสสะอาดบริสุทธิ์ ประณีตกว่าจุลจักร มีฤทธิ์อำนาจบริวารมากกว่าจุลจักร
---๓.บรมจักร เป็นดวงแก้วกลมใส ขาวสะอาดบริสุทธิ์ ประณีตกว่าแก้วมหาจักร มีฤทธิ์อำนาจและบริวารมากกว่าจุลจักรและมหาจักร
---กายหนึ่งๆ ก็มีจุลจักร มหาจักร บรมจักร พร้อมทั้งบริวารเป็นผู้เลี้ยงมีประจำไปเช่นนี้ทุกกาย กายละพวก ๆจนสุดหยาบสุดละเอียดผู้เลี้ยงก็มีไปจนสุดหยาบสุดละเอียดของกายผู้เลี้ยงเหมือนกัน
*ขนาดของจักรทั้ง ๓ กับแก้วบริวาร คือ
---๑)แก้วจุลจักรขนาดตั้งแต่เล็กเท่าแววตาดำขึ้นไปจนถึงโตเท่าผลมะตูมหรือผลมะขวิด
---๒)แก้วมหาจักรขนาดผลตาลขึ้นไปจนถึงผลมะพร้าวแห้ง
---๓)แก้วบรมจักรขนาดตั้งแต่เท่าบาตรขึ้นไปจนถึงโตเท่าตะแกรงหรือเท่ากระด้ง
---ดวงแก้วมณีนี้มีพบในดินแดนขุนเขาทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ของอินเดีย คือ ชมภูทวีปนั่นเอง
*การบังเกิดขึ้นของแก้วจักรพรรดิ
*แก้วจักรพรรดิ จะเกิดขึ้นได้ 3 แบบ คือ
---๑.ผุดเกิดขึ้นจากดิน
---๒.ผุดเกิดขึ้นจากน้ำ
---๓.ผุดเกิดขึ้นจากอากาศ
*ในครั้งพุทธกาลกรุงราชคฤห์มีภูเขาล้อมรอบ 5 ลูกคือ
---1.เขาวิปุลคีรี 2.เขาเวภาระ 3.เขาตะโปวัน 4.เขารัตนคีรี 5.เขาเสลาคีรี คือ เขาคิชกูฏ
*ณ เขาวิปุลคีรีมีดวงแก้ววิเศษ 3 ดวงคือ
---1.แก้วมณีโชติ เป็นดวงแก้วกลมขนาดใหญ่ มีบริวารถึง 3,000 ดวงเป็นดวงแก้วคู่บารมีของพระเจ้าจักรพรรดิ สามารถเปล่งแสงสว่างไสวในยามค่ำคืน ทำให้สว่างดุจกลางวัน เพราะในดวงแก้วมีองค์จักรพรรดิกายสิทธิ์ มีฤทธิ์มากดลบันดาลให้มีขึ้น
---แก้วมณีโชติ คือ แก้ววิเศษ หรือแก้วจินดามณี หรือแก้วสารพัดนึก สามารถเปล่งแสงได้ในตัวเองดุจแสงจากหลอดไฟนีออน หรือดุจแสงพระจันทร์เพ็ญและสามารถดลบันดาลให้ผู้ที่เป็นเจ้าของ และผู้เลื่อมใสศรัทธาได้รับสิ่งที่ตนเองปรารถนา
---2.แก้วไพฑูรย์ มี บริวาร 2,000 ดวง
---3.แก้วมรกต เป็นแก้วคู่บารมีของพระเจ้าธรรมามิกราชมีบริวาร 1,000 ดวงและ ณ เขารัตนคีรี มีดวงแก้วซึ่งเป็นแม่กายสิทธิ์ ซึ่งสามารถใช้ตามรัตนชาติต่าง ๆซึ่งมีจักรพรรดิ กายสิทธิ์ให้ปรากฏขึ้นในแผ่นดิน.
*อีกบทความ
ดวงแก้วจุลจักรพรรดิ
---แก้วจักรพรรดิ หรือแก้วกายสิทธิ์ ตามเหตุที่ค้นพบในวิชชาธรรมกาย พบว่า แก้วธรรมชาติเหล่านี้ ในองค์มีกายลักษณะคล้ายพระพุทธรูปทรงเครื่อง เรียกว่า จักร หรือจักรพรรดิหรือองค์กายสิทธิ์
---ในสมัยหลวงพ่อวัดปากน้ำ นิยมให้ผู้ถึงวิชชาธรรมกายถือดวงแก้วไว้ในมือในขณะนั่งสมาธิเข้าที่ทำวิชา เพราะจะช่วยเพิ่มกำลัง ทำให้ทำวิชาเร็ว และแรงขึ้นกว่าเดิม และมีคุณค่าต่อวิชชาธรรมกายมากมหาศาล ดังได้อธิบายมาแล้ว
---ดังนั้น บุคคลใด มีบุญมีบารมีได้ดวงแก้วจักรพรรดิ กายสิทธิ์เหล่านี้ และแก้วดวงแก้วกายสิทธิ์สามารถติดตามมาคุ้มครองช่วยเหลือแก่เจ้าของได้อีกในภพชาติต่อไป
---ในสมัยหลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านใช้ดวงแก้วจักรพรรดิ กายสิทธิ์ธรรมชาติแท้ ๆ ทำวิชชาช่วยเหลือวัดปากน้ำ จนอุดมสมบูรณ์รุ่งเรืองมาถึงทุกวันนี้
*ขนาดของจักรทั้ง ๓ กับแก้วบริวาร
---๑)แก้วจุลจักรและบริวารขนาดตั้งแต่เล็กเท่าแววตาดำขึ้นไป จนถึงโตเท่าผลมะตูมหรือผลมะขวิด (ดวงแก้วที่นำมาประมูลนี้ขนาดใหญ่กว่าผลมะตูมเล็กน้อย)
---๒)แก้วมหาจักรและบริวารขนาดผลตาลขึ้นไปจนถึงผลมะพร้าวแห้ง
---๓)แก้วบรมจักรและบริวารขนาดตั้งแต่เท่าบาตรขึ้นไปจนถึงโตเท่าตะแกรงหรือเท่ากระด้ง
---จักรทั้ง ๓ นั้น เหตุใดจึงเรียกนามว่า จักร คือ กายสิทธิ์มีตัวอยู่ในดวงแก้วดวงแก้วนั้นเป็นบ้านเรือนสำหรับอยู่อาศัยของเขาเหมือนมนุษย์อาศัยอยู่บ้านเรือน ภายในดวงแก้วนั้นมีรัตนะเจ็ด คือ แก้ว ๗ ประการดังต่อไปนี้จักรแก้ว ๑ ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว๑ ดวงแก้วมณี๑ นางแก้ว ๑ คฤหบดี(ขุนคลังแก้ว) ๑ ขุนพลแก้ว ๑
---ในแก้ว ๗ ประการนี้ จักรแก้วเป็นใหญ่ เป็นประธานเป็นตัวอำนาจมีสิทธิให้สำเร็จอำนาจและเกิดการน้อยใหญ่ดุจดังมหาอำมาตย์ผู้ใหญ่เป็นผู้สำเร็จราชการทั้งปวงความแตกต่างกันของจักรทั้ง ๓ นั้นคือ
---จุลจักร เป็นดวงแก้วกลมใสสะอาดบริสุทธิ์ประณีตมีฤทธิ์อำนาจและบริวารน้อยกว่าแก้วมหาจักร
---มหาจักร เป็นดวงแก้วกลมใสสะอาดบริสุทธิ์ประณีตกว่าจุลจักรมีฤทธิ์อำนาจบริวารมากกว่าจุลจักร
---บรมจักร เป็นดวงแก้วกลมใสขาวสะอาดบริสุทธิ์ประณีตกว่าแก้วมหาจักรมีฤทธิ์อำนาจและบริวารมากกว่าจุลจักรและมหาจักร
---กายหนึ่งๆก็มีจุลจักรมหาจักรบรมจักรพร้อมทั้งบริวารเป็นผู้เลี้ยงมีประจำไปเช่นนี้ทุกกายกายละพวก ๆจนสุดหยาบสุดละเอียดผู้เลี้ยงก็มีไปจนสุดหยาบสุดละเอียดของกายผู้เลี้ยงเหมือนกัน
*ความสำคัญของกายสิทธ์ต่อการเจริญวิชชาธรรมกาย
---กายสิทธิ์ในวิชชาธรรมกาย เรียกว่าภาคผู้เลี้ยงมนุษย์ซึ่งเป็นผู้เลี้ยงมนุษย์มีหน้าที่เลี้ยงดูพิทักษ์รักษาพวกกายมนุษย์พวกกายสิทธิ์มีรูปร่างคล้ายพระพุทธรูปทรงเครื่องมีดวงแก้วเป็นเรือนอาศัยกล่าวโดยย่อ มี ๓ ขั้น คือ
---๑.จุลจักรพร้อมทั้งบริวารมีหนาที่เลี้ยงรักษากายมนุษย์ที่มีบารมีอย่างต่ำ
---๒.มหาจักร พร้อมทั้งบริวารมีหน้าที่เลี้ยงรักษากายมนุษย์ที่มีบารมีชั้นกลาง
---๓.บรมจักรพร้อมทั้งบริวารมีหน้าที่เลี้ยงรักษากายมนุษย์ที่มีบารมีชั้นสูง
---มนุษย์คนหนึ่ง ๆ มีจักรพรรดิทั้ง๓พร้อมบริวารชุดหนึ่ง ๆ เป็นผู้เลี้ยงและอาจผลัดเปลี่ยนกันรักษาไปตามคราว ๆเป็นต้นว่า
---คราวใดจุลจักรกับบริวารเลี้ยงรักษาก็มีทรัพย์สมบัติและความสุขน้อยคราวใด มหาจักรกับบริวารเลี้ยงรักษาก็มีทรัพย์สมบัติและความสุขมัชฌิมาคราวใด บรมจักรกับบริวารเลี้ยงรักษาก็มีสมบัติและความสุขบริบูรณ์ทุกประการ
---ไม่เลี้ยงรักษาแต่เฉพาะกายมนุษย์เท่านั้น สิ่งไม่มีวิญญาณก็สมบูรณ์เหมือนกัน ถึงแม้สมัยยุคของโลกก็เลี้ยงทั่วไป เป็นสาธารณะเหมือนกันถ้ายุคใดสมัยใดจุลจักรกับบริวารเลี้ยงรักษาโลกก็มีความสุขน้อยสมบัติและอาชีพต่าง ๆก็อัตคัดกันดารไม่สมบูรณ์
---ถ้ายุคใดสมัยใดมหาจักรกับบริวารเลี้ยงรักษาโลก ก็มีความสุขเป็นมัชฌิมาทรัพย์สมบัติและเครื่องกินเครื่องใช้ก็พอปานกลาง ไม่ฟุ่มเฟือยนักและไม่กันดารนัก พอปานกลางถ้ายุคสมัยใดบรมจักรกับบริวารเลี้ยงรักษาโลก ก็บริบูรณ์ไปด้วยความสุขทุกประการ ทรัพย์สมบัติวิญญาณกทรัพย์และอวิญญาณกทรัพย์ ก็หาได้ง่ายมั่งคั่งสมบูรณ์ไปตาม ๆ กันไม่เบียดเบียนกัน
---นี้เป็นบางส่วนที่ค้นคว้ามา เพื่อให้เป็นธรรมทานค่ะ
---ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ
*มีรายละเอียดเพิ่มเติม
รัตนชาติอัญมณี
---นอกจากวัตถุมงคลที่ศักดิ์สิทธิ์ในพระพุทธศาสนาแล้ว ของดีตามธรรมชาติก็ให้ผลดีกับมนุษย์ นั่นก็คือ รัตนชาติอัญมณี ที่นับถือกันมาแต่โบราณแทบทุกชนชาตินั่นเอง
---หลวงปู่ทวดเล่าว่า ท่านเองก็เคยได้รับแก้ววิเศษมาจากพญานาค ตอนนี้เก็บรักษาอยู่ที่วัดพะโคะ อำเภอสทิงพระ จังหวังสงขลา ได้ใช้แก้ววิเศษนี้ ช่วยเหลือคนให้รอดพ้นจากเหตุการณ์คับขันอันตรายจำนวนมากนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ต้องมีอันแตกทำลายไปตามหลักแห่งอนิจจัง
---ท่านว่าในรัตนชาติอัญมณีอื่น ๆ ก็มีพลังอยู่ด้วยเช่นกัน หากรู้จักนำมาใช้ก็จะเกิดประโยชน์มาก เพราะในอดีตเหล่าฤาษีผู้ทรงฤทธิ์ทั้งหลาย ก็ได้นำมาใช้และแต่งเป็นตำรารัตนชาติขึ้นมา เพื่อถ่ายทอดให้แก่มวลมนุษย์ ตำรานี้เก่าแก่มาก จารึกเป็นอักษรพรหม หรือภาษากูโบ๊ส ท่ายเคยถามจากพระฤาษีเจ้าของตำรา ก็ได้ความรู้เกี่ยวกับรัตนชาติต่าง ๆ มามาก จึงนำมาบรรจุในพระคาถามหาจักรพรรดิของหลวงปุ่ดู่ วัดสะแก ที่ว่า
---นะโมพุทธายะ พระพุทธะไตรรัตนญาณ มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะสุธรรมา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อัคคีทานัง วรัง คันธัง สิวลี จะ มหาเถรัง (อุปคุตตัง จะมหาเถรัง,โลกุตตรัง จะ มหาเถรัง - เพิ่มพระอุปคุตกับหลวงปู่ใหญ่) อะหัง วันทามิ ทูระโต อะหัง วันทามิ ธาตุโย อะหัง วันทามิ สัพพะโส พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ
---ซึ่งมีคำว่า มณีนพรัตน์ อยู่ด้วยอันหมายถึง รัตนชาติทั้งเก้าประการ ได้แก่ เพชร ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน ไพลิน มุกดาหารเพทาย และ ไพฑูรย์ ที่ปรากฎอยู่ในตำรานพรัตน์โบราณของไทย อันสืบทอดมาจากคัมภีร์พระเวท ภาคพระครุฑโบราณและอัคนีโบราณของอินเดีย ซึ่งแต่โดยคณะพระฤาษีแถบเชิงเขาหิมาลัยเมื่อหลายพันปีก่อน แต่โบราณเชื่อกันว่า หากอัญมณีทั้งเก้าประการมาประชุมรวมกัน จะก่อให้เกิดอำนาจอันมหัศจรรย์ สามารถคุ้มครองป้องกันเภทภัยอันตรายต่าง ๆ ได้
---และในพระไตรปิฎกเอง พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสเล่าถึงสมบัติแห่งพระเจ้ามหาจักรพรรดิ 7 ประการ ซึ่งมี มณีรัตนะ เป็นแก้ววิเศษคู่บารมีด้วย สามารถเปล่งแสงสว่างออกมาได้ทั้งกลางวันและกลางคืน หรือในสมัยโบราณก็เชื่อกันว่ามีอัญมณีวิเศษตามธรรมชาติ สามารถให้คุณกับมนุษย์อย่างมากมาย เหมือนที่นักวิทยาศาสตร์ ค้นพบแร่ธาตุต่าง ๆ เป็นต้น ส่วนมิติต่าง ๆ ที่ซ้อนกันอยู่ในโลกของเรานี้ ก็ยังมีอีกมากมายนักทั้งบนบก
---ในอากาศและในทะเล ทั้งโลกลับแลของบังบด (คือ คนทิพย์ประเภทหนึ่งที่อาศัยอยู่ตามภาคพื้นดิน ทั้งในภูเขาและในป่าลึกทั่วโลกมนุษย์) โลกสวรรค์ของเหล่าเทวดา (คือ กายทิพย์ชั้นสูงที่อยู่ในมิติของบรรยากาศชั้นสูง ๆ ขึ้นไปตามลำดับ) โลกใต้บาดาลของเหล่าพญานาค ( คือ สัตว์เลื้อยทิพย์ที่มีฤทธิ์มาก อาศัยอยู่ทั้งในแม่น้ำใต้ผิวโลก แม่น้ำบนผิวโลก และท้องมหาสมุทรทั่วโลก คนละชนิดกับ มังกร ที่เป็นสัตว์กายสิทธิ์ยุคโบราณ) พิภพอสูรใต้เขาพระสุเมรุ = ภูเขาทิพย์ในโลกวิญญาณ) ที่เคยรบกับเหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์มาแล้วในอดีต ดังปรากฏใน ธชัคคสูตร และ จิตรสูตร แต่หมู่อสูรก็พ่ายแพ้แก่เหล่าเทวดาทุกครั้งไป (อสูร เป็นคนละประเภทกับ อสุรกาย)
---ทั้งหมดที่กล่าวมายังแบ่งออกเป็นประเภทและระดับต่าง ๆ อีกมากมาย (สัตว์ปีกทิพย์ เช่น ครุฑ ก็มี และสัตว์ทิพย์ลูกครึ่งกลายพันธุ์อีกมากมายหลายชนิดในป่าหิมพานต์) โลกของเทวดาหลายท่านคงจะผ่านตามาบ้างแล้ว ในธัมมจักกับปปวัตตนสูตร อันเป็นพระสูตรที่เป็นปฐมธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าของเรา ตั้งแต่ ภุมมานัง เทวานัง ฯลฯ ไปจนถึง พรหมโลกสุทธาวาสทั้ง 5 ชั้น ซึ่งทำให้เหล่าเทวดาพรหม จำนวน 18 โกฏิ บรรลุธรรม
---ในขณะที่มีมนุษย์บรรลุธรรมขั้นโสดาปัตติผลเพียงคนเดียว และใน "มหาสมัยสูตร" ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสแสดงถึงเหล่า เทวดา อินทร์ พรหม ยมยักษ์ นาค ครุฑ อสูร เหล่ากายทิพย์จำนวนมาก ที่ระบุทั้งประเภท ปริมาณ อำนาจความสามารถ ลักษณะแห่งแสงรัศมีและที่อยู่อาศัยไว้ด้วยอย่างชัดเจน จนคนสมัยปัจจุบันอาจถึงกับอ้าปากค้างไปเลยก็ได้ หากได้เห็นอย่างที่พระพุทธองค์ทรงเห็น เพราะแม้แต่พระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญาหลาย ๆ รูป ยังต้องเอ่ยปากทูลถามพระพุทธองค์ถึงผู้ที่มาเหล่านั้น เพราะยังไม่เคยเห็นการชุมนุมของเหล่ากายทิพย์จำนวนมากขนาดนี้มาก่อน จึงเรียกว่า มหาสมัย แปลว่า ช่วงเวลาที่สำคัญและยิ่งใหญ่ เทียบเท่าได้กับการแสดงพุทธปาฏิหาริย์เปิดโลก
---หลังจากที่ทรงเสด็จลงมาจากการโปรดพระพุทธมารดา บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ที่บันดาลให้มิติแห่งโลกทิพย์โลกวิญญาณ เปิดออกด้วยอำนาจแห่งพระพุทธบารมี ทำให้เหล่ามนุษย์ เทวดา สัตว์นรก และเหล่ากายทิพย์ในมิติภูมิอื่น ๆ และเห็นซึ่งกันและกันได้ สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ ต่างก็ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าด้วยกันทั้งสิ้น เพราะต่างก็ทึ่งและประทับใจในความอัศจรรย์ของพระพุทธเจ้าอย่างถึงที่สุด (พวกที่บารมีเต็ม และเบื่อหน่ายต่อการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ต่างก็บรรลุธรรมกันเป็นจำนวนมากมายมหาศาล)
---คำว่า เทวดา นั้น หมายถึง ผู้มีกายอันเป็นทิพย์เรืองแสง ทรงไว้ซึ่ง ทิพยภาวะ มีอยู่หลายประเภทหลายระดับชั้นเช่นกัน เท่าที่อาตมาผู้เขียนได้สัมผัสนั้น รู้สึกว่ามิติของโลกเทวดานั้นน่าอยู่จริง ๆ สมแล้วที่บรรดาอสูรใต้พิภพถึงคิดแย่งชิงครอบครอง เพราะแม้แต่เทวดาในระดับพื้น ๆ เช่น ภุมมเทวา ก็มีความน่าอยู่มาก มีความคล่องตัวสูง ร่างกายก็เบาสบาย และมีความสุขมากกว่ามนุษย์หลายเท่า กระทั่ง วิมาน คือ บ้านของเทวดาก็สูงใหญ่กว้างขวางมาก แทบไม่มีความทุกข์ร้อนใด ๆ เลย
---แต่อย่างว่า เทวดาก็มีอายุขัยและอยู่ภายใต้ กฎแห่งกรรม เช่นเดียวกับสัตว์โลกทั้งหลาย สมบัติของเทวดา ล้วนได้มาจากบุญกุศลทั้งหลายที่ได้เคยกระทำมาแต่อดีต เท่าที่สังเกต นอกจากจะสว่างไสวสมชื่อแล้ว เทวดายังมีเพชรพลอยอัญมณีทิพย์ต่างๆ ประดับกาย และประดับวิมานอยู่ด้วย ไม่ทราบว่ามีได้เพราะเหตุใด แต่เดาว่าคงเกิดจากบุญกุศลบันดาลวิมานเทวดา มีทั้ง วิมานแก้ว วิมานทอง วิมานเงิน อันประดับด้วยอัญมณีต่าง ๆ หลายชนิด ทำให้นึกสงสัยว่าอัญมณีที่มีอยู่ในโลกมนุษย์ของเรานี้ เกี่ยวข้องอะไรกับอัญมณีของเหล่าเทวดา ก็บังเอิญได้พบในตำรากำเนิดรัตนชาติ เป็นภาษาบาลี แปลความว่า
---อันว่ารัตนชาติทั้งหลาย มีสีดำแลสีแดงแลมีสีต่างๆ ซึ่งวิเศษนอกจากแก้วเก้าประการนี้ มีเป็นอันมาก ย่อมบังเกิดในที่แถบเชิงเขาพระเมรุ เกิดในท้องมหาสมุทร เกิดในภูเขา เกิดในป่าหิมพานต์ เกิดด้วยอำนาจเทวฤทธิ์ เกิดในบ่อแก้วทั้งหลายในแดนมนุษย์ ด้วยอานุภาพบุญฤทธิ์แห่งพระเจ้าจักรพรรดิกษัตราธิราช รัตนชาติทั้งหลายก็ปรากฏมีเท่าทุกวันนี้แล
---และได้ทราบว่า นอกจากรัตนชาติจะเกิดในสวรรค์ และโลกมนุษย์แล้ว ยังมีผู้ทำหน้าที่ดูและรักษามหาสมบัติเหล่านี้อยู่ นั่นก็คือ ท่านท้าวจาตุมหาราชทั้ง 4 พระองค์ โดยเฉพาะ ท่านท้าวเวสสุวัณ ราชาแห่งยักษ์และภูตผี จะดูแลมากเป็นพิเศษ เพราะแม้กระทั่งสมบัติและแก้วมณีรัตน อันเป็นของคู่บุญบารมีแห่งพระเจ้ามหาจักรพรรดิ ก็อยู่ในความดูแลของท่าน หรือเหล่าพญานาคทั้งหลาย ที่เป็นบริวารของท่าน ท้าววิรูปักษ์
---ก็มีสมบัติมากไม่แพ้กัน ซึ่งสมบัติส่วนใหญ่ก็เป็นรัตนชาติต่าง ๆ แสดงว่าแม้แต่เหล่าเทวาพญานาคทั้งหลาย ก็ให้ความสำคัญกับอัญมณีเป็นอย่างมากไม่แพ้ชาวมนุษย์โลกเลย ทั้งรัตนชาติที่สำคัญบางอย่างก็ปรากฏว่ามีฤทธิ์มีอานุภาพมาก เช่น แก้วมณีรัตนของพระเจ้ามหาจักรพรรดิ แก้วมณีนาคราช ของเหล่าพญานาค (ไม่ใช่อย่างที่เอามาขายกัน) แก้วจินดามณีของนางเมขลาเทพธิดาประจำพระมหาสมุทร รวมถึงแก้วกายสิทธิ์อื่น ๆ ที่ปรากฏเกิดขึ้นกับผู้มีบุญ เช่น ท่านโชติกะเศรษฐีในสมัยพุทธกาล เป็นต้น
*แก้ววิเศษเหล่านี้ ล้วนเป็นแก้วที่ไม่ธรรมดา จัดเป็นรัตนชาติศักดิ์สิทธิ์คู่บุญ
---บารมีเท่านั้น ไม่สาธารณะแก่คนทั่วไป จึงไม่ต้องเสียเวลาขวนขวายเสาะแสวงหาให้เหนื่อยยากไป แต่ที่น่าสนใจก็คือ แร่รัตนชาติอัญมณี ที่มีอยู่ในโลกมนุษย์นั้น ก็แฝงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อย หากได้ของที่ดีมีคุณภาพและหากใช้กรรมวิธีทางพุทธศาสนาเสริมเข้าไป ก็จะทำให้มีอานุภาพมากทีเดียว มากพอที่จะช่วยให้ผู้ที่เป็นเจ้าของได้รับพลังในการช่วยเหลือและคุ้มครองต่าง ๆ ได้เพราะแร่ธาตุเหล่านี้มีพลังสัมพันธ์กับรังสีของดวงดาวต่าง ๆ ในจักรวาลที่มีผลโดยตรงต่อมนุษย์
---สีของอัญมณีก็คือ สัญลักษณ์ตัวแทนของรังสีที่แผ่พุ่งมาจากดวงดาวต่าง ๆ ซึ่งเรียกว่า รังสีจักรวาล ทีมีสีสันต่าง ๆ กัน ตามระดับและประเภทของรังสี ถือเป็นจุดศูนย์รวมของรังสีแห่งดวงดาวที่มีคลื่นความถี่ต่าง ๆ กัน และดึงเอามวลสารแร่ธาตุที่มีพลังงานในระดับปรมาณูอันละเอียด มาเป็นลักษณะเฉพาะตามแต่ละชนิดของอัญมณีหรือแร่ธาตุนั้น ๆ อันเกิดจากแรงดันใต้พิภพ แรงโน้มถ่วงของโลกและจักรวาล สนามแม่เหล็กโลกและจักรวาล และคลื่นแสงรังสีแห่งจักรวาล ทั้งยังเกี่ยวข้องกับรังสีที่มีอยู่ประจำกายทิพย์ของเรา รวมถึงรัศมีทิพย์ของเทวดาที่รักษาประจำตัวของเราด้วย (เทวดาที่รักษาตัวนี้ มีเป็นบางคน) ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มนุษย์ในยุคโบราณจะค้นพบความน่าอัศจรรย์ของแรธาตุเหล่านี้ ซึ่งถ้าจะมีใช้ทั้งที ก็น่าจะสรรหาของดีที่ถูกต้องเหมาะสมกับตนเองถึงจะถูกต้อง เพราะแม้แต่แร่ธาตุอัญมณีจะมีพลังแฝงอยู่ทุกชนิด แต่ก็ไม่ได้ส่งผลดีแก่เราทุกชนิด จึงจำเป็นต้องแยกแยะพอสมควร
---ดังจะเห็นได้จากแร่ธาตุบางอย่าง ก็เปล่งกัมมันตภาพรังสีที่ทำลายสุขภาพของเรา เช่น กากนิวเคลียร์ที่มาจากแร่ยูเรเนียม หรือกัมมันตภาพรังสีที่มาจากแร่โคบอลต์ 60 เป็นต้น ในตำรานพรัตน์โบราณของไทย คัมภีร์พระเวทภาคพระครุฑโบราณ และอัคนีโบราณของอินเดีย ก็ระบุตรงกันว่า ควรใช้อัญมณีที่ถูกต้องเหมาะสมกับตนเอง และเป็นอัญมณีที่ดีมีความบริสุทธิ์ถูกต้องตามลักษณะแห่งอัญมณีที่มีคุณ จะเรียกว่าเลือกใช้ให้ถูกกับโฉลกก็ได้ ไม่ใช่มองแร่ธาตุอัญมณีว่าเป็นเพียงเครื่องประดับเพื่อความสวยงามหรือเพื่อการค้าขายลงทุนเท่านั้น
---แต่ต้องมองอย่างนักวิทยาศาสตร์ที่รู้จักศึกษาค้นคว้าเพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และมองอย่างผู้ที่มีจิตใจอ่อนโยน มีทั้งศาสตร์และศิลป์อยู่ในหัวใจ ดังคำโบราณว่า เพชรดี มณีแดง เขียวใสแสงมรกต เหลืองใสสดบุษราคัม แดงแก่ก่ำโกเมนเอก สีหมอกเมฆนิลกาฬ มุกดาหารหมอกมัว แดงสลัวเพทาย สังวาลสายไพฑูรย์ นับว่าเป็นคำที่ไพเราะและบ่งบอกถึงคุณค่าแห่งอัญมณีนพรัตน์หรือแก้วทั้งเก้าประการมาแต่โบราณกาล
---ซึ่งอัญมณีทั้งเก้านี้ ล้วนเกี่ยวพันกับดาวพระเคราะห์ทั้งเก้าดวงในจักรราศีนั่นเอง อันเป็นที่มาของดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ และ อัญมณีศาสตร์ แต่ในทางโหราศาสตร์จะแบ่งจักรราศีออกเป็น 12 ราศี เพื่อคำนวณหาจุดพิกัดแห่งดวงดาวว่าส่งผลอย่างไรกับมนุษย์และโลก ส่วนดาราศาสตร์ก็จะศึกษาออกไปจากนอกโลกของเราไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด อำนาจวิเศษของอัญมณีนั้น คงไม่สามารถกล่าวได้หมดในที่นี้แน่ แม้หลวงปู่ทวดของเรา ก็ยังมีลูกแก้วกายสิทธิ์คู่บุญบารมี หรือในพระคาถามหาจักรพรรดิของหลวงปู่ดู่วัดสะแก ก็ยังมีคำว่า มณีนพรัตน์ปรากฏอยู่ด้วย แสดงถึงความสำคัญของแก้ววิเศษทั้งเก้าประการ รวมถึงพระธาตุจุฬามณีเจดีย์บนดาวดึงส์สวรรค์ ก็ยังปรากฏเพชรพลอยอัญมณีทิพย์ต่าง ๆ ประดับเป็นพุทธบูชาอยู่มากมาย (องค์พระจุฬามณีเจดีย์ สร้างด้วยแก้วอินทนิลมีสีเขียว เป็นสีประจำพุทธกาลนี้ )
---แต่สำหรับในพรหมโลกแล้ว ทั้งร่างกายและวิมานของพระพรหมทั้งหลายล้วนเป็นสีทองสว่างไสว และมีรัศมีกายสว่างมาก ในขณะที่ร่างทิพย์ของเทวดาจะมีลักษณะโปร่งแสง และมีสีแบบแก้วเคลือบด้วยเงินหรือปรอท ส่วนเครื่องทรงของพรหม จะประดับอัญมณีที่ใสสว่างมากกว่าของเทวดา แสดงว่าอัญมณีทิพย์เป็นเครื่องบ่งบอกถึงระดับของบุญบารมีได้เช่นกัน นอกเหนือไปจากความสว่างของรัศมีประจำตัว และเท่าที่ทราบ ในครั้งกำเนิดของโลกยุคปฐมกัป พรหมชั้นอาภัสสรา ผู้มีแสงรัศมีในตัวเอง หลังจากที่ลอยมาเสพกินง้วนดิน จนร่างกายเริ่มปรากฏเป็นรูปร่างด้วยมหาภูตรูป หรือธาตุทั้ง 4 แบบหยาบ ๆ แล้ว แสงรัศมีประจำกายของพรหมเหล่านั้น ซึ่งกระจายกันอยู่ทั่วโลก
---ก็ได้แทรกซึมเข้าสู่ชั้นบรรยากาศและวัถตุธาตุต่าง ๆ ในโลก ทำให้โลกนี้มีสีสันต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย และมีความสัมพันธ์กับแสงรังสีต่าง ๆ ในจักรวาลด้วย และอณูของแสงเหล่านี้ ยังก่อให้เกิดวัตถุธาตุทรงพลังในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย นับแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน บางอย่างบางชนิดก็มีความพิสดารมาก เช่น เหล็กไหล ปรอท คด อันเป็นโลหะธาตุกายสิทธิ์ หรือ แร่ธาตุอัญมณีวิเศษ อื่น ๆ รวมทั้งว่านยาสมุนไพรกายสิทธิ์ ต่าง ๆ เป็นต้น (บางคนเข้าใจผิดว่ามีพระฤาษีในสมัยโบราณเป็นผู้สร้าง ขอยืนยันว่า สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเอง พระฤาษีเพียงค้นพบแล้วนำมาใช้เท่านั้น อย่างมากก็นำมาเพิ่มอำนาจเพื่อทดสอบพลังจิตของตัวเอง หรือปรุงเป็นยาอายุวัฒนะ แต่ก็ไม่ได้เป็นผู้สร้างแต่อย่างใด )
*ความจริง
---ความรู้เหล่านี้ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็รู้ และรู้มากกว่าเหล่าพระฤาษีด้วย แต่พระพุทธองค์ทรงโปรดในการแสดงธรรมเท่านั้น ไม่ประสงค์จะให้ชาวโลกเสียเวลาไปกับเรื่องต่าง ๆ ของโลกและจักรวาล เพราะนั่นไม่ได้เป็นไป เพื่อความหลุดพ้นแต่ประการใด แต่พระองค์ก็ทรงชี้แนะให้บำเพ็ญสมาธิเอง ให้รู้เอาเองตามวาสนาบารมี ดังที่อาตมาภาพได้ประสบพบเจอนั่นเอง หากบำเพ็ญสมาธิจนถึงระดับกลางแล้ว (อุปจารสมาธิ) ย่อมจะเห็นเองว่า แสงสีและภาพนิมิตต่าง ๆ ในสมาธินั้นเป็นอย่างไร นั่นคือ คลื่นแสงรังสีแห่งจักรวาล และมิติแห่งโลกทิพย์ โลกวิญญาณ ที่จิตได้ไปสัมผัสนั่นเอง
หมายเหตุ......
*ลักษณะมณีแก้ว(มณีรัตนะ)
---แก้วมณีโชติมีลักษณะ แก้วไพทูรย์เป็นสีเหลืองแกมเขียวหรือสีน้ำตาลเทา มีน้ำเป็นสายรุ้งกลอกกลิ้งไปมา มีสัณฐานแปดเหลี่ยม สามารถส่องสว่างได้ดุจเวลากลางวัน.
(หมายเหตุ...ศึกษาหารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หนังสือไตรภูมิพระร่วง)
-----------------------------------------------------------------------------------
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 25 กันยายน 2558
ความคิดเห็น