ศรัทธาในทางพระพุทธศาสนามีสี่อย่าง คือ
(กดลิงค์-บน)
---กัมมสัทธา เชื่อกรรม เชื่อกฎแห่งกรรม เชื่อว่ากรรมมีอยู่จริง คือ เชื่อว่า เมื่อทำอะไรโดยมีเจตนา คือ จงใจทำทั้งรู้ ย่อมเป็นกรรม คือ เป็นความชั่วความดีมีขึ้นในตน เป็นเหตุปัจจัยก่อให้เกิดผลดีผลร้ายสืบเนื่องต่อไป การกระทำไม่ว่างเปล่า และเชื่อว่าผลที่ต้องการ จะสำเร็จได้ด้วยการกระทำ มิใช่ด้วยอ้อนวอนหรือนอนคอยโชค เป็นต้น
(กดลิงค์-บน)
---วิปากสัทธา เชื่อวิบาก เชื่อผลของกรรม เชื่อว่าผลของกรรมมีจริง คือ เชื่อว่ากรรมที่ทำแล้วย่อมมีผล และผลต้องมีเหตุ ผลดีเกิดจากกรรมดี ผลชั่วเกิดจากกรรมชั่ว
---กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน เชื่อว่าแต่ละคนเป็นเจ้าของ จะต้องรับผิดชอบเสวยวิบาก เป็นไปตามกรรมของตน
---ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มั่นใจในองค์พระตถาคต ว่าทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ทรงพระคุณทั้ง 9 ประการ ตรัสธรรม บัญญัติวินัยไว้ด้วยดี ทรงเป็นผู้นำทางที่แสดงให้เห็นว่า มนุษย์ คือเราทุกคนนี้ หากฝึกตนด้วยดีก็สามารถเข้าถึงภูมิธรรมสูงสุด บริสุทธิ์หลุดพ้นได้ ดังที่พระองค์ทรงบำเพ็ญไว้
*๕.ธรรมะที่เกี่ยวข้อง
---ศรัทธา หรือ สัทธาเป็นองค์ประกอบในหลายๆหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนา ได้แก่
- สมชีวิธรรม ๔ (สมสัทธา สมสีลา สมจาคา สมปัญญา)
- เวสารัชชกรณธรรม ๕ (ศรัทธา ศีล พาหุสัจจะ วิริยารัมภะ ปัญญา)
- สัปปุริสธรรม ข้อแรก คือ สัทธัมมสมันนาคโต ประกอบด้วยธรรมเจ็ดประการ อันได้แก่ มีศรัทธา มีหิริ มีโอตตัปปะ เป็นพหูสูต มีความเพียรอันปรารภแล้ว มีสติมั่นคง มีปัญญา
*หมายเหตุจะเห็นว่าส่วนใหญ่ จะขึ้นด้วยศรัทธา และมีปัญญากำกับอยู่ด้วย
*สัทธาเจตสิก
---ในคัมภีร์พระอภิธรรมของพระพุทธศาสนา มีการกล่าวถึงสัทธา ในลักษณะที่เป็นเจตสิก (คือ ธรรมชาติที่อาศัยจิตเกิด) เรียกว่า สัทธาเจตสิก มีลักษณะดังนี้ คือ
(กดลิงค์-บน)
---มีความเชื่อในกุศลธรรม เป็นลักษณะ
---มีความเลื่อมใส เป็นกิจ
---มีความไม่ขุ่นมัว เป็นผล
---มีวัตถุอันเป็นที่ตั้งแห่งความเชื่อ เป็นเหตุใกล้
---สัทธานี้จัดเป็นธรรมเบื้องต้น ในอันที่จะทำให้บุคคล ได้ประกอบคุณงามความดี เป็นบุญกุศลขึ้นมา และสัทธาที่จะเกิดขึ้นได้นั้น ย่อมต้องอาศัยวัตถุอันเป็นที่ตั้งแห่งความเชื่อ ได้แก่ พระรัตนตรัย ผลของกรรม เป็นต้น สัทธานั้นเมื่อเกิดขึ้นย่อมทำให้เกิดความผ่องใส ไม่ขุ่นมัว สามารถดำเนินไปจนเข้าถึงปีติได้
*เหตุอันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสศรัทธา ได้แก่
---รูปปฺปมาณ เลื่อมใสศรัทธาเพราะเห็นรูปสมบัติสวยงาม
---ลูขปฺปมาณ เลื่อมใสศรัทธาเพราะเห็นความประพฤติเรียบร้อยเคร่งในธรรมวินัย
---โฆสฺปปมาณ เลื่อมใสศรัทธาเพราะได้ฟังเสียงอันไพเราะ
---ธมฺมปฺปมาณ เลื่อมใสศรัทธาเพราะได้สดับฟังธรรมของผู้ที่ฉลาดในการแสดง
*หลักธรรมของศาสนาต่าง ๆ ของโลก
---ศาสนามีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของบุคคลในสังคม เพราะศาสนาทุกศาสนามีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ทำความดีละเว้นความชั่ว ศาสนาจึงมีอิทธิพลต่อคนในสังคม องค์ประกอบของศาสนา
---1.ศาสดา คือ ผู้ก่อตั้งศาสนา
---2.คัมภีร์ คือ หลักคำสอนเกี่ยวกับศีลธรรมจรรยา
---3.นักบวช คือ ผู้สืบทอดคำสอน
---4.พิธีกรรม คือ การปฏิบัติในการทำพิธีทางศาสนา
---5.ศาสนสถาน คือ สถานที่ควรเคารพบูชาและใช้ประกอบพิธีทางศาสนา
*ศาสนาอิสลาม
---ไม่มีนักบวช แต่มีศาสดา มีคัมภีร์ มีศาสนสถาน และพิธีกรรม นับเป็นศาสนาเช่นกัน ความสำคัญของศาสนา
---1.เป็นพื้นฐานของกฎศีลธรรมของสังคม
---2.เป็นแหล่งกำเนิดจริยธรรม
---3.เป็นแหล่งที่ทำให้เกิดศิลปวัฒนธรรม และประเพณี
---4.เป็นกลไกของรัฐในการควบคุมสังคม
---5.เป็นบรรทัดฐานของสังคมที่ใช้ในการปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปในแนวเดียวกัน
*ประโยชน์ของศาสนา
---1.ช่วยให้สมาชิกของสังคมสงบสุข
---2.ทำให้ผู้นับถือเป็นคนดี มีศีลธรรม
---3.เป็นบ่อเกิดของศิลปวัฒนธรรม
---4.เป็นที่พึ่งทางจิตใจของสมาชิกในสังคม
---5.เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตเพื่อให้เกิดความสุข
*ศาสนาที่สำคัญของโลก*1.ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู*ศาสนาพราหมณ์
---แหล่งกำเนิดในประเทศอินเดีย เป็นศาสนาดั้งเดิมของชนเผ่าอารยัน มีความเชื่อเรื่องพระเจ้าหลายองค์ โดยเฉพาะตรีมูรติ (พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ) ต่อมาวิวัฒนาการเป็นศาสนาฮินดู เทพเจ้าของศาสนาพราหมณ์
---เทพเจ้าสูงสุด คือ พระปรมาตมัน
---ความเชื่อเกี่ยวกับตรีมูรติ คือ พระพรหม คือ ผู้สร้าง พระวิษณุ(พระนารายณ์) คือ ผู้คุ้มครอง และพระอิศวร(พระศิวะ) คือ ผู้ทำลาย
---คัมภีร์พระเวท มีอยู่ 3 คัมภีร์ ถือว่าเป็นคัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ต่อมาเพิ่มอาถรรพเวทเข้าไป ได้แก่ ฤคเวท (บทสวดสรรเสริญเทพเจ้า)
---ยชุรเวท(คู่มือพราหมณ์ในการทำพิธีบูชายัญ)
---สามเวท (ใช้สวดขับกล่อมเทพเจ้า)
---อาถรรพเวท (เป็นมนต์คาถาทางไสยศาสตร์)
*ศาสนาฮินดู
---ความเชื่อศาสนาฮินดูที่แตกต่างไปจากศาสนาพราหมณ์ ได้แก่
---เชื่อเรื่องวิญญาณเป็นอนันตะ คือเวียนว่ายตายเกิดไม่สิ้นสุดจนกว่าจะหลุดพ้นโมกษะ
---ให้คนที่เกิดในตระกูลพราหมณ์ กษัตริย์ ไวศยะ ปฏิบัติตามหลักอาศรม 4 อย่างเคร่งครัด
---สันติสุขจะเกิดขึ้นได้ต้องมีพราหมณ์ คัมภีร์พระเวท วรรณะ 4ได้แก่ วรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์วรรณไวศยะ(แพทย์) และวรรณะศูทร
*นิกายในศาสนาฮินดู
---1.นิกายพรหม นับถือพระพรหมเป็นเทพเจ้าสูงสุด
---2.นิกายไวษณพ (ลัทธิอวตาร) นับถือพระวิษณ
---3.นิกายไศวะ นับถือพระศิวะ มีศิวลึงค์เป็นสัญลักษณ์
---4.นิกายศากติ นับถือเทพเจ้าที่เป็นสตรี
*หลักธรรมของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู
*1. หลักธรรม 10 ประการ
---1.ธฤติ คือ ความพอใจ 6.อินทรียนิครหะ คือ การสำรวมอินทรีย์(ร่างกาย)
---2.กษมา คือ ความอดทน 7.ธี คือ ความรู้ (ปัญญา)
---3.ทมะ คือ ความข่มใจ 8.วิทยา คือ ความรู้ (ปรัชญา)
---4.อัสเตยะ คือ การไม่กระทำเยี่ยงโจร 9.สัตยะ คือ ความซื่อสัตย์
---5.เศาจะ คือ ความบริสุทธิ์ 10.อโกธะ คือ ความไม่โกรธ
*2.หลักอาศรม 4
---1.พรหมจารี คือ เป็นวัยศึกษาเล่าเรียน
---2.คฤหัสถ์ คือ เป็นวัยครองเรือน
---3.วานปรัสถ์ คือ เป็นวัยออกไปอยู่ป่า
---4.สันยาสี คือ เป็นวัยสุดท้ายของชีวิต ออกบวชเป็นสันยาสี บำเพ็ญเพียรเพื่อความหลุดพ้น
*3.หลักปรมาตมัน และโมกษะ
---1.หลักปรมาตมัน มีความเชื่อว่า ปรมาตมัน หมายถึง พลังธรรมชาติ เป็นอมตะไม่มีเบื้องต้นและสิ้นสุด ส่วนวิญญาณย่อยเรียกว่า อาตมัน สามารถไปรวมกับปรมาตมันได้เมื่อบรรลุโมกษะ
---2.หลักโมกษะ เป็นหลักปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นจากวัฏจักรแห่งชีวิต ด้วยการนำอาตมันของตนเข้าสู่ปรมาตมัน
*4.หลักปรัชญาภควัทคีตา ได้แก่
---1.กรรมโยคะ การทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทน
---2.ชยานโยคะ การปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญหา ความรู้แจ้ง
---3.ภักติโยคะ ความรัก ความภักดีอุทิศตนต่อพระเจ้าเพื่อนำไปสู่การหลุดพ้น
*5. หลักทรรศนะหก ได้แก่
---1.สางขยะ ทรรศนะเกี่ยวกับชีวิต
---2.โยคะ ทรรศนะเกี่ยวกับการปฏิบัติโดยสำรวมอินทรีย์ ทำจิตใจให้บริสุทธิ์
---3.นยายะ ทรรศนะเกี่ยวกับความรู้
---4.ไวเศษิกะ ทรรศนะเกี่ยวกับสิ่งที่มีอยู่จริงชั่วนิรันดร 9 อย่าง คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ กาละเทศะ อาตมัน มนะ
---5.มางสา ทรรศนะเกี่ยวกับปรัชญาน่าเชื่อถือ
---6.เวทานตะ ทรรศนะเกี่ยวกับอุปนิษัท(อุปนิษัท คือ คัมภีร์ในส่วนสุดท้ายของพระเวท เป็นคัมภีร์ที่เป็นหลักปรัชญาลึกซึ้ง)
*พิธีกรรมที่สำคัญของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู
---1.พิธีศราทธ์ คือ พิธีทำบุญให้แก่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว
---2.พิธีประจำบ้าน ได้แก่
---พิธีอุปนยัน คือ พิธีเริ่มการศึกษา ถ้าเป็นหญิงยกเว้น
---พิธีวิวาหะ คือ พิธีแต่งงาน
---3.ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับวรรณะ คือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพทศย์ ศูทร แต่ละวรรณะมีการดำเนินชีวิตที่ต่างกันจึงต้อง ปฏิบัติตามวรรณะของตน เช่น การแต่งงาน การแต่งกาย เป็นต้น
---4.พิธีบูชาเทพเจ้า แต่ละวรรณะจะมีการปฏิบัติต่างกันในเทศกาลต่าง ๆ เช่น งานศิวะราตรี(พิธีลอยบาป) งานบูชาเจ้าแม่ลักษมี (เทวีแห่งสมบัติและความงาม) เป็นต้น
*2.ศาสนาพุทธ
---ศาสนาพุทธมีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย ประเภทอเทวนิยม (ไม่นับถือพระเจ้า) มีพระพุทธเจ้าเป็นศาสดา คัมภีร์ของศาสนาพุทธ คือ พระไตรปิฎก หมายถึงตำราที่บันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้า แบ่งออกเป็น 3 คัมภีร์ คือ
---1.พระวินัยปิฎก ว่าด้วยศีลหรือวินัยของภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
---2.พระสุตตันตปิฎก (พระสูตร) ว่าด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้าและสาวก รวมทั้งชาดกต่าง ๆ
---3.พระอภิธรรมปิฎก ว่าด้วยหลักธรรมล้วน ๆ
*นิกายสำคัญของศาสนาพุทธ
---1.นิกายเถรวาท หรือหินยาน
---ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงพระธรรมวินัย ประเทศที่นับถือ ได้แก่ ไทย พม่า ศรีลังกา ลาว กัมพูชา
---2.นิกายอาจริยวาท หรือมหายาน
---ดัดแปลงพระธรรมวินัยได้ ประเทศที่นับถือ ได้แก่ จีน ทิเบต ญี่ปุ่น เวียดนาม เกาหลี
*หลักคำสอนของศาสนาพุทธ
---1.อริยสัจ 4 คือ ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ คือ
---ทุกข์ คือ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ
---สมุทัย คือ เหตุของความเป็นทุกข์ ได้แก่ ตัณหา
---นิโรธ คือ ความดับทุกข์ หรือนิพพาน
---มรรค คือ ข้อปฏิบัติเพื่อนำไปสู่ความดับทุกข์ หมายถึง อริยมรรค 8 ประกอบด้วย
---1.สัมมาทิฐิ คือ ความเห็นชอบ 2.สัมมาสังกัปปะ คือ ความดำริชอบ
---3.สัมมาวาจา คือ การเจรจาชอบ 4.สัมมากัมมันตะ คือ การกระทำชอบ
---5.สัมมาอาชีวะ คือ การเลี้ยงชีพชอบ 6.สัมมาวายามะ คือ ความพยายามชอบ
---7.สัมมาสติ คือ การตั้งสติชอบ 8.สัมมาสมาธิ คือ การตั้งใจชอบ
---อริยมรรค 8 เมื่อสรุปรวมแล้วเรียกว่า ไตรสิกขา อันได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา
---2.ขันธ์ 5 หรือเบญจขันธ์ หมายถึง องค์ประกอบของชีวิตมนุษย์ คือ ส่วนที่เป็นร่างกาย และส่วนที่เป็นจิตใจ ได้แก่
---1.รูปขันธ์ คือ ร่างกายและพฤติกรรมต่าง ๆ ประกอบด้วยธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
---2.วิญญาณขันธ์ คือ ความรู้อารมณ์ที่ผ่านมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
---3.เวทนาขันธ์ คือ ความรู้สึก ซึ่งเป็นผลมาจากสุขเวทนา ความสุขทางกายและใจ , ทุกขเวทนา คือ ทุกข์ทางกายและใจ ,อุเบกขาเวทนา คือ ความไม่ทุกข์ไม่สุขทางกายและใจ
---4.สัญญาขันธ์ คือ การกำหนดได้ 6 อย่างจากวิญญาณและเวทนา คือ รูป รส กลิ่น เสียง
----5.สังขารขันธ์ คือ ความคิด แรงจูงใจ สภาพที่ปรุงแต่งจิตใจให้คิดดี คิดชั่ว เป็นผลมาจากวิญญาณและเวทนา
*3.ไตรลักษณ์ หมายถึง ลักษณะทั่วไปของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลก ได้แก่
---1.อนิจจตา คือ ความไม่เที่ยง
---2.ทุกขตา คือ ความเป็นทุกข์
---3.อนัตตา คือ ความไม่ใช่ตัวตน
*3.ศาสนาคริสต์
---ศาสนาคริสต์กำเนิดในดินแดนปาเลสไตน์ หรืออิสราเอลในปัจจุบัน ศาสดาคือพระเยซู ซึ่งเป็นบุตรของโยเซพและมาเรีย เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดวิวัฒนาการมาจากศาสนายูดาย จึงมีพระเจ้าหรือที่เรียกว่า พระยะโฮวาห์ คัมภีร์ของศาสนาคริสต์ คือ คัมภีร์ไบเบิล ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
---พระคัมภีร์เก่า มีสาระเกี่ยวกับพระเจ้าสร้างโลก ซึ่งประกอบด้วย บทเพลง บทสวด และสุภาษิต
---พระคัมภีร์ใหม่ เป็นคัมภีร์ที่มีสาระเกี่ยวกับประวัติและคำสอนของพระเยซู การเผยแผ่ศาสนาของสาวก จดหมายเหตุ และวิวรณ์ บั้นปลายชีวิตของมนุษยชาติ
*นิกายที่สำคัญของศาสนาคริสต์
---1.นิกายโรมันคาทอลิก เป็นนิกายที่นับถือและปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซู มีพิธีกรรมที่เคร่งครัด มีสันตะปาปาเป็นผู้นำศาสนาสูงสุด ประเทศที่นับถือ ได้แก่ ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี สเปน โปรตุเกส ฟิลิปปินส์ ผู้ที่นับถือเรียกตนเองว่า คริสตัง
---2.นิกายออร์โธดอกซ์ เป็นนิกายที่แยกจากนิกายโรมันคาทอลิก ด้วยเหตุผลทางการเมืองและวัฒนธรรม ประเทศที่นับถือ ได้แก่ กรีซ โรมาเนีย บัลแกเรีย สหภาพโซเวียต และประเทศในยุโรปตะวันออกบางประเทศ
---3.นิกายโปรแตสแตนต์ เป็นนิกายที่แยกมาจากนิกายโรมันคาทอลิก ผุ้ก่อตั้งคือ มาติน ลูเธอร์ พิธีกรรมที่สำคัญคือ ศีลล้างบาป และศีลมหาสนิท ผู้ที่นับถือนิกายนี้เรียกว่า คริสเตียน
*๕หลักคำสอนของศาสนาคริสต์
---1.หลักคำสอน เรื่องตรีเอกานุภาพ คือ การนับถือพระเจ้าองค์เดียว แบ่งเป็น 3 ภาค คือ
---พระบิดา หมายถึง พระเจ้า
---พระบุตร หมายถึง พระเยซู
---พระจิต หมายถึง วิญญาณบริสุทธิ์ในจิตใจของชาวคริสต์ที่มีศรัทธา
---2.หลักคำสอนเรื่องความรัก ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่ได้ชื่อว่าเป็นศาสนาแห่งความรัก สอนให้รักพระเจ้า รักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตัวเอง
---3.คำสอนเรื่องบัญญัติ 10 ประการ ได้แก่
---จงนับถือพระเจ้าองค์เดียว คือ พระยะโฮวาห์
---อย่าออกนามพระเจ้าโดยไม่สมเหตุ
---ถือวันพระเจ้าเป็นวันศักดิ์สิทธิ์
---จงนับถือบิดามารดา
---อย่าฆ่าคน
---อย่าผิดประเวณี
---อย่าลักทรัพย์
---อย่าใส่ความนินทาว่าร้ายผู้อื่น
---อย่าคิดมิชอบ
---อย่าโลภในสิ่งของผู้อื่น
---4.อาณาจักรพระเจ้า หมายถึง อาณาจักรแห่งจิตใจที่มีพระเจ้าเป็นเป้าหมาย
*๕พิธีกรรมที่สำคัญของคริสต์ศาสนา
---1.พิธีศีลจุ่ม กระทำแก่ทารกเมื่อเริ่มเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชน โดยใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์เทลงบนศีรษะเพื่อล้างบาป
---2.พิธีศีลล้างบาป เป็นการยืนยันว่าตนยอมรับนับถือศาสนาคริสต์จริง
---3.พิธีศีลมหาสนิท เป็นการรับประทานขนมปัง และดื่มเหล้าองุ่นเพื่อระลึกถึงพราะเจ้าที่ทรงสละพระวรกายเพื่อมนุษย์จะได้หลุดพ้นจากบาป
---4.พิธีศีลสมรส กระทำแก่คู่บ่าวสาวก่อนการจดทะเบียนสมรส
---5.พิธีสารภาพบาป ต้องไปกระทำต่อหน้าบาทหลวงเพื่อสารภาพบาป
---6.พิธีเจิมครั้งสุดท้าย กระทำแก่ผู้ป่วย
---7.พิธีเข้าบวช เป็นการบวชบุคคลเป็นบาทหลวงในคริสต์ศาสนา
*4.ศาสนาอิสลาม
---ศาสนาอิสลามกำเนิดที่นครมักกะห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย นับถือพระเจ้าองค์เดียว คือ พระอัลเลาะห์ ศาสดาของศาสนาคือ พระนบีมุฮัมหมัด ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเรียกตนเองว่า มุสลิม
*คัมภีร์ของศาสนาอิสลาม
---ศาสนาอิสลามมีคัมภีร์อัลกุรอานเป็นคัมภีร์ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้แก่มนุษย์
*นิกายที่สำคัญของศาสนาอิสลาม
---1.นิกายซุนนี จะปฏิบัติเคร่งครัดในคัมภีร์อัลกุรอานและคำสอนของศาสดาที่สุด ใช้หมวกสีขาวเป็นเครื่องหมาย
---2.นิกายชีอะห์ ยกย่องอาลี ใช้หมวกสีแดงเป็นเครื่องหมาย
---3.นิกายวาฮะบีห์ นับถือพระอัลเลาะห์เพียงองค์เดียว ไม่มีพิธีกรรมใด ๆ นอกเหนือจากพระคัมภีร์
*หลักคำสอนของศาสนาอิสลาม
*1.หลักศรัทธา 6 ประการ
---ศรัทธาในพระอัลเลาะห์เพียงองค์เดียว
---ศรัทธาในบรรดามลาอีกะห์ คือ เทวทูต
---ศรัทธาในพระคัมภีร์
---ศรัทธาในบรรดาศาสนทูต
---ศรัทธาในวันพิพากษา
---ศรัทธาในกฎกำหนดสภาวการณ์
*2.หลักปฏิบัติ 5 ประการ
---1.การปฏิญาณตน ยอมรับว่าพระอัลเลาะห์เป็นพระเจ้าองค์เดียว
---2.การละหมาด หรือ นมาซ วันละ 5 ครั้ง
---3.การถือศีลอด หรือ อัศศิยาม หมายถึง การละหรืองดเว้นบริโภคอาหาร
---4.การบริจาคซะกาต หมายถึง การบริจาคทานหรือบริจาคทรัพย์ที่ได้มาด้วยความสุจริตแก่ผู้ที่ควรรับซะกาต
---5.การประกอบพิธีฮัจญ์ ณ วิหารกะบะห์ ที่เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย
*ความสอดคล้องของหลักคำสอนทั้ง 4 ศาสนา ได้แก่
---1.การทำความดี ละเว้นความชั่ว
---2.การแสดงความรักความเมตตา และเสียสละ
---3.การเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์
---4.การพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น ขยันหมั่นเพียร
---5.สอนให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ไม่เบียดเบียนกัน ฯ
..........................................................................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 25 กันยายน 2558
ความคิดเห็น