ประเพณีการทอดผ้าป่า
---"การทอดผ้าป่า" เป็นประเพณีการทำบุญอีกอย่างหนึ่งของพุทธศาสนิกชน คล้ายกับการทอดกฐิน แต่ไม่มีกำหนดระยะเวลาจํากัด คือ สามารถทำได้ทุกฤดูกาล ไม่จำกัดเวลา คือ ทำได้ตลอดทั้งปี และวัดหนึ่งๆ ในแต่ละปี จะจัดให้มีการทอดผ้าป่า กี่ครั้งก็ได้เช่นกัน ผู้ปรารถนา จะทำเมื่อไรย่อมทำได้ ตามกำลังศรัทธา ซึ่งอาจจะผสมผสานหรือผนวกเข้ากับเทศกาลประเพณีประจำท้องถิ่นอื่นๆ ก็ได้ อีกทั้ง ยังไม่เจาะจงเกี่ยวกับพระภิกษุที่จะรับผ้าป่าแต่อย่างใด
*ผ้าป่าคืออะไร
---คำว่า “ผ้าป่า” มีชื่อเรียกตามภาษาบาลีว่า “ปังสุกุละ” ภาษาไทยใช้คำว่า “บังสุกุล” หมายถึง ผ้าที่ไม่มีเจ้าของหวงแหน หรือผ้าที่ประชาชนเขาไม่ใช้แล้ว นำไปทิ้งที่กองขยะ หรือผ้าที่เขาใช้ห่อศพ แล้วนำไปทิ้งไว้ในป่าช้า
---พระภิกษุที่ต้องการผ้ามาทำจีวรผลัดเปลี่ยน ก็ต้องไปหาผ้าบังสุกุล พอพบแล้วท่านก็จะชักผ้าบังสุกุลนั้นว่า
---“อิมัง ปังสุกุละจีวะรัง อัสสามิกัง มัยหัง ปาปุณาติ” แปลว่า “ผ้าบังสุกุลผืนนี้ เป็นผ้าที่ไม่มีเจ้าของหวงแหน ย่อมตกเป็นของข้าพเจ้า” แล้วนำผ้านั้นมาซัก ตัด เย็บ ย้อมทำเป็นจีวร เรียกว่า “บังสุกุลจีวร”
*ผ้าป่าหรือผ้าบังสุกุล มี ๑๐ ประเภท ได้แก่
---ผ้าที่ตกที่ป่าช้า ๑
---ผ้าที่ตกที่ตลาด ๑
---ผ้าที่หนูกัด ๑
---ผ้าที่ปลวกกัด ๑
---ผ้าที่ถูกไฟไหม้ ๑
---ผ้าที่วัวกัด ๑
---ผ้าที่แพะกัด ๑
---ผ้าห่มสถูป ๑
---ผ้าที่เขาทิ้งในที่อภิเษก ๑
---ผ้าที่เขานำไปสู่ป่าช้าแล้วนำกลับมา ๑
*ประวัติความเป็นมา
---ในสมัยพุทธกาล เมื่อครั้งที่พระบรมศาสดา ยังมิได้ทรงอนุญาตให้พระภิกษุทั้งหลาย รับคฤหบดีจีวร คือจีวรที่ชาวบ้านถวาย โดยเฉพาะพระภิกษุเหล่านั้น จึงต้องเที่ยวเก็บผ้าบังสุกุลที่เขาทิ้งแล้ว เช่น ผ้าเปรอะเปื้อน ที่ชาวบ้านไม่ต้องการนำมาทิ้งไว้ ผ้าห่อศพ ฯลฯ
---เมื่อรวบรวมผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อย พอแก่ความต้องการแล้ว จึงนำมาซักทำความสะอาด ตัด เย็บ ย้อม เพื่อทำเป็นจีวร สบง หรือสังฆาฏิ ผืนใดผืนหนึ่ง ทั้งนี้ การทำจีวร ของพระภิกษุในสมัยพุทธกาล ค่อนข้างยุ่งยากและเป็นงานใหญ่ ดังที่กล่าวไว้แล้ว ในเรื่องพิธีทอดกฐิน
---ภายหลังที่มีพระพุทธานุญาตให้พระสงฆ์อุปสมบท แก่กุลบุตรกุลธิดา ที่มีศรัทธาปสาทะ จะปฏิบัติพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนานี้ เพื่อการพ้นทุกข์ พระพุทธองค์ทรงอนุญาต ให้พระภิกษุผู้ให้อุปสมบท บอกนิสสัย ๔ (คือปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิต มี ๔ อย่าง) แก่ผู้ขออุปสมบท ที่เกี่ยวกับผ้าบังสุกุลนี้อยู่ ในข้อที่ ๒ ดังนี้
---"บรรพชาอาศัยบังสุกุลจีวร เธอพึงทำอุตสาหะในข้อนั้นจนตลอดชีวิต อดิเรกลาภ คือ ผ้าเปลือกไม้ ผ้าฝ้าย ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ ผ้าป่าน ผ้าเจือกัน (เช่นผ้าด้ายแกมไหม)"
---ฉะนั้น จึงเห็นได้ว่า พระสงฆ์ย่อมต้องอาศัยผ้าบังสุกุล เพื่อใช้นุ่งห่มจนตลอดชีวิต ผ้าบังสุกุลจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพระสงฆ์ ในสมัยพุทธกาล ก็มีการทอดผ้าบังสุกุล ผู้ทอดผ้าบังสุกุลเป็นเทพธิดาองค์หนึ่ง ความปรากฏในธัมมปทัฏฐกถา ดังนี้
---ในวันหนึ่ง พระเทพธิดาถวายผ้า แก่พระอนุรุทธเถระ ผู้มีจีวรเก่าแล้วและเที่ยวแสวงหาจีวรในที่ทั้งหลาย มีกองอยากเยื่อ เป็นต้น หญิงภรรยาเก่า ของพระเถระนั้นในอัตภาพที่ ๓ แต่อัตภาพนี้ได้เกิดเป็นเทพธิดาชื่อ " ชาลีนี" ในดาวดึงส์ภพ นางชาลินีเทพธิดานั้น เห็นพระเถระ เที่ยวแสวงหาท่อนผ้าอยู่ จึงถือผ้าทิพย์ ๓ ผืน ยาว ๑๓ ศอก กว้าง ๔ ศอก แล้วคิดว่า “ถ้าเราจักถวายโดยทำนองนี้ พระเถระจักไม่รับ” จึงวางผ้าไว้บนกองหยากเยื่อแห่งหนึ่งข้างหน้าของพระเถระนั้น
---ผู้แสวงหาท่อนผ้าทั้งหลายอยู่ โดยอาการที่เพียงชายผ้าเท่านั้น จะปรากฏได้ พระเถระเที่ยวแสวงหาท่อนผ้าอยู่โดยทางนั้น เห็นชายผ้าของท่อนผ้าเหล่านั้นแล้ว จึงจับที่ชายผ้านั้น นั่นแลฉุดมาอยู่ เห็นผ้าทิพย์มีประมาณดังกล่าวแล้ว ถือเอาด้วยคิดว่า “ผ้านี้เป็นผ้าบังสุกุลอย่างอุกฤษฏ์หนอ” ดังนี้แล้วหลีกไป
---ต่อมา ครั้นชาวบ้านที่มีจิตศรัทธาทั้งหลาย เห็นความยากลำบากของพระภิกษุสงฆ์ ต้องการจะนำผ้า มาถวาย แต่เมื่อยังไม่มีพุทธานุญาตโดยตรง จึงนำผ้าอันสมควรแก่สมณบริโภค ไปทอดทิ้งไว้ ณ ที่ต่างๆ เช่น ตามป่า ป่าช้า หรือข้างทางเดิน หรือแขวนไว้ตามกิ่งไม้ เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์สะดวกในการแสวงหาผ้าบังสุกุล
---เมื่อพระภิกษุสงฆ์มาพบ เห็นว่าเป็นผ้าที่ผู้เป็นเจ้าของทอดอาลัยแล้ว ก็นำเอามาทำเป็นผ้าจีวร ด้วยเหตุนี้กระมัง จึงเรียกผ้าในลักษณะนี้ว่า “ผ้าป่า” (ผ้าที่ชาวบ้านนำไปทิ้งไว้ที่ป่าช้าหรือผ้าที่ห่อศพอยู่ในป่าช้า)
---แม้ในการทำบุญงานศพ ยังนิยมเอาผ้าไปทอดที่หีบศพ เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ชักผ้านั้น เรียกว่า "ชักผ้าบังสุกุล" ถ้าหากมีการทอดผ้าจำนวนมาก ก็ยังนิยมเอาสายสิญจน์ผูกที่หีบศพ และยังโยงสายสิญจน์นั้นมาวางที่หน้าพระภิกษุสงฆ์ และทอดผ้าไว้บนสายสิญจน์เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ชักผ้านั้น ก็เรียกว่า "ชักผ้าบังสุกุล "
---ครั้นพระพุทธศาสนาแพร่หลายมากขึ้น หมอชีวกโกมารภัจ ซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชนที่สำคัญและเคร่งครัดมากผู้หนึ่ง ท่านเป็นทั้งหมอหลวงประจำราชสำนักของพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าแผ่นดินแห่งมคธรัฐ และเป็นหมอที่เคยถวายการรักษาพระพุทธเจ้าและพระสาวก
---ครั้งหนึ่ง หลังจากที่รักษาอาการประชวรของพระเจ้าจัณฑปัชโชต แห่งกรุงอุชเชนี แคว้นอวันตี จนหายเป็นปกติดีแล้ว ได้รับพระราชทานรางวัล เป็นผ้าเนื้อสีทองอย่างดีสองผืน จากแคว้นกาสี ซึ่งเป็นผ้าเนื้อละเอียดมาก คนธรรมดาไม่มีโอกาสได้ใช้ผ้าเช่นนี้ นอกจากพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น
---แต่ท่านหมอคิดว่า ผ้าเนื้อดีอย่างนี้ไม่สมควรที่ตนจะใช้สอย เป็นของสมควรแก่พระบรมศาสดาหรือพระมหากษัตริย์ จึงได้น้อมนำผ้านั้น ไปถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ก่อนที่จะถวายได้กราบทูลขอพรว่า “ขอให้ภิกษุรับคฤหบดีจีวรได้” พระพุทธองค์ประทานอนุญาตให้ตามที่ขอ
---การที่หมอชีวกโกมารภัจ ได้พิจารณาเรื่องจีวรของพระภิกษุแล้ว กราบทูลขอพรเช่นนั้น ก็เพราะแต่ก่อนนั้น พระภิกษุใช้สอยแต่ผ้าบังสุกุล จะไม่รับผ้าที่ชาวบ้านถวาย ท่านหมอเห็นความลำบากของพระภิกษุสงฆ์ในเรื่องนี้ จึงกราบทูลขอพร และได้เป็นผู้ถวายเป็นคนแรก แม้พระพุทธองค์จะทรงอนุญาตตามที่หมอชีวกโกมารภัจ กราบทูลขอ แต่ก็ยังมีพุทธดำรัสตรัสว่า “ถ้าภิกษุปรารถนาจะถือผ้าบังสุกุลก็ให้ถือ ปรารถนาจะรับคฤหบดีรจีวรก็ให้รับ” และได้ตรัสสรรเสริญความสันโดษ คือ ความยินดีตามมีตามได้
---พระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนา และอนุโมทนาบุญ แก่หมอชีวกโกมารภัจ ผู้ถวายผ้านั้น เมื่อจบพระธรรมเทศนาแล้ว หมอชีวกโกมารภัจ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม ดำรงอยู่ในอริยภูมิ คือ พระโสดาบัน
---ดังนั้น การนำผ้าไปทอดไว้ในป่าอย่างแต่ก่อน จึงค่อย ๆ เปลี่ยนมาเป็น การนำผ้าป่าที่มีลักษณะดีกว่า ไปถวายโดยตรง หรือถ้ายังประสงค์จะรักษาประเพณีทอดผ้าป่า หรือประเพณีที่ให้พระภิกษุถือเอาเฉพาะผ้าบังสุกุลไว้ด้วย ก็นำไปทอดไว้ใกล้ ๆ สถานที่ ที่พระภิกษุอาศัยอยู่ เช่น วัดวาอาราม จนกระทั่งกลายมาเป็นประเพณีนำผ้าสำเร็จรูป เป็นสังฆาฏิ จีวร สบง ผืนใดผืนหนึ่ง หรือทั้งสามผืน ที่เรียกว่า "ไตรจีวร" พร้อมด้วยเครื่องบริวาร ไปทอดเป็นการกุศล สืบเนื่องต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้ พิธีการทอดผ้าป่า ก็มีความเป็นมาด้วยประการละฉะนี้
---สำหรับในเมืองไทย พิธีทอดผ้าป่าได้รับการรื้อฟื้นขึ้น ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ด้วยทรงพระประสงค์ จะรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีในทางพระศาสนา
*ประเภทของผ้าป่า
---ความจริงแล้ว การทอดผ้าป่ามีอยู่อย่างเดียวคือ การนำผ้าไปทิ้งไว้ดังที่กล่าวมาแล้ว แต่ในปัจจุบันนิยมทำในรูปแบบต่างๆ แตกต่างกันไป จึงมีชื่อเรียกเป็น ๓ อย่าง คือ
---(๑)ผ้าป่าหางกฐิน หรือผ้าป่าแถมกฐิน
---(๒)ผ้าป่าโยงกฐิน
---(๓)ผ้าป่าสามัคคี
*(๑)ผ้าป่าหางกฐิน
---ได้แก่ ผ้าป่าที่เจ้าภาพ จัดให้มีขึ้นต่อจากการทอดกฐิน คือ เมื่อทำพิธีทอดกฐินเสร็จแล้ว ก็ให้มีการทอดผ้าป่าด้วยเลย จึงเรียกว่า ผ้าป่าหางกฐิน หรือผ้าป่าแถมกฐิน
*(๒)ผ้าป่าโยง
---ได้แก่ ผ้าป่าที่จัดทำรวมๆ กันหลายกอง นำบรรทุกเรือ แห่ไปทอดตามวัดต่างๆ ที่อยู่ริมแม่นํ้า จึงเรียกว่า ผ้าป่าโยง จะมีเจ้าภาพเดียวหรือหลายเจ้าภาพก็ได้
*(๓)ผ้าป่าสามัคคี
---ได้แก่ ผ้าป่าที่มีการแจกฎีกาบอกบุญไปตามสถานที่ต่างๆ ให้ร่วมกันทำบุญแล้วแต่ศรัทธา โดยจัดเป็นกองผ้าป่ามารวมกัน จะเป็นกี่กองก็ได้ เมื่อถึงวันทอด จะมีขบวนแห่ผ้าป่ามารวมกันที่วัด อย่างสนุกสนาน บางที จุดประสงค์ ก็เพื่อร่วมกันหาเงินสร้างถาวรวัตถุต่างๆ เช่น โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ และอื่นๆ ฯลฯ
*ผู้ประสงค์จะทอดผ้าป่าจะทำอย่างไร
---การจองผ้าป่า
---สำหรับการจองผ้าป่านั้น ให้ผู้เป็นเจ้าภาพไปแจ้งความประสงค์แก่เจ้าอาวาส ที่ต้องการจะนำผ้าป่ามาทอด เรียกว่า เป็นการจองผ้าป่า เมื่อกำหนดเวลาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ทำการตั้งองค์ผ้าป่า ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะต้องมีก็คือ
---๑.ผ้า
---๒.กิ่งไม้สำหรับพาดผ้า
---๓.ให้อุทิศถวายไม่เจาะจงพระรูปใดรูปหนึ่ง
*การตั้งองค์ผ้าป่า
---เจ้าภาพองค์ผ้าป่าจะจัดหาผ้าสำหรับพระภิกษุมาผืนหนึ่ง อาจเป็นสบง จีวร สังฆาฏิ หรือทั้ง ๓ อย่าง แล้วแต่ศรัทธา เพราะไม่มีข้อกำหนด นำกิ่งไม้หนึ่งกิ่ง ไปปักไว้ในภาชนะขนาดพอสมควร เช่น โอ่ง กระถัง เป็นต้น เพื่อให้กิ่งไม้อยู่คงที่ ไม่เอนไปเอนมา โดยจะใช้เป็นที่พาดผ้าป่า และใช้สำหรับนำสิ่งของเครื่องใช้ที่จะถวายพระ เช่น สบู่ ยาสีฟัน ผ้าเช็ดตัว ผ้าอาบนํ้าฝน สมุด ดินสอ อาหารแห้ง ฯลฯ ใส่ในภาชนะนั้น สำหรับเงินหรือปัจจัย ปกตินิยมเสียบไว้กับต้นกล้วยเล็กๆ ในกองผ้าป่านั้น
*วันงานทอดผ้าป่า
---ในสมัยโบราณ ไม่มีต้องจองผ้าป่า เมื่อเจ้าภาพนำองค์ผ้าไปถึงแล้ว ก็จุดประทัดหรือส่งสัญญาณด้วยวิธีหนึ่ง ให้พระท่านรู้ว่ามีผ้าป่า เป็นอันเสร็จพิธี หรือจะอยู่รอให้พระท่านมาชักผ้าป่าด้วยก็ได้
---แต่ในปัจจุบัน การทอดผ้าป่า นับว่าเป็นงานค่อนข้างใหญ่ ต้องมีการจองผ้าป่าเพื่อแจ้งให้ทางวัด ทราบหมายกำหนดการ จะได้จัดเตรียมการต้อนรับ เมื่อถึงกำหนดก็จะมีการแห่แหนองค์ผ้าป่า มาด้วยขบวนเถิดเทิงกลองยาวหรือแตรวง เป็นที่ครึกครื้น สนุกสนาน ยิ่งถ้าเป็นผ้าป่าสามัคคีต่างเจ้าภาพ ต่างแห่มาพบกันที่วัด จนกลายเป็นมหกรรมย่อยๆ มีการละเล่นพื้นบ้าน หรือร่วมร้องรำทำเพลง ร่วมรำวง กันเป็นที่สนุกสนาน บางทีก่อนวันทอดก็จะให้มีมหรสพฉลองที่บ้านของเจ้าภาพ
*ลำดับการทอดผ้าป่า
---การทอดผ้าป่า เมื่อถึงวัดที่จะทอดแล้ว ก็จัดสถานที่ตั้งองค์ผ้าป่าและเครื่องบริวาร เช่น จัดตั้งไว้ข้างพระอุโบสถ เพื่อจะได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วย เมื่อจัดตั้งโดยนำผ้าป่าไปวางต่อหน้าภิกษุสงฆ์เรียบร้อยแล้ว ถ้าหากไม่มีพระภิกษุมาชักผ้าบังสุกุลในขณะนั้น ก็ไม่ต้องกล่าวคำถวาย แต่ถ้ามีพระสงฆ์รูปหนึ่งผู้ได้รับฉันทานุมัติจากหมู่สงฆ์ ลุกขึ้นเดินถือตาลปัตรมาชักผ้าบังสุกุลที่องค์ผ้าป่า เจ้าภาพและผู้ร่วมทอดผ้าป่าด้วยกัน ก็กล่าวคำถวายผ้าป่าพร้อมๆ กันดังนี้
*คำบาลีถวายผ้าป่า
---นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)
---อิมานิ มะยัง ภันเต ปังสุกูละจีวะรานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ อิมานิ ปังสุกูละจีวะรานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ
*คำแปล
---ข้าพเจ้าขอนอบน้อม แด่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น (๓ จบ)
---ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายซึ่งผ้าบังสุกุลจีวร กับทั้งบริวารเหล่านี้ แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์โปรดรับซึ่งผ้าบังสุกุลจีวร กับทั้งบริวารเหล่านี้ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายตลอดกาลนานเทอญ
---เมื่อกล่าวคำถวายจบแล้ว พระสงฆ์ผู้ที่ได้รับฉันทานุมัติ จากหมู่สงฆ์มาชักผ้าบังสุกุล และไวยาวัจกรของวัด จะมารับต้นผ้าป่าและเครื่องบริวารอื่นๆ ตลอดจนเงินหรือปัจจัยด้วย โดยพระสงฆ์รูปนั้น ก็กล่าวคำปริกรรมว่า
---“อิมัง ปังสุกุละจีวะรัง อัสสามิกัง มัยหัง ปาปุณาติ” แปลเป็นใจความได้ว่า “ผ้าบังสุกุลผืนนี้เป็นผ้าที่ไม่มีเจ้าของหวงแหน ย่อมตกเป็นของข้าพเจ้า”
---ต่อจากนั้น พระสงฆ์จึงสวดอนุโมทนาในผลบุญ เจ้าภาพและผู้ร่วมทอดผ้าป่าด้วยกัน ต่างก็กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่บุพพการี เป็นต้น ก็เป็นอันเสร็จพิธีการทอดผ้าป่าเพียงนี้
*ข้อสำคัญในการทอดผ้าป่า คือ
---การทอดผ้าป่านั้นไม่เป็นการถวายแก่พระภิกษุที่เฉพาะเจาะจง ถ้านำไปถวายเฉพาะเจาะจงพระภิกษุรูปนั้นรูปนี้ ก็ไม่เป็นการทอดผ้าป่า คือไม่ใช่ทอดผ้าป่าบังสุกุล
---สำหรับในกรณีที่ไม่มีพระภิกษุมาชักผ้าบังสุกุล เมื่อจัดตั้งองค์ผ้าป่าและบริวารในสถานที่เหมาะแล้ว ก็ให้สัญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้ทราบว่ามีผ้าป่ามาทอดที่วัด แล้วก็หลีกไป
*อานิสงส์ของการทอดผ้าป่า
---๑.เป็นการสงเคราะห์พระสงฆ์ให้สะดวกด้วยปัจจัยสี่ หรือสิ่งที่จำเป็นในการครองสมณเพศ มีจีวร หรือผ้านุ่งห่ม เป็นต้น
---๒.เป็นการช่วยเหลือทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เพราะเมื่อพระสงฆ์ได้รับความสะดวกตามสมควรก็จะได้เป็นกำลังสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา
---๓.ได้ชื่อว่าเป็นการถวายทานแด่ท่านผู้ทรงศีล ซึ่งนับเป็นการบูชาท่านผู้ทรงศีล-บูชาท่านผู้ควรบูชา และเป็นทานที่มีคุณค่าสูง
---๔.เป็นการอบรมจิตใจของผู้บริจาคให้มีการเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม คือ พระพุทธศาสนาซึ่งเป็นหลักทางจิตใจของประชาชนในชาติสืบไป
---๕.เป็นการส่งเสริมความมีสามัคคีธรรมของหมู่คณะ
---๖.เป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้ชุมชนมีความมั่นคง เป็นปึกแผ่นสืบไป
*การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง
---ผู้ใดได้สร้างพระเจดีย์ธาตุเหลือ ให้เป็นทาน ก็จักได้อานิสงส์ ๖๔ กัลป
---ผู้ใดสร้างรั้วล้อมอาราม ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
---ผู้ใดปัดกวาดขยะมูลฝอย ถอนเสียจากเขตอาราม ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
---ผู้ใดสร้างศาลา สะพาน บ่อน้ำ ให้เป็นทาน ได้อานิสงส์ ๓๐ กัลป
---ผู้ใดได้ถวายดอกไม้ ธูปเทียน ได้อานิสงส์ ๘ กัลป
---ผู้ใดได้สร้างอัฏฐ ให้เป็นทาน ได้อานิสงส์ ๓๖ กัลป
---ผู้ใดได้ถวายจีวรเถราภิเษก ได้อานิสงส์ ๓๒ กัลป
---ผู้ใดถวายผ้าป่า ได้อานิสงส์ ๔๐ กัลป
---ผู้ใดให้ฝาผนังและเพดาน เป็นทาน ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
---ผู้ใดสร้างธงฝ้าย ธงผึ้ง ธงชัย ธงชาย ธงเหล็ก บูชาพระรัตนตรัย ได้อานิสงส์ ๖๔ กัลป
---ผู้ใดสร้างขันหมากเบ็ง บูชาระรัตนตรัย ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
---ผู้ใดถวายซึ่งข้าวพันก้อน บูชาพระรัตนตรัยได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
---ผู้ใดถวายผ้าอาบน้ำฝน และผ้าจำนำพรรษา ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
---ผู้ใดสร้างปราสาทดอกผึ้ง ให้เป็นทาน ได้อานิสงส์ ๓ กัลป
---ผู้ใดสร้างต้นกัลปพฤกษ์ ให้เป็นทาน ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป์
---ผู้ใดสร้าง ฆ้อง กลอง แคน ซอ หอยสังข์ ปี่ แตร แตรวง ดนตรี ให้เป็นทานได้อานิสงส์ ๖๐ กัลป
---ผู้ใดได้ถวายเสื่อสาด อาสนะ ได้อานิสงส์ ๔ กัลป
---ผู้ใดถวายเตียง เก้าอี้ ฟูกเบาะ ให้เป็นทาน ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
---ผู้ใดได้ปลูกกุฏีกรรม ให้พระภิกษุเข้าปริวาสกรรม และมานัตตกรรม ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
---ผู้ใดได้สร้างบั้งไฟ จุดบูชาพระรัตนตรัย ได้อานิสงส์ ๔ กัลป
---ผู้ได้สร้างพัทธสีมาน้ำ ได้อานิสงส์ ๖๗ กัลป
---ผู้ใดได้สร้างธรรมาสน์ ได้อานิสงส์ ๓๒ กัลป
---ผู้ใดได้สร้างเวจกุฏี ได้อานิสงส์ ๔๐ กัลป
---ผู้ใดได้เผาซากศพ ที่ตกเรี่ยราดอยู่ตามป่าตามดง ได้บริวารหมื่นหนึ่ง
---ผู้ใดได้เผาศพญาติมิตรสหาย ได้บริวาร ๓ หมื่น
---ผู้ใดได้เผาศพบิดามารดา ได้บริวารหนึ่งแสน
---ผู้ใดได้เผาศพอุปัชฌาย์อาจารย์ ได้บริวารโกฏิหนึ่ง
---ผู้ใดได้ถวายโอ่งน้ำ และส้วมอาบน้ำ และครุตักน้ำ ก็ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
---สัพพทานทั้งหลายชนิดเหล่านี้ บุคคลผู้ใดมีศรัทธากล้าหาญอาจสละสมบัติออกสร้างวัตถุประสงค์ ดังแสดงมานี้ ก็มีอานิสงส์ผลบุญพูนสุข ในชาตินี้และชาติหน้า
---อานิสงส์ที่ได้ปัจจุบันนี้คือ จะไปมาทางใด ก็มีคนนับหน้าถือตา ไม่ได้เป็นที่รังเกียจของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง มีแต่ผู้อยากให้ร่วมกินร่วมอยู่ทั้งนั้น เราจะเข้าไปสู่สมาคมใด ๆ ก็ไม่ครั้นคร้าม สยดสยอง เกรงกลัวต่ออำนาจ ผู้ใด การทำมาหากินก็สมความมุ่งมาตรปรารถนาสมประสงค์ ครั้นสิ้นบุพพกรรมมนุษย์ในโลกนี้แล้ว ก็จะถือเอาตน เมื่ออุบัติขึ้นบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสายามาตุสิตาโดยลำดับ จนถึงพรหมโลก
---ครั้นจุติจากพรหมโลก ลงมาเกิดในมนุษย์โลก ก็ไม่ได้ไปเกิดในหิเนกุลชั่วร้าย และจักได้ไปเกิดในตระกูลท้าวพระยามหากษัตริย์ หรือตระกูลพราหมณ์ผู้มั่งคั่ง มั่งมี เศรษฐีกฎุมพี แล้วก็จักได้ทัวระวัดไปมา บารมีแก่กล้า ก็จะได้บ่ายหน้าเข้าสู่เมืองแก้วนิรพาน พอจบธรรมเทศนาแห่งองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าลง สมเด็จพระเจ้ามหานามะ ก็ได้ตั้งอยู่ในไตรสรณคมณ์สามส่วน บริษัททั้งหลาย ก็ได้ถึงโสดาสกิทาคา อนาคา อรหันต์ อานิสงส์ถวายสัพพทาน
---ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทานของสัปบุรุษเหล่านี้ ๘ อย่าง คือ
---๑.ให้ของที่สะอาด
---๒.ให้ของประณีต
---๓.ให้ถูกกาล
---๔.ให้ของที่สมควร
---๕.เลือกให้
---๖.ให้เสมอ ๆ
---๗.กำลังให้ยังจิตให้เลื่อมใส
---๘.ครั้นให้แล้วปลื้มใจ
---สัปปุริสทาน ๘ อย่างนี้ ประเสริฐยิ่งนักหนา ในกาลครั้งนั้น องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าก็สถิตสำราญ อยู่ในป่าเชตวัน อันเป็นอารามของนายอนาถปิณฑิกมหาเศรษฐี อยู่ในที่ใกล้ ๆ นครสาวัตถี
---ในกาลครั้งนั้น มีพระยาองค์หนึ่ง ชื่อ มหานามะ ก็เอาประธูป ประทีปคันธรส ของหอม แล้วพาหมู่บริวารทั้งหลาย เข้าไปสู่ที่เฝ้าพระสัพพัญญูเจ้า แล้วก็นั่งในที่ควรแห่งหนึ่ง จึงทูลถามพระสัพพัญญูเจ้าว่า “ภนฺเต ภควา” ข้าแต่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า บุคคลผู้ใดเลื่อมใสศรัทธา มาก่อสร้างสัพพาทานหลาย ๆ ชนิด ก็จักมีอานิสงส์ดังรือพระเจ้าข้า “ภควา”
---อันว่าองค์... สมเด็จพระศาสดาจารย์เจ้าจึงเทศนาว่า "ดูกรมหาบพิตร นรชนหญิงชายทั้งหลาย มีใจเลื่อมใสศรัทธา มาก่อสร้างสัพพาทานหลาย ๆ ชนิดเป็นต้นว่า
---สร้างพระพุทธรูป ก็จักได้อานิสงส์ ๙ กัลป
---สร้างพระไตรปิฏกธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็ได้อานิสงส์ ๑๐ กัลป
---ผู้ใดได้บวชตนเป็นสามเณร ก็จักได้อานิสงส์ ๑๒ กัลป
---ผู้ไดได้บวชตนเป็นพระภิกษุ ก็จักได้ อานิสงส์ ๒๔ กัลป
---ผู้ใดได้สร้างพระธาตุเจดีย์ ก็จักได้อานิสงส์ ๘๐ กัลป
---ผู้ใดได้ปลูกไม้ศรีมหาโพธิ์ ก็จักได้อานิสงส์ ๙ กัลป
---ผู้ใดให้โภชะนังยังข้าวน้ำ โภชนะอาหาร ให้เป็นทานแก่ภิกษุสามเณร ก็จักได้บริวารแสนหนึ่ง
---ผู้ใดได้สร้างเจดีย์ทราย ก็จัก ได้อานิสงส์ ๖๐ กัลป
---ผู้ใดสร้างกุฏี ให้เป็นทานก็จัก ได้อานิสงส์ ๔๐ กัลป
---ผู้ใดสร้างอุโบสถ ให้เป็นทานก็จัก ได้อานิสงส์ ๔๐ กัลป
---ผู้ใดสร้างกฐิน ให้เป็นทานก็จักได้อานิสงส์ ๘๐ กัลป
---ผู้ใดสร้างอาราม ให้เป็นทานก็จักได้อานิสงส์ ๔๐กัลป
---ผู้ใดสร้างพัทธสีมา ให้เป็นทานก็จักได้อานิสงส์ ๑๐๐ กัลป
---ผู้ใดได้บวชบุรุษผู้อื่น ให้เป็นพระภิกษุ ก็จักได้อานิสงส์ ๘ กัลป
---บวชบุตรตนเองให้เป็นภิกษุ ก็จะได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
---ภรรยาบวชสามีของตนให้เป็นสามเณร ก็จักได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
---ภรรยาบวชสามีของตนให้เป็นพระภิกษุ ก็จักได้อานิสงส์ ๓๒ กัลป
---สามีบวชภรรยาให้เป็นภิกษุณี ก็จักได้อานิสงส์ ๖๔ กัลป
---ผู้ใดได้สร้างพระเจดีย์ธาตุข้าวเปลือก ให้เป็นทาน ก็จักได้อานิสงส์ ๓๑ กัลป
---ผู้ใดสร้างพระเจดีย์ธาตุข้าวสาร ให้เป็นทานได้อานิสงส์ ๔๒ กัลป
---อานิสงค์กฐิน ตามที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ พระบรมศาสดาที่มีพระนามว่า "พระปทุมมุตตระ" เทศนา ไว้ว่า "อานิสงค์ของกฐินมีมากเป็นกรณีพิเศษ” ทั้งผู้ถวายกฐินทาน และผู้ร่วมถวายกฐินทานครั้งหนึ่ง จะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ จะปรารถนาเป็นพระอัครสาวกก็ได้ จะปรารถนาพระนิพพาน ซึ่งเป็นพระอรหันต์ก็ได้ และยิ่งกว่านั้นไซร้ ก่อนที่บรรดาผลทั้งหลายเหล่านั้น คือ ความเป็นพระพุทธเจ้าก็ดี ความเป็นอัครสาวกก็ดี หรือพระอรหันต์ที่ดี กว่าจะมาถึง พระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า ในขณะที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มีบารมียังไม่สูงดี ยังไม่บรรลุ-มรรคผล อานิสงค์กฐินทาน จะให้ผลดังนี้
---ในอันดับแรกเมื่อตายจากความเป็นคน จะไปเกิดเป็นเทวดาและลงมาจุติเป็น เจ้าจักรพรรดิ ปกครองประเทศทั่วโลก มีมหาสมุทรทั้ง ๔ เป็นขอบเขต ๕๐๐ ชาติ
--- เมื่อบุญแห่ง ความเป็นจักรพรรดิสิ้นไป บุญหย่อนลงมา จะเป็นพระมหากษัตริย์ ๕๐๐ ชาติ
--- เมื่อบุญแห่งความเป็นพระมหากษัตริย์หมดไป ก็เกิดเป็นเศรษฐี ๕๐๐ ชาติ
--- เมื่อบุญแห่งความเป็นเศรษฐีหมดไป ก็เกิดเป็นอนุเศรษฐี ๕๐๐ ชาติ
--- เมื่อบุญแห่งความเป็นอนุเศรษฐีหมดไป ก็เกิดเป็นคหบดี ๕๐๐ ชาติ
---รวมความแล้ว องค์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ตรัสไว้ว่า คนที่ทอดกฐินทานครั้งหนึ่งก็ดี หรือ ร่วมทอดกฐินก็ดี บุญบารมีส่วนนี้ยังไม่ทันหมด ก็เข้านิพพานก่อนก็ได้
---ทั้งกฐินและผ้าป่า ก็เป็นสังฆทานด้วยกันทั้งคู่ แต่ทว่าอานิสงส์กฐินได้มากกว่า เพราะว่า กฐินเป็นกาลทาน มีเวลาจำกัด คือ จะทอดได้ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงกลางเดือน ๑๒
---แต่อานิสงส์ได้ทั้งสองฝ่าย คือ ผู้ทอดก็ได้ พระผู้รับก็ได้ โดยพระผู้รับผ้ากฐิน มีอำนาจคุ้มครองพระวินัยได้หลายสิกขาบท กล่าวคือ พระผู้รับผ้ากฐิน เป็นผู้ที่ได้ฉันทามติจากสงฆ์ว่า เป็นผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบตลอดพรรษา
---กาลทานสูตร อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาตเพราะเหตุที่กาลทาน เป็นทานที่ให้ ในเวลาจำกัดทำไม่ได้โดยสม่ำเสมอ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นทานที่มีผลมาก ยิ่งให้ในผู้มีศีล ผู้ประพฤติตรง ยิ่งมีผลมาก แม้บุคคลผู้อนุโมทนาต่อทานของผู้นั้น หรือช่วยเหลือให้ทานของผู้นั้นสำเร็จผล ก็ได้รับผล ทั้งบุญของผู้ให้ก็ไม่บกพร่อง เพราะฉะนั้น บุคคลจึงควรยินดีในการให้ทาน ทานที่บุคคลให้แล้วย่อมมีผลมาก ทั้งยังติดตามไปเป็นที่พึ่งแก่เขาในโลกหน้าด้วย.
...............................................................................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมและเรียบเรียงมาจาก
รวบรวมโดย...แสงธรรม
(แก้ไขแล้ว ป.)
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 22 กันยายน 2558
ขออนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ในธรรมทานทั้งปวงด้วยครับ