การแก้กรรม
*คำแนะนำ
---ในการแก้กรรมนี้ ไม่ได้ส่งเสริมให้ท่านไปทำกรรมชั่วแล้วให้มาแก้กรรม หรือล้างกรรม ทีหลัง แต่แนะนำสำหรับผู้ที่ทำกรรมไม่ดีมาด้วยความประมาท พลั้งเผลอ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ยกตัวอย่าง ท่านองคุลิมาล เมื่อก่อนทำด้วยความประมาท ด้วยความไม่รู้ว่าสิ่งที่กระทำนั้นเป็นบาปกรรม
*วิธีที่ดีที่สุด
---1.ทำความเห็นให้ถูกต้อง หรือเรียกว่า สัมมาทิฏฐิ เพราะเมื่อมีสัมมาทิฏฐิแล้ว ย่อมกำจัดความเห็นผิดทั้งหลายได้
---2.มีกัมมสัทธา เชื่อในเรื่องกรรม
---3.วิปากสัทธา เชื่อในการให้ผลของกรรม
---4.กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อความที่มีกรรมเป็นของตน แล้วกลับมาบำเพ็ญความดี หรือบุญตามหลักที่ควรเป็น คือให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
---ในการทำความดีนี้ ถึงจะมุ่งหวังการแก้กรรมเป็นเหตุ แต่ก็ไม่ควรกังวลว่า แก้ได้หรือไม่ได้ พึงทำใจอยู่เสมอว่า เรามีการกระทำเป็นของตน
---อนึ่ง การให้ผลของกรรม เป็นเรื่องอจินไตย ใคร ๆ ไม่ควรคิดมาก ไม่ควรกังวลมาก ให้ทำดีที่สุด เมื่อทำดีมากๆ แล้ว กรรมไม่ดีต่าง ๆ ก็อาจจะไม่มีโอกาสให้ผล หรือตามไม่ทัน หรือกลายเป็นอโหสิกรรมไป ต่อไปนี้ จะนำวิธีแก้กรรม ที่ท่านผู้ที่ผ่านการศึกษาได้เสนอแนะไว้ เห็นว่าเป็นประโยชน์ เพราะเกี่ยวข้องกับการทำความดีทั้งนั้น
*แนวทางสำหรับการแก้ไขวิบากกรรมให้เบาบางลงไป
*คำแนะนำในการแก้กรรม
---สำหรับท่านที่ผิดพลาดไปแล้ว ก็อยาก ขอแนะนำ หนทางแก้ไข วิบากกรรมเหล่านั้น ให้บรรเทาลงไปหรือหมดไปในที่สุด ใช้ได้กับกรรม ทุกประเภท มีข้อแนะนำดังนี้
---1.ทำบุญอุทิศส่วนกุศล ให้แก่เจ้ากรรมนายเวร ที่กำลังติดตามให้ผลเราอยู่ทุกรูปแบบ เพื่อให้ดวงวิญญาณนั้น เห็นว่า เรามีความตั้งใจจริงและสำนึกในผลกรรมที่ได้กระทำลงไป เช่น การทำบุญใส่บาตร, ถวายสังฆทาน, ทอดผ้าป่า, ทอดกฐิน, ถวายพระพุทธรูป, ถวายผ้าไตร, ไถ่ชีวิตสัตว์ ฯลฯ แล้วตั้งใจกรวดน้ำอุทิศ ส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรที่อยู่ในตัวของเราเท่านั้น แต่ท่านต้องเข้าใจเสียก่อนว่านี่เป็นเพียงทานกุศล เป็นกุศลเบื้องต้น ที่ยังหยาบอยู่ซึ่งอาจจะไม่พอเพียงสำหรับการไถ่โทษฑัณฑ์ ที่ได้กระทำผิดไว้กับเจ้ากรรมนายเวรตนนั้นก็ได้
---2.การบวชพราหมณ์หรือการบวชพระ การถือศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 ตามเพศภาวะ ส่วนจะเป็นการบวชกี่วัน ย่อมขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละบุคคล เมื่อบวชแล้วควรสวดมนต์ไหว้พระ ทำวัตรเช้า-เย็น เจริญสมาธิภาวนาให้มาก เพราะเป็นกุศลที่ละเอียดสูงกว่าการให้ทานข้างต้น
---เพราะการบวชชีพราหมณ์หรือการถือศีล 8 เป็นระดับของบุญที่สูงกว่าการให้ทาน นอกจากจะมีโอกาสทำวัตรเช้าเย็น ก็ยังได้นั่งสมาธิแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลที่เป็นทิพย์ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรอีกด้วย หรือ ถ้าเป็นกรรมหนักและเป็นผู้ชายก็อาจบวชพระ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรก็ยิ่งดีมาก
---3.เจริญสมาธิภาวนา แม้เราจะไม่มีเวลาไปบวชถือศีลที่วัดก็ตาม เราก็ควรจะทำบ้านให้เป็นวัด ด้วยการสวดมนต์และเจริญสมาธิภาวนาให้เป็นนิจ เพราะบุญจากการเจริญสมาธิภาวนา เป็นกุศลที่ละเอียดมากและสูงที่สุด ซึ่งเป็นที่ปรารถนาของทุกดวงจิตดวงวิญญาณ เพราะผู้มีกายทิพย์หรือกายละเอียดย่อมอยากได้บุญที่ละเอียดเช่นกัน
---อีกประการหนึ่ง จะเป็นการคลายขันธ์หรือปรับปรุงธาตุขันธ์ให้ผ่อนคลาย ระงับเบญจขันธ์อันประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ กรรมเล็ก กรรมน้อย จะถูกขับผ่อนคลายออกจากขันธ์ได้บางส่วน ทำให้ดีขึ้นและเกิดปิติสุขตามมา พยายามให้จิตแน่วแน่มั่นคง จนจิตดิ่งวูบจนเกิดความสงบและสุขในใจ แล้วแผ่เมตตาให้ดวงจิตดวงวิญญาณนั้น มาอนุโมทนาและให้เป็นอโหสิกรรมต่อกัน
---เพราะองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้กล่าวว่า หากเราทำจิตให้นิ่งสงบได้เพียงช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น ย่อมสามารถปิดอบายภูมิได้ คือ ทำความดีหนีความชั่ว ดังนั้น แม้ไม่อาจจะไปบวชชีพราหมณ์ได้ ก็อยู่ปฏิบัติเอาเองที่บ้านก็ได้ แต่ขอให้ทำจริงเท่านั้น (ข้อ ที่ว่าปิดอบายภูมิได้นั้น หมายถึงชั่วขณะที่จิตสงบนิ่งเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าปิดได้ตลอดกาล หมายความว่าถ้าตายในขณะที่จิตสงบเป็นกุศล ก็ย่อมมีโอกาสที่จะได้ไปสู่สุคติ หรือมีสุคติเป็นที่หวัง ที่ปิดอบายภูมิได้เด็ดขาด คือพระโสดาบันขึ้นไปเท่านั้น พระมหาอำพร อนุตฺตโร)
---4.การขออโหสิกรรม หรือ การให้อภัยทาน ในบรรดาทานทั้งหลายอันประกอบด้วย วัตถุทาน ธรรมทานและอภัยทาน ถือว่าอภัยทานเป็นทานในระดับปรมัตถทานบารมี หากมีการให้อโหสิกรรมซึ่งกันและกัน กรรมนั้นย่อมเป็นโมฆะ หลุดพ้นจากบ่วงกรรมนั้นทันที ดังนั้น หากเจ้ากรรมนายเวรใดปรากฏตนต่อหน้าในขณะนั้น ก็พึงประกาศขออโหสิกรรมกันทันที หากแม้ว่าอีกฝ่ายไม่ยอม กรรมนั้นก็ย่อมดำเนินการส่งผลต่อไป สุดแท้แต่ลักษณะแห่งกรรมที่กระทำกันมา
---ดังนั้น ทุกครั้งที่ทำบุญแล้วให้กรวดน้ำแผ่เมตตา ระบุถึงเจ้ากรรมนายเวรที่อยู่ในตัวข้าพเจ้า หรือ ที่ติดตามข้าพเจ้า ให้มาอนุโมทนาในส่วนบุญส่วนกุศลที่ข้าพเจ้าอุทิศให้นี้ และกรรมอันใดที่ได้กระทำไปโดย เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ขอให้เป็นอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพื่อเป็นการแสดงความตั้งใจที่จะอุทิศให้แก่เขาจริง ๆ และด้วยความสำนึกผิด
---5.ขอร้องไกล่เกลี่ย เมื่อทำทุกอย่างที่แนะนำแล้ว เหตุการณ์รอบ ๆ ตัว หรือ สุขภาพการเจ็บป่วยไม่ดีขึ้น ก็ต้องหาคนกลางช่วยไกล่เกลี่ยให้ ดังนั้น พระสงฆ์ ผู้ทรงศีล จึงเป็นทางออกที่ดี เพราะท่านเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และมีศีล 227 ย่อมมีวิธีการเจรจาไกล่เกลี่ยให้ เพราะเราเป็นจำเลย แต่วิญญาณที่อาฆาตเป็นโจทก์
---ดังนั้น ถึงแม้เราจะพยามสร้างบุญสร้างกุศลทุกรูปแบบแล้ว เจ้ากรรมนายเวรอาจจะยังไม่ยอมก็ได้ เพราะความโกรธยังมีอยู่ จึงไม่ยอมฟังเสียงร้องขอของเรา จึงจำเป็นต้องอาศัยคนกลางที่เป็นที่เคารพนับถือหรือเกรงใจกันไกล่เกลี่ยให้ โดยอาศัยจิตสำนึกในบาปบุญที่ได้กระทำมา และสร้างกุศลอยู่เสมอเป็นสำคัญ ประกอบด้วยพระสงฆ์ที่มีบุญฤทธิ์และเมตตาจิตที่แผ่เมตตาโปรดสัตว์ผู้ทุกข์ยากทั้งหลาย ให้เกิดปัญญาดวงตาเห็นธรรม จนยอมละวางและให้อโหสิกรรมต่อกัน
---ท่านทั้งหลายอ่านมาถึงตรงนี้ คงจะมีคำถามมากมายว่า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่า เจ้ากรรมนายเวรยอมอโหสิกรรมให้ ถ้าท่านอยากทราบคำตอบสุดท้ายตรงนี้ ก็ต้องติดตามเรื่องราวต่าง ๆ ทุกตัวอักษร แล้วท่านจะได้รับคำตอบที่ชัดเจน เป็นรูปธรรมที่ท่านสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง แล้วจะเข้าใจเรื่องราวของ "กรรม" ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น อาจทำให้ท่านเกิดความรู้สึกกลัว "กรรม" กว่าที่เคยกลัวมาว่า "เจ้ากรรมนายเวร" ไม่ใช่แค่คำพูดที่ไว้หลอกคนให้กลัว แต่เป็นเรื่องจริง ๆ ที่ยังไม่เคยได้รับคำอธิบายให้ชัดเจนจากที่ไหนมาก่อนเท่านั้น
*เจ้ากรรมนายเวร
---ก็คือ ดวงจิตดวงวิญญาณที่มีความอาฆาตพยาบาทกันมาแต่อดีตถึงปัจจุบัน จะมากหรือน้อยก็ย่อมขึ้นอยู่กับ บุพกรรม ของแต่ละคน บางดวงจิตดวงวิญญาณหากมาจุติเป็นมนุษย์เหมือนกัน ก็จะคอยจองล้างจองผลาญ หาทางทำลายเรา ในทุกโอกาสทุกสถานที่ในรูปแบบต่าง ๆ กัน ต่างกรรมต่างวาระ จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้ชีวิตของเราแปรเปลี่ยนไป หมุนเวียนกันไป ดีบ้าง แย่บ้าง สุดแท้แต่กรรมดีหรือกรรมชั่วจะส่งผล
---ดังนั้น เพื่อความไม่ประมาท เราจึงควรสั่งสมบุญไว้ หมั่นให้ทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา เอาบุญเป็นตัวนำ เพื่อถ่วงดุลความชั่วให้ส่งผลช้าหรือไม่สามารถให้ผลได้ทัน เพราะน้ำหนักบุญมากกว่าน้ำหนักบาป นั่นเอง
*กรรมดี ตัดกรรมชั่ว
---กรรมชั่วที่ เราทำด้วยเจตนา ทางกาย ทางวาจา หรือทางใจก็ตาม ถึงเราจะไม่สามารถลบล้างได้ แต่เราสามารถทำกรรมดี ทำดีให้มากๆ หรือดีอันยิ่งใหญ่ เพื่อไม่ให้กรรมชั่วบางชนิดมีโอกาสให้ผล หรืออาจจะเข้าไปตัดรอนกรรมชั่วนั้นลงได้โดยเด็ดขาด ( อุปฆาตกกรรม) หรือเข้าไปลดกรรมชั่วนั้นให้มีโอกาสให้ผลน้อยลง เบาบางลง (อุปปีฬกกรรม)
---อีกทั้งกรรมดีที่เราทำนั้น ก็จะไปสนับสนุนกรรมดีที่เรามีอยู่ ให้มีโอกาสให้ผลเต็มที่ (อุปัตถัมภกรรม) เหมือนดังพระบรมราโชวาทในลักษณะที่ว่า "เราไม่สามารถทำทุกคนให้เป็น คนดีได้ทั้งหมด แต่เราต้องสนับสนุนคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง เพื่อป้องกันคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้ "
---ฉะนั้น เราไม่สามารถล้างกรรมชั่วได้ทั้งหมด แต่เราสามารถทำกรรมดี เพื่อให้กรรมดีมีอำนาจมากกว่ากรรมชั่ว ไม่ให้กรรมชั่วมีอำนาจมากกว่า หรือไม่ให้กรรมชั่วมีโอกาสให้ผลได้ เมื่อเราทำกรรมดีมากๆ ดีอย่างที่สุด ดีอย่างยิ่งใหญ่ กรรมดีที่เราทำนั่นแหล่ะ จะเข้าไปตัดรอน เข้าไปเบียดเบียนกรรมชั่ว ไม่ให้กรรมชั่วมีโอกาสให้ผลได้
---ตัวอย่างในสมัยพุทธกาล ก็อย่างเช่น ท่านองคุลิมาล ฆ่าคนมาเป็นร้อยเป็นพันคน แต่ทำกรรมดีอันยิ่งใหญ่คือ อรหันตมรรค อรหันตผล ซึ่งกรรมชั่วที่จะนำไปสู่อบายภูมิเป็นอันไม่มี กลายเป็นอโหสิกรรมไป (กรรมที่ไม่มีโอกาสให้ผล หรือให้ผลไม่ทัน หรือกรรมที่ผ่านพ้นไปแล้ว) เพียงมีแต่เศษกรรมเล็กๆ น้อยเท่านั้น แต่นั่น! การทำความดี นั่นแหล่ะ ดีที่สุด
*กรรมลิขิต
---เมื่อเราได้ศึกษา ถึงขบวนการแห่งกรรมในเบื้องต้นแล้ว ก็คงพอจะเข้าใจว่า อะไร ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเราก็เป็นมาจาก "วิบากแห่งกรรม" นั่นเอง
---ดังนั้น ชะตาชีวิตของคนเราจึงขึ้นอยู่กับ "กรรมลิขิต" แต่ชะตาชีวิตของคนเรานั้น สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้ หาใช่สิ่งตายตัวแต่อย่างใดไม่ มันย่อมเป็นไปตามดุลยภาพแห่งการกระทำและแรงปฏิกิริยาของผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำ ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง นั่นคือ มันสามารถแก้ไขให้ดีขึ้นหรือเลวร้ายลงกว่าเดิมก็ได้ ชะตาชีวิตของคนเราจึงขึ้นอยู่กับ "กรรมเก่าและกรรมใหม่"
---การที่เราจะแก้ไขปัญหาชะตาชีวิตของตนเอง จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ด้วยการพัฒนาและปรับปรุง ค้นคว้าหาวิถีทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่เพียงหาทาง สะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา ตัดกรรม โดยไม่พึ่งพาตนเอง เพราะถึงเราจะมีเงินทองก็คงจะซื้อบุญหรือกรรมไม่ได้แน่นอน
---แต่ถ้ารู้จักพิจารณาถึงสาเหตุหรือองค์ประกอบดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ว่าตนเองมีเวรกรรมใดผูกพันอยู่ ก็จะสามารถลดแรงกรรมเหล่านั้นได้โดยไม่ยาก ความเชื่อในเรื่องกรรม หลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา ได้กล่าวถึง ความศรัทธาของชาวพุทธไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง 4 ประการด้วยกัน
---1.ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คือ เชื่อว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้จริง เป็นผู้ประกอบด้วยพระปัญญาธิคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ
---2.กัมมสัทธา เชื่อเรื่องกรรม คือ เชื่อว่ากรรมมีจริง
---3.วิปากสัทธา เชื่อเรื่องผลของกรรม คือ เชื่อว่ากรรมที่บุคคลทำ ไม่ว่าดีหรือชั่ว ย่อมให้ผลเสมอ
---4.กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตนเอง คือ เชื่อว่าผลที่เราได้รับ เป็นผลแห่งการกระทำของเราเอง ซึ่งอาจจะเป็นกรรมที่ทำในปัจจุบันชาติหรืออดีตชาติ
*ความเชื่อหรือความศรัทธาในพระพุทธศาสนาทั้ง 4 ประการ
---เป็นความเชื่อในเรื่องของกรรมเสีย 3 อย่าง ดังนั้น จะเห็นได้ว่า "กฏแห่งกรรม" จึงเป็นหลักคำสอนที่สำคัญยิ่งในทางพระพุทธศาสนา ที่ชาวพุทธทุกคนไม่ควรมองข้าม เพราะผู้ที่เชื่อกฏแห่งกรรมย่อมได้เปรียบกว่าคนที่ไม่เชื่อในเรื่องกฏแห่งกรรม ย่อมสามารถทำใจได้ในทุกเหตุการณ์ ไม่ว่าชีวิตจะทุกข์ยากลำบาก ผิดหวัง ขมขื่น โรคภัยไข้เจ็บจะมาเบียดเบียน ถือว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรในอดีตมาเบียดเบียน ไม่ตีโพยตีพายโวยวาย เรียกร้องหาความยุติธรรม
*กรรมให้ผลตามกาล
---1.ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาตินี้
---2.อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในชาติหน้า
---3.อปราปรเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาติต่อ ๆ ไป
---4.อโหสิกรรม กรรมที่เลิกให้ผล หรือยุติการให้ผลต่อไป
*กรรมที่ให้ผลตามหน้าที่
---1.ชนกกรรมกรรมที่แต่งมาดีหรือชั่ว
---2.อุปถัมภกรรมกรรมที่สนับสนุนคือถ้ากรรมเดิมหรือชนกกรรมแต่งดีก็ส่งให้ดียิ่งขั้นไปถ้าชั่วก็ส่งให้ชั่วยิ่งขึ้น
---3.อุปปีฬกกรรมกรรมบีบคั้นหรือขัดขวางกรรมเดิม คอยเบียดเบียนชนกกรรม เช่นเดิมแต่งมาดี เบี่ยงเบนให้ชั่ว เดิมแต่ง มาชั่วก็เบี่ยงเบนให้ดี
---4.อุปฆาตกกรรม กรรมตัดรอน เป็นกรรมที่พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ เช่นเดิมชนกกรรมแต่งไว้ดีเลิศ กลับที่เดียวเป็นขอทาน หรือตายทันที หรือของเดิมแต่งไว้เลว ก็กลับทีเดียวเป็นมหาเศรษฐีไปเลย
*กลไกแห่งกรรม
---เมื่อเราได้ศึกษาในกลไกแห่งกรรม จนพอจะเข้าใจแล้วว่า อำนาจแห่งกรรมสามารถจะส่งผลต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ การก่อเกิดภพชาติของคนเราได้ ถ้ากรรมดีให้ผลก็แล้วไป แต่ถ้าวิบากกรรมให้ผลที่ไม่ดีต่อเราแล้ว เราจะมีหนทางใด ในการเบี่ยงเบนวิบากกรรมที่ไม่ดีออกไปให้พ้นตนได้
---นั่นก็คือ เราต้องรู้เหตุเบื้องต้นเสียก่อนว่า เรากำลังตกอยู่ในเหตุการณ์ที่ผิดปกติ โดยอาศัยสิ่งที่เราเรียกว่า "ลางบอกเหตุ" หรือ "สัญญาณบอกเหตุล่วงหน้า" เพื่อจะได้หาหนทางหรือกุศโลบายที่แยบยลในการที่จะเข้าไปแก้ไขสิ่งที่เลวร้ายให้กลับกลายเป็นดีได้ ดังนั้น สิ่งที่เป็นลางบอกเหตุดังกล่าว จึงพออนุมานให้เป็นหนทางในการสังเกตุและพิจารณาได้ดังต่อไปนี้
---เจ็บป่วยผิดปกติแม้จะหาแพทย์แผนปัจจุบันหรือแผนโบราณแล้วก็ตาม อาการดังกล่าวก็ยังไม่ดีขึ้น หรือแพทย์ไม่สามารถหาสาเหตุความผิดปกติได้ นอกจากจ่ายยาให้กินเท่านั้น เช่น เจ็บหลัง เจ็บเอว เจ็บไหล่ ปวดในช่องท้อง หรือแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง เนื้องอก เป็นต้น
---ถึงแม้กรรมจะส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย ธาตุขันธ์ความเป็นมนุษย์ จนเกิดเวทนาอย่างแรงกล้า เราก็ต้องทำความเข้าใจว่า ส่วนหนึ่งเป็นไปตามสภาวะธรรมชาติ แต่บางส่วนก็เป็นไปตามวิบากกรรม
---จิตใจผิดปกติ แม้จะหาจิตแพทย์หรือบำบัดในโรงพยาบาลก็ยังไม่ดีขึ้น เช่น ปวดศรีษะรุนแรง เบลอ พูดจาเพ้อเจ้อ ชีวิตวุ่นวายผิดปกติ มีปัญหาในเรื่องการทำมาหากิน ปัญหาครอบครัว ปัญหาการเงิน การค้า เครียดผิดปกติ
*พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า สิ่งที่เป็นอจินไตยมีอยู่ 4 ประการด้วยกันคือ
---1.วิสัยของพระพุทธเจ้า
---2.ความคิดเรื่องการสร้างโลก
---3.วิสัยของผู้มีฤทธิ์
---4.กฏแห่งกรรม
*คำว่า "อจินไตย" แปลว่า ไม่ควรคิด แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่ให้คิด
---ซึ่งเท่ากับเป็นการปิดกั้นไม่ให้ใช้ปัญญา ความจริงแล้ว พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้คิดด้วยหลักของตรรกศาสตร์ เนื่องจากการคิดแบบนี้ เป็นการคิดแบบอนุมาน คือ คาดคะเน ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความผิดพลาดได้ง่าย เพราะอาศัยพื้นฐานความรู้ที่เกิดจากอายตนะภายนอก ที่เป็นประสาทสัมผัส คือ ตาเห็น หูได้ยิน เป็นต้น
---แต่ความเป็นจริงแล้ว เรื่องราวในโลกนี้เป็นความจริง ทั้งที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยประสาทสัมผัส และที่อยู่นอกเหนือประสาทสัมผัส เช่น เรื่องราวในเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์และกฎแห่งกรรม ที่เป็นความจริงที่ไม่อาจสามารถพิสูจน์ได้เพียงประสาทสัมผัสเท่านั้น แต่จะต้องมีความรู้ที่นอกเหนือพิเศษ จากประสาทสัมผัสธรรมดา คือ อภิญญาด้วย จึงจะสามารถพิสูจน์ได้
---คำว่า "อภิญญา" แปลว่า ความรู้ยิ่งยวด มี 6 อย่างด้วยกัน คือ อิทธิวิธี, ทิพยโสต, เจโตปริยญาณ บุพเพนิวาสานุสติญาณ, ทิพพจักขุ, และอาสวักขยญาณ
---ดังนั้นแม้ว่า "กรรม" จะส่งผลต่อสุขภาพร่างกายหรือธาตุขันธ์ในความเป็นมนุษย์ จนเกิดเวทนาอย่างแรงกล้า เราก็ต้องอดทนและต้องเข้าใจว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
---แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะงอมืองอเท้ารอรับ "ชะตากรรม" แต่เพียงอย่างเดียว จนกลายเป็นคน สิ้นคิด ไม่หาหนทางแก้ไขชีวิตของตนให้ดีขึ้น ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านก็คงเสียที ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ที่เป็นสัตว์อันประเสริฐ เสียแล้ว
---ดังนั้น ถึงแม้จะมองไม่เห็นทางก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะยอมจำนนต่อกรรมนั้นเอาง่าย ๆ เราจะต้องพยายามหาหนทางแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นให้ได้ วิธีการเบื้องต้นง่าย ๆ ก็คือ การสร้างกรรมใหม่เพื่อเบี่ยงเบนกรรมเก่าที่กำลังให้ผลให้อ่อนตัวลงไป
---ถ้าวันหนึ่งวันใดชีวิตของเราต้องผกผันตกต่ำ ด้อยโอกาสในวาสนาบารมี จะได้ไม่เกิดท้อใจ จนย่อหย่อนในการดำเนินชีวิต ปล่อยชีวิตให้ระหกระเหินตกต่ำ โดยไม่คิดสู้ ยิ่งมีวิบากกรรมมาก ทุกข์ทรมานมาก ก็ยิ่งต้องดิ้นรนให้มาก หาทางสร้างคุณงามความดี ชดเชยให้แก่เจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้น เพราะถ้าเป็นกรรมที่เบาบางก็อาจหายไปได้ ถ้าเป็นกรรมหนักก็จะบรรเทาเบาบางลงไป
*กรรม คือ การกระทำ
---กรรม คือ การกระทำ ทำดีก็เป็นกรรม ทำชั่วก็เป็นกรรม
---ทำดี เรียกว่า "กุศลกรรม" ทำชั่ว เรียกว่า "อกุศลกรรม"
---บางคนบอกว่า ไม่เชื่อ เรื่องกรรม บอกว่าอยู่ที่ตัวเราเอง อยู่ที่การทำของเราเอง ตอบอย่างนี้ ชัดเจนเลยว่า ไม่เข้าใจเรื่องกรรม ก็การกระทำของคุณนั่นแหล่ะเป็นกรรม กรรมไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายฝ่ายเดียว หรือไม่ใช่ผลร้ายฝ่ายเดียว ไม่ใช่ผลของอดีตฝ่ายเดียว
*ถึงปัจจุบันที่ทำอยู่ ก็เป็นกรรมหรือการกระทำ
---ทำทางกาย จะดีหรือชั่ว เรียกว่า "กายกรรม" (ถ้าทำดี เป็นกุศลกรรม ที่เกิดขึ้นทางกาย ถ้าทำชั่ว เป็นอกุศลกรรม ที่เกิดขึ้นทางกาย)
---ทำทางจาวา เช่น โกหก ด่าคนอื่น หรือสวดมนต์ไหว้พระ เป็น "วจีกรรม"
---ทำทางใจ เช่น พยาบาทคนอื่น อิจฉาคนอื่น หรือมีเมตตาต่อคนอื่น เป็นมโนกรรม
*สรุปก็คือ กรรมที่ทำมี 3 ประเภท คือ ดี กับ ชั่ว และ ไม่ดีไม่ชั่ว (กุสลาธมฺมา อกุสลาธมฺมา อพฺยากตาธมฺมา)
---เกิดขึ้น 3 ทาง คือ กาย วาจา ใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ จะปฏิเสธการกระทำ (กรรม) ของตนเชียวหรือ (ในกรรม 12 ที่แบ่งตามประเภทต่าง ๆ ก็สรุปลงในนี้เหมือนกัน คือฝ่ายดี กับฝ่ายชั่ว)ฯ
......................................................................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
(แก้ไขแล้ว ป.)
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 25 กันยายน 2558
ความคิดเห็น