/music/.mp3 http://www.watkaokrailas.com
สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com

 หน้าแรก

 บทความ

 เว็บบอร์ด

 รวมรูปภาพ

 พระบรมสารีริกธาตุ

 โจโฉ รวมเสียงธรรม

 เฟสบุ๊ค

 ติดต่อเรา-แผนที่

ตำนานมหาฤาษี

ตำนานมหาฤาษี



ตำนานมหาฤาษี

วัดเขาไกรลาศ

๕๕๕  ม.๒  ต.บ้านโข้ง  อ.อู่ทอง  จ.สุพรรณบุรี ๗๒๑๖๐

(คาถาบูชาเสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก)




*คาถาว่า... 


"โอมฤฤา  มหาฤฤา  อิทธิฤทธิ  มหาปรเมศวะโก   ทิพจักขุง  มหาไตรโลกานัง  พุทธะอรหังอะ  นะมะพะทะ 

จะพะกะสะ  ยะธาพุทโมนะ  พุทธะ  พุทโธ  วิโสธายิ   อิติ  อิติ  สุคะโต  หุลุ  หุลู  สวาหายะ."


---องค์ฤาษีพรหมเป็นฤาษีชั้นสูงสุดใน ๗ ชั้นฤาษี  มีอิทธิฤทธิ์  อิทธิเดช  อำนาจมากมายมหาศาลตำราว่าเป็นพระพรหมแบ่งภาคลงมาบำเพ็ญบารมีจนได้บรรลุญาณ สมาบัติชั้นสูง  อีกนัยหนึ่ง วรรณะพราหมณ์เป็นวรรณะสูงสุด  จึงนับถือฤาษีชั้นครูที่มีอำนาจสูงสุดด้วยบารมี  ของพระพรหมฤาษี  จะครอบคลุมคุณธรรมหลักในพระพุทธศาสนาในตำนานสมุดสมเด็จได้กล่าว สรรเสริญคุณของพระพรหมฤาษีว่ามีมากมาย พรหมวิหารครบถ้วนสมบูรณ์  เมตตา  กรุณา  ของฤาษีพรหมบรมครู  มีมากมายจนทนมองเหล่าพุทธศาสนิกชนผู้ที่เคารพศรัทธาองค์ท่านตกทุกข์ได้ยาก ย่ำแย่ ระกำ ช้ำทรวงไม่ได้  ด้วยฤทธิ์ที่สั่งสมมานาน


---นามขององค์เสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก     ทรงโปรดระงับดับทุกข์ภัยอันตรายทั้งหลายให้สงบราบคาบลง  เมื่อผู้นั้นมีสุขก็ยินดีช่วยให้ผาสุกยิ่งๆขึ้น  เมื่อผู้นั้นจะพบเจอความเจริญก็ส่งเสริมให้ความเจริญงอกงามยิ่งขึ้น  ปู่ฤาษีพรหมบรมครู  ไม่มีผู้สร้างมากนัก  เพราะเป็นฤาษีชั้นสูงสุด  ผู้ไม่รู้ไม่มีวิชา  ไม่มีบารมีที่เกี่ยวข้องกัน ไม่กล้าที่จะล้วงเข้าไปจัดสร้าง   ท่านพระอาจารย์ชิติสรรค์ จิรวัฑฺฒโน (จักกภูมิ)  วัดเขาไกรลาศ  จัดสร้างฤาษีพรหม  โดยใช้วัตถุอาถรรพณ์ตามตำรา  อาทิ  ดินโป่งฤาษีบนยอดเขาสามร้อยยอด, ผงมโนศิลาถ้ำอึมครึม, ดินถ่วงเสียงระนาด, ดินหน้าตะโพน, ข้าวสุกกลองยาว, ดิน ๗ หัวเมืองมงคลนามผงว่าน ๑๐๘ อย่าง   และมวลสารอื่นๆอีกจำนวนมาก   ได้จัดสร้างเป็นรูปพระฤาษีทรงเครื่องอันสวยงาม   การจัดสร้างในครั้งนี้เป็นรุ่นแรก


*ตำนานพระฤาษี ตอนที่


---ปี พุทธศักราช ๒๕๕๐ หมายความว่า ศาสนาพุทธล่วงเลยมาแล้วถึง ๒๕๕๐ ปี นับว่าเป็นศาสนาที่เก่าแก่และมั่นคงมาก แม้ว่าเวลาที่ผ่านมาจะมีเหตุการณ์ต่างๆผันแปรทำให้ศาสนาพุทธสึกกร่อนลงไป  บ้างแต่ปัจุบันศาสนาพุทธก็ยังเป็นศาสนาหนึ่งที่มีผู้คนนับถือมากมายและกระจายไปทั่วทุกมุมโลก  ก่อนศาสนาพุทธยังมีศาสนาและลัทธิต่างๆอีกมากมายเช่น ศาสนาพราหมณ์ เป็นต้น 



---
ปัจจุบันศาสนาพุทธกับศาสนาพราหมณ์ใกล้ชิดสนิทสนมจนแทบจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกันเมื่อมี  พิธีทางศาสนาพุทธ ก็จะต้องมีพิธีทางศาสนาพราหมณ์ร่วมด้วยทุกครั้งเพราะคน ไทยเราเก่งในการ  ผ
นวก พระฤษีเป็นคำเรียกขานของคนที่บำเพ็ญเพียรด้วยความอุตสาหะ เป็นความเชื่อของคนว่าต้องการจะหลุดพ้นจากความทุกข์บ้าง ก็ต้องการที่จะสร้างฤทธิ์สร้างบารมี จึงเกิดมีลัทธิมีการตั้งตัวเป็น  อาจารย์สอนศิษย์ให้ประพฤติปฏิบัติตามหลักการ ที่วางไว้พระฤษี เป็นคำที่เรียกคนที่มีพลังจิตเด็ด  เดี่ยวมุ่งปฏิบัติจนประสบผลสำเร็จในอย่าง ใดอย่างหนึ่ง หรือหลายๆอย่าง เช่นสามารถเหาะเหินเดิน อากาศได้ มีวาจาสิทธิ์ และอีก มากมายบางท่านก็เก่งเรื่องยาสมุนไพรเช่น ปู่ชีวกโกมารภ้ทรซึ่งเป็น  แพทย์ประจำพระองค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รวมเรียกท่านอยู่ในกลุ่มของฤษีเช่นกัน พระฤษี จัดคัดแยกเอาไว้ ชั้น  หรือ  จำพวก  คือ



*ชั้น ที่ ๑ เรียกว่า ราชรรษี  


---แปลว่า เจ้าฤษีชั้นนี้จะมีความเป็นอยู่ตามพื้นธรรมชาติคือมีความปกติเป็นพื้นฐาน เพียงแต่มีความริเริ่มและความพยายามที่จะบำเพ็ญเพียรในเบื้องต้นและปฏิบัติ อย่างต่อเนื่อง



*ชั้นที่ เรียกว่า พรหมรรษี  


---แปลว่า พรพรหมฤษี เมื่อปฏิบัติเพียงพอกับความต้องการ ในเบื้องต้นแล้ว จึงได้ไปบังเกิดเป็น พระพรหม



*ชั้นที่ เรียกว่า เทวรรษี  


---แปลว่า เทพฤษี ผู้ที่ปฏิบัติอย่างมุงมั่นด้วยตบะ จึงมีบารมีมาก พร้อมทั้งมี อิทธฤทธิ์และมีอำนาจมหาศาล 



*ชั้นที่ เรียกว่า มหรรษี  


---แปลว่า มหาฤษีชั้นนี้นอกจากมีอิทธิฤทธิ์ที่เกิดจากบารมีแล้ ยังมีภูมิปัญญา มากมีอาคมแก่กล้าเป็นที่สุด



---เมื่อนำเอามาเปรียบเทียบกันแล้วจะเห็นชัดเจนว่าทั้ง ๔  ชั้น  มีความสามรถไม่เหมือนกัน หรือไม่เท่ากัน แล้วแต่การปฏิบัติของแต่ละตนผู้ใดมีความมุ่งมั่นหมั่นเพียรและตั้งใจปฏิบัติ ทำ ได้เท่าใดผลก็จะส่งบุญก็จะบันดาล ให้ไปถึงขั้นนั้นๆ พระฤษีที่ปรากฏในวรรณคดีมีอยู่หลายท่านโดยมากมักเป็นฤษีที่ละจาก  เรื่องทางโลกมุ่งสู่การบำเพ็ญบารมีเป็นที่นับถือแก่มนุษย์และเทพเทวดาทั่วไปยิ่งบำเพ็ญบารมีมากเท่าไรก็มีอำนาจวิเศษตามบารมีที่สั่งสมมามากขึ้นเท่านั้น ฤษีตามรากศัพย์ดูเหมือนจะแปลกันว่าเป็นผู้มีปัญญาอันได้มาจาก พระเป็นเจ้าตามพจนานุกรมฉบับมติชนปี ๒๕๔๗ ว่า ฤษี(รือ-สี) ผู้สละบ้านเรือนออกบำเพ็ญพรต ส่วนฤษีที่ปรากฎชื่อใน ทศฤาษี หรือที่เรียกกันว่าเป็น พระประชาบดี นั้นในมานวธรรม  ศาสตร์กล่าวว่า  มี   ๑๐   ตน    คือ


---๑.มรีจิ


---๒.อัตริ


---๓.อังคีรส


---๔.ปุลัสยตะ

 

---๕.ปุลหะ


---๖.กรตุ


---๗.วสิษฐ 


---๘.ประเจตัส หรือ ทักษะ


---๙.ภฤคุ


---๑๐.นารท


*ตำนานพระฤาษี ตอนที่ ๒


---แต่บางตำราว่ามีแค่ เรียกกันว่า สัปตฤาษี หรือมานัสบุตร (ลูกเกิดแต่มโนของพระพรหมา) ทั้ง  ตน   มีชื่อดังนี้
 

---๑.โคด (โคตม) 


---๒.ภรัทวาช


---๓.วิศวามิตร


---๔.ชมัทอัคนี(บางตำราว่า ชมทัศนี)


---๕.วสิษฐ


---๖.กศป(กัศย์ป)


---๗.อัตริ


*ส่วนมหาภารตะระบุไว้ว่า


---๑.มรีจิ


---๒.อัตริ


---๓.อังคีรส


---๔.ปุละหะ


---๕.กระตุ


---๖.ปุลัสตยะ


---๗.วสิษฐ


---วายุปุราณะเติม ภฤคุ อีก ตน แต่ยังเรียกรวมว่า สัปตฤาษี ส่วนวิษณุปุราณะเพิ่มอีก ตนคือ ภฤคุ กับ ทักษะ เรียกแปลกไปอีกว่า พรหมฤาษีทั้งเก้า ตามชั้นและฐานะของพรฤษีนั้นก็ยังแยก ระดับตามศรรพนามออกไป และชั้นที่ได้ยกระดับหรือแยกออกมาอีก ก็คือ


---๑.พระสิทธา


---๒.พระโยคี


---๓.พระมุนี


---๔.พระดาบส


---๕.ชฎิล


---๖.นักสิทธิ์


---๗.นักพรต


---๘.พราหมณ์


---เมื่อรวมทั้งแปดนามเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือท่านเป็น"ผู้ทรงศีล"ผู้ที่มุ่งหวังตั้งใจ บำเพ็ญเพียรตบะ เพื่อเสริมสร้างบารมี มุ่งหวังในผลสำเร็จ ถึงกับยอมสละทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกัน หมด ในบรรดากลุ่มพระฤษีที่มีชื่อแยกออกไป ก็ยังมีความหมายต่างๆกัน   เช่น


---๑.พระสิทธา แปลว่า พระฤาคี   ประเภทมีคุณธรรมวิเศษ มีหลักฐานมั่นคง ที่สถิตสถานมีวิมานอยู่บนเทือก เขาและถ้ำ ตามแต่ว่าจะเห็นสมควรในความสะดวกสบายอยู่ในระหว่างพระอาทิตย์ลงมาสู่พื้นแห่งโลกมนุษย์โดย กำหนด



-
--๒.พระโยคี แปลว่า เป็นผู้ที่มีความสำเร็จ  หรือผู้ที่กำลังศึกษาสังโยค ในด้านหลักวิชาโยคกรรม มักจะเที่ยวทรมานตนอยู่ตามเทือกเขาและป่าตามความเหมาะสมในความสันโดษ ที่จะมีและเท่าที่จะเห็นว่าสมควร



---๓.พระมุนี แปลว่า ในกลุ่มพราหมณ์ที่มีความพยายาม   กระทำกิจพิธีบำเพ็ญด้วยความพากเพียร มุมานะ พยายามจนกระทั่งพบความสำเร็จ จึงกลายเป็นผู้ที่มีปัญญาและมีความรู้ความสามารถอยู่ในระดับสูง



---๔.พระดาบส แปลว่า ผู้บำเพ็ญตนสร้างบารมี   มุ่งมั่นในตบะธรรมที่คิดว่าจะเผาผลาญกองกิเลสให้หมดสิ้นไป ใช้ความพยายามพากเพียร พยายามมุ่งแต่ในทางทรมานร่างกายและจิตใจ เพื่อมุ่งหวังในโลกุตตรสุขที่เป็นผล แห่งบารมี



---๕.ชฎิล แปลว่า นักพรตจำพวกหนึ่ง   ที่ชอบเกล้ามุ่นมวยผมเป็นแบบชฎาเอาไว้ หนวดเครารกรุงรังราวกับคน บ้า ทั้งผ้าที่นุ่งห่มก็รุ่มร่าม ไม่ชอบในการรักสวยรักงาม ทำตนเป็นพราหมณ์รอนแรมอยู่ตามป่าดงพงไพร



---๖.นักสิทธิ์ แปลว่า เป็นผู้ทรงศีลที่กึ่งมนุษย์กึ่งเทพ หรือเทวดา   พวกนี้มักจะรักสัจจะวาจา มีความเที่ยงธรรม เป็นที่ตั้งชอบช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนอยู่เสมอๆ มีที่อยู่อาศัยอยู่ในระหว่างกลางที่ว่างเปล่าและบริสุทธิ์ วัดระยะตั้งแต่ดวงอาทิตย์ลงมาจนกระทั่งถึงโลกมนุษย์ พวกนี้มีอยู่กันเป็นจำนวนมากมายหลายแสนองค์เที่ยว ตระเวนไปในที่ต่างๆ เพื่อที่จะสอดส่งหาทางลงมาช่วยเหลือมวลมนุษย์



---๗.นักพรต แปลว่า เป็นผู้ที่ปฏิบัติดีเคร่งครัดในการปฏิบัติ  ทรงศีลอันประเสริฐมิยอมให้ศีลบกพร่องแต่ประการ ใด ตั้งใจบำเพ็ญพรต บำเพ็ญตบะ เพื่อที่จะเสริมสร้างบารมีให้มากๆ อยู่ประจำ ชอบสถิตย์อยู่ตามป่าเขาลำเนา ไพร และตามถ้ำหน้าผา มักไม่ยอมให้ผู้ใดได้พบเห็น มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่ายแต่มีอิทธิฤทธิ์มาก



---๘.พราหมณ์ แปลว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องกับฤษีเหมือนกัน แต่เป็นด้านการปฏิบัติบูชาบำเพ็ญตบะสร้างบารมีอย่าง มุ่งมั่นเป็นผู้สละแล้ว สละเรื่องของโลกภายนอกได้หมดแล้วมีความมุ่งมั่นว่าจะต้องออกไปปฏิบัติการช่วยเหลือ มนุษย์และสรรพสัตว์โดยทั่วไป พราหมณ์มักจะชุมนุมรวมกลุ่มกันเป็นหมู่คณะ ตามเทวสถานต่างๆ ด้วยความพร้อม เพรียงและสามัคคีกันอย่างดี เมื่อมีผู้ใดเชิญให้ช่วยกระทำพิธีให้ไม่ว่าจะเป็นพิธีอะไรที่จะต้องเกี่ยวกับพระฤษีหรือ องค์เทพต่างๆพราหมณ์ก็ออกไปทำพิธีให้ทันที ไม่เรียกร้องค่าป่วยการหรือค่าตอบแทนใดๆทั้งสิ้น ไม่เห็นแก่ลาภ ไม่เห็นกับประโยชน์ส่วนตัว (นั่นเป็พราหมณ์สมัยก่อน สมัยนี้ก็คงจะต้องมีค่าใช้จ่ายมากน้อยตามแต่จะเห็นสมควร) สำหรับพราหมณ์พวกนี้ก็มักมีกันอยู่เป็นจำนวนมาก ชอบฝักใฝ่ในธรรม โปรดสัตว์ ช่วยเหลือมนุษย์ด้วยความเต็มใจ เมื่อเสร็จสิ้นจากภารกิจแล้วก็จะเข้าจำศีลภาวนาต่อไปอย่างไม่มีคำว่าพอ


*ตำนานพระฤาษี ตอนที่



---ต่อจากนี้จะเป็นการลำดับรายชื่อย่อๆ ในส่วนหนึ่งของพระฤษีในแต่ละชั้น จะแบ่งแยกเป็นชั้นๆดังต่อไปนี้


*๑.พระฤษีชั้นพรหม  


---พระฤษีในชั้นพรหมนั้นมีรายชื่อดังต่อไปนี้ พระฤษีพรหมเมศร์ พระฤษีพรหมมา พระฤษีพรหม มุนี พระฤษีพรหมนารถ พระฤษีพรหมวาลมีกิ เป็นต้น



*๒.พระฤษีชั้นเทพ

 

---พระฤษีชั้นเทพนั้นมีรายชื่อดังต่อไปนี้ พระฤษีบรมโกฏิ พระฤษีประลัยโกฏิ พระฤษีนารอด พระ ฤษีนารายณ์ พระฤษีนาเรศร์ พระฤษีอิศวร พระฤษีพิฆเนศ พระฤษีเพชรฉลูกัณฑ์ พระฤษีปัญญาสด พระฤษีตาไฟ พระฤษีหน้าวัว พระฤษีหน้าเนื้อ พระฤษีปัญจสิขร (หรือพระประคนธรรพ) บางทีเรียกว่า (พระประโคนทัพ) เป็นต้น



*๓.พระฤษีชั้นมนุษย์ 


---พระฤษีชั้นมนุษย์ก็มีมากมายเช่นเดียวกัน เช่น พระฤษีโกเมน พระฤษีโกเมท พระฤษีโกมุท พระฤษีสัตตบุตร พระฤษีสัตบัน พระฤษีสัตบงกช พระฤษีโคบุตร พระฤษีโคดม พระฤษีสมมิตร พระฤษีลูกประคำ เป็นต้น



*๔.พระฤษีชั้นอสูร

 

---พระฤษีชั้นอสูรก็มีตามรายชื่อดังนี้ ท่านท้าวคีรีเนศร์ ท่านท้าวเวสสุวัณ ท่านท้าวหัสกัณฑ์ ท่าน ท้าวหิรัญฮู พระฤษีพิลาภ พระฤษีพิรอด ท้าวพลี หิรัญยักษ์ อนันตยักษ์ วาณุราช วาหุโลม เป็นต้น



*รูปร่างลักษณะของพระฤษีพรหมเมศร์


---พระฤษีพรหมเมศร์มี พระพักตร์เหมือนกับพรพรหมโดยทั่วไป พระเศียรเป็นกรวยเช่นเดียวกับเศียรพระฤษี ทั้งหลาย มี กร พระพักตร์สีทอง ผิวกายสีทอง นุ่งห่มด้วยผ้าโขมพัตถ์ (ผ้าสีขาวอย่างดี ที่สะอาดบริสุทธิ์)   พระฤษีพรหมเมศร์นี้ ท่านมีอิทธิฤทธิ์และปาฏิหารย์มากมาย ทั้งในด้านบุญฤทธิ์บารมี ก็ไม่มีผู้ใดจะเทียบเทียม ท่านได้ ชอบช่วยเหลือมวลมนุษย์และสรรพสัตว์โดยทั่วๆ ไป   ด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดีงามของท่าน


*ตำนานพระฤาษี ตอนที่


*ประวัติของพระฤษีพรหมบุตร


---จะกล่าวถึงกุมารหนึ่ง นามว่า พรหมบุตร ซึ่งเกิดแต่พรหมนารีนางหนึ่ง หลังจากที่กุมารเจริญวัยขึ้นมา ก็ไต่ถามมารดาถึงเรื่อง ของผู้เป็นบิดาและก็ได้ความตามเรื่องราวที่มารดาเล่าให้ฟังโดยละเอียดว่า พรธฤษีพรหเมศร์นั้นเป็นบิดาบังเกิดเกล้า แต่บัดนี้ มารดาไม่สามารรถที่จะขึ้นไปอยู่บนพรหมโลกได้อีกแล้ว เพราะเป็นคำสั่งห้ามของเจ้าสวรรค์คือ พระอิศวร นั่นเอง มิหนำซ้ำยัง ขับไล่ให้มาอยู่ในภาคพื้นดินอีกด้วย พระพรหมบุตรในระหว่างนี้ก็กระทำตนเป็นพระฤษีบำเพ็ญตบะบารมีอยู่ในป่าหิมพานต์ เมื่อ รู้เรื่องราวจากมารดาก็โกรธ และมีความน้อยใจเป็นอย่างมากจึงคิดมุ่งแต่บำเพ็ญตบะ


---เพื่อสร้างบารมีให้แก่กล้าและสูงขึ้นๆ เรื่อยๆ ทั้งจะต้องมีทั้งอำนาจ อิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ ด้วยพระคาถาอาคมที่แข็งแกร่งและแก่กล้าจะต้องเอาชนะพระฤษีทั้งหลายให้ทั่วทุก ชั้นได้สำเร็จ จึงพยายาม พากเพียร บำเพ็ญ อยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานแสนนานในระยะเวลาถึงหนึ่งพันปี ก็บังเกิดบุญฤทธิ์ และ บารมีที่มุ่งมั่น ทำให้มีฤทธิ์อำนาจ มีคาถาอาคมอันศักดิ์สิทธิ์มีภูมธรรมอยู่ในชั้นสูงไม่มีผู้ใดจะเทียบได้พระฤษีพรหมบุตรจึงเป็น หนึ่งในความสำเร็จ เมื่อพระฤษีพรหมบุตร มีความเก่งกล้าเป็นที่หนึ่งในจักรวาลและแดนพิภพแล้ว ก็มีใจกำเริบด้วยฤทธิ์เดช ด้วย ความที่ยังมีใจเจ็บแค้นพระอิศวรเจ้าสวรรค์ จึงออกเที่ยวหาหมู่พระฤษีทั้งหลาย


---ที่บำเพ็ญตบะอยู่ในป่าทั้งหมด เมื่อ พบกับองค์ใดองค์หนึ่งก็ตามพระฤษีพรหมบุตรก็ด่าและท้าทายพระฤษีเหล่านั้นมาต่อสู้ จนพระฤษีทั้งหลายพา กันหวาดกลัวและเข็ดขยาด เพราะไม่สามารถต่อสู้ได้ ต่างไม่เป็นอันทำตบะเพราะความเกรงกลัว ต่างพากันหลบหนี ซุกซ่อนมิยอมให้ได้พบเห็น เพราะหากพบกันครั้งใดภัยก็จะเกิดขึ้นครั้งนั้น ยิ่งทำให้พระฤษีพรหมบุตรกำเริบ คิดว่า ตนเก่งกล้าไม่มีผู้ใดออกมาต่อกรได้ ด้วยความคับแค้นแน่นอยู่ในอกจึงคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องกระทำการแก้แค้นให้กับมารดา และหมายใจที่ จะให้มารดากลับขึ้นไปอยู่บนพรหมโลก  อีกครั้งหนึ่งให้จงได้เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว


---จึงแสดงอิทธิฤทธิ์เหาะขึ้นไปสู่ยังพรหมโลกเมื่อขึ้นมาแล้วก็สืบเสาะหาพระฤษีพรหมเมศร์ผู้ที่เป็นบิดาหวังว่าเมื่อได้พบกันแล้วจะเจรจากันได้โดยง่าย แต่กลับตรงกันข้ามพระฤษีพรหมเมศร์กลับปฏิเสธไม่ยอมรับถึงแม้พระฤษีพรหมบุตรจะพยายามขอร้องสักเพียงใดเพื่อให้มารดากลับขึ้นมาอยู่บนพรหมโลกให้ได้ มิเพียงไม่ยอม เท่านั้นยังประกาศขับไล่พระฤษีพรหมบุตรรีกลับลงไปจากพรหมโลกอีกด้วย เมื่อเกิดความโกรธขึ้นมาก็ลืมตัวว่าพระฤษีพรหมเมศร์นั้นคือบิดา ไม่ยอมรับแล้วยังขับไล่อีก จึงท้าทายให้ต่อสู้กัน ตัวต่อตัวด้วยวาจาที่แสนโอหังและหยิ่งผยอง ไม่ยอมลดละให้กับผู้เป็นบิดาหวังจะต้องรู้แพ้รู้ชนะให้ได้ด้วยความอาฆาต มาดร้ายต่อผู้เป็นบิดาเป็นอย่างมาก การต่อสู้ได้เกิดขึ้นแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างมีฤทธิ์เดชด้วยกัน แม้จะต่อสู้กันตัวต่อตัวก็ทำให้สวรรค์ทั้งพรหมโลกและชั้น อื่นๆจนถึงพื้นภิภพสะเทือนเลื่อนลั่น ราวกับจะพังพินาศไป


*พระฤษีพรหมประทาน



---ในตำนานพระฤษีองค์นี้มิได้ระบุถึงภูมิกำเนิด เป็นเพียงแต่ว่าท่านเป็นพระพรหมองค์หนึ่ง ที่อยู่ในวิมานพรหมโลกท่านมีศรัทธาอันแก่กล้าจึงมุ่งมั่นบำเพ็ญด้วยความหวังตั้งใจที่จะเสริมสร้าง พระบารมีจึงสละความสุขทั้งหลายทั้งปวงมาเป็นพระฤษี แต่กระนั้นก็ยังมีจิตใจอารีย์ชอบช่วยเหลือเผื่อแผ่แด่ชนทั้งหลาย ท่านมักจะสอดส่องลงมายังโลกมนุษย์เป็นประจำ หากพบว่าผู้ใดได้รับความเดือดร้อน มีความทุกข์ยากเกิดขึ้น ท่านก็จะต้องประทานพรของท่านลงไปช่วยเหลือผู้ที่กำลังเดือดร้อน กำลังได้รับความทุกข์ยากเหล่านั้นให้กลับกลายเป็นความสุขความเจริญสืบต่อไปด้วยเมตตาและบารมีของท่านอย่างเปี่ยมล้น ดังนั้นเมื่อใครมีความทุกข์ใดๆหรือว่าเจ็บไข้ได้ป่วย ก็จงรำลึกถึงและบนบานศาลกล่าวกับท่านแล้วความทุกข์นั้นๆก็จะห่างหายไปในที่สุด


*พระฤษีพรหมปรเมศฎ์



---สำหรับพระฤษีพรหมปรเมศฎ์นี้ท่านเป็นผู้สำเร็จในภาคปฏิบัติอีกพระองค์หนึ่ง ที่มีอิทธิฤทธิ์ศักดานุ ภาพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพระพรหมฤษีองค์อื่นๆ ความเป็นอยู่ของท่านก็มีความเมตตาเป็นที่ตั้ง แต่มีนิสัยดุและเสียงดังเป็นที่สุดท่านเป็นพระพรหมฤษีที่มี หน้า มือ เช่นเดียวกัน ใบหน้าของท่านจะมีสีเขียว ลำตัวสูงใหญ่เศียรทั้ง ของท่านรวมเป็นเศียรเดียวกันเรียกว่าเศียรแฝด แต่ทว่าหน้าทั้ง ๔  นั้น อยู่คนละด้าน ซึ่งตรงกับทิศทั้ง มวยผมบนพระเศียรขมวดมุ่นขึ้นไปเป็นรูปชฎาและเป็นปล่องโพรงตรงกลางเช่นเดียวกับพระฤษีทั่วไป   ท่านมีวิชาอาคมแกร่งกล้าและเข้มแข็งสามารถที่จะเสกหรือสร้างอะไรก็ได้ตามที่ท่านต้องการทุกอย่าง พระพรหมฤษีปรเมศฎ์ ท่านนึกสนุกขึ้นมาจึงเสกคาถาสร้างสัตว์ประหลาดขึ้นมาตัวหนึ่ง  คือ กุ้ง ที่เราเห็นกันทุกวันนี้


---สำหรับองค์พระฤษีพรหมปรเมศฎ์นั้นก็ต้องนับว่า ท่านเป็นผู้มีคุณกับมนุษย์ไม่น้อยเพราะท่าน  สร้างกุ้งขึ้นมาเป็นอาหารของมนุษย์จนปัจจุบัน กุ้งกลายเป็นสัตว์เศรษฐกิจของมนุษย์ไปแล้ว ในด้านฤทธิ์อำนาจบารมีของท่านก็นับว่าเลิศไม่แพ้ใครเหมือนกันเป็นที่เคารพและยำเกรงของบรรดาพระพรหม พระพรหมฤษี กระทั่งชั้นเทพ เทวดา นางฟ้า ลงมาจนถึงมนุษย์ ครุฑาวาสุกรี คนธรรพ์ วิชาธร กินนร เพชรพระยาธร แทตย์ และอสูรย์ แต่จะว่าไปท่านก็มิใช่ว่าจะดุเพียงอย่างเดียวเท่านั้นท่านใจดีมีเมตตาชอบช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ดังนั้นหากท่านใดต้องการจะให้ท่านช่วยเหลือก็ลองจุดธูปบอกกล่าวท่านดู บางทีความสำเร็จอาจจะเป็นของท่านก็ได้ ของอย่างนี้ถ้าไม่ลองไฉน จะรู้เล่าใช่ไหมครับ ท่านผู้อ่าน..

*พระฤษีพรหมประสิทธิ์



---พระฤษีองค์นี้เป็นผู้ที่มีฝีไม้ลายมือในทางวิชาอาคมไสยศาสตร์และการกระทำในสิ่งต่างๆ ได้เป็นอย่างดีไม่มีใครเกินและท่านก็ยังได้เป็นผู้ที่ถ่ายทอดวิชาการของท่านทั้งหมดให้กับบุคคลโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดา อสูร คนธรรพ์ วิทยาธรรากษส และผู้ที่มีความต้องการจะศึกษาหาความรู้ ท่านก็จะประสิทธิ์ประสาทวิทยาอาคมและความรอบรู้ในด้านวิชาการแขนงต่างๆให้ ตามแต่ความต้องการของผู้ที่มีความต้องการของผู้ที่ใคร่จะศึกษา นับว่าท่านผู้นี้ก็มีเมตตาบารมีต่อโลกทั้งหลาย ช่วยสร้างสรรค์จรรโลงทั้งสามโลก ให้มีสง่าราศรีและมีความเจริญด้วยพระบารมีของท่าน


---ดังนั้นพวกเราก็ควรจะเคารพและรำลึกถึงพระเดชพระคุณของท่านด้วยการกราบไหว้บูชาด้วยดอกไม้ ธูป เทียน และใช้เครื่องหอม เป็นสิ่งสักการบูชาด้วยดวงใจที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง และซาบซึ้งพระคุณของท่านอย่างแท้จริง แล้วท่านก็จะตอบสนองด้วยการประทานพรให้กับพวกเราให้สำเร็จผลสมกับความหวังตั้งใจที่จะมุ่งมั่นศึกษาเล่าเรียนในแต่ละแขนงวิชา และท่านก็ยังจะปกป้องคุ้มครองภัยให้แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง ท่านจะบันดาลความร่มเย็นเป็นสุขเจริญงอกงามตามอัธยาศัยขอเพียงแต่ให้พวกเรามีความเคารพนบนอบ ท่านอย่างจริงใจ มิใช่ว่าหน้าไหว้หลังหลอก ไม่มีสัจจะวาจาที่แน่นอน บนบานอะไรไว้เมื่อสำเร็จสมประสงค์แล้วก็ทำเป็นเฉย ดังนั้นแล้วไม่เพียงแต่ท่านจะไม่อวยพรเท่านั้น ท่านยังจะต้องสาปแช่งและลงโทษอีกด้วย..


*พระฤษีพรหมนิมิตร



---พระฤษีองค์นี้แหละที่ท่านได้เป็นเทพเจ้าแห่งความฝันทั้งปวง ตามประวัติตั้งแต่เดิมมา ท่านเป็นพระฤษีที่มีบารมีมากมายอีกพระองค์หนึ่ง มีความสามารถหายตัวลงไปเข้าฝันบอกเหตุดีเหตุร้ายทั้งหลายให้กับมนุษย์ได้รู้ตัว ตามตำนานแห่งความฝันตั้งแต่อดีตกาลหลายพันปีมาแล้ว ในครั้งนั้นความฝันจะเป็นความจริงเสมอ มิใช่จะฝันแบบไร้สาระ เหมือนเช่นทุกวันนี้ อย่างเช่น เมื่ออดีตจะฝันว่าเป็นอะไรก็จะเป็นไปตามความฝันทุกประการ เช่น ฝันว่าจะได้แก้วแหวนเงินทองก็จะต้องได้ หากฝันว่าหัวขาดแขนขาด ก็จะต้องขาดจริงๆตามความฝันเสมอไป


---มีอยู่ครั้งหนึ่งมีมานพผู้หนึ่งได้เลี้ยงนกขุนทองเอาไว้และมีความกตัญญูเป็นอย่างมาก วันหนึ่งมานพนั้นได้ฝันไปว่ามีโจรมาปล้นที่บ้านและได้ฆ่าตนเองจนตายจึงเกิดความกลัดกลุ้มได้เล่าให้เจ้านกขุนทองฟังและบอกว่าไม่มีใครสามรถที่จะช่วยได้ เจ้านกขุนทองจึงหัวเราะและพูดว่า"ทองนี่แหละที่จะช่วยพ่อได้" มานพหนุ่มเกิดความหมั่นไส้คิดว่าเจ้าขุนทองแกล้งพูดเพื่อเอาใจมากกว่าจึงเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวเกิดขึ้นร้องด่าเจ้าขุนทองเป็นครั้งแรก "ไอ้นกบ้า ไอ้นกระยำ ไอ้นกขี้โม้ เสือกไม่เข้าเรื่อง" เจ้านกขุนทองหัวเราะงอหายอีกครั้งหนึ่งเพราะขำในท่าทางของมานพ แล้วพูดอีกครั้งด้วยเสียงอ่อยๆว่า" นั่นซี ไหมล่ะ


---ทีเขาจะช่วยก็หาว่าขี้โม้เสียอีกแน่ะ"มานพจึงถามทั้งๆที่มิได้มรความหวังเลยสักนิดเดียวว่า" เจ้าจะช่วยได้จริงเหรอ ไหนลองบอกมาซิว่าจะช่วยด้วยวิธีไหน" เจ้าขุนทองจึงพูดว่า"ไหนๆพ่อก็เลี้ยงทองมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ป้อนข้าวป้อนน้ำจนโต ทองยังไม่ได้ทดแทนบุญคุณพ่อเลย ขอให้ทองได้ทดแทนบุญคุณสักครั้งเถอะนะพ่อ" มานพหนุ่มเริ่มงุนงงสงสัยมากขึ้นกับท่าทางที่จริงจังและมีน้ำหนักทำให้อยากรู้มากขึ้น"เจ้าทองเจ้าจะทำอะไร" เจ้าทองตอบว่า"ก็จะช่วยพ่อจะพยายามทำลายความฝันให้กลายเป็นเรื่องไร้สาระจะไม่ให้ความฝันกลายเป็นจริงอีกต่อไป ทองจะบินขึ้นไปหาพระฤษีพรหมนิมิตรแล้วแกล้งยั่วหลอกล่อให้ถอนคำพูดในเรื่องฝันเป็นจริงให้เป็นฝันเล่นๆหลอกๆ ยกเลิกกันเสียตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พ่อก็จะไม่ถูกโจรปล้น และพ่อก็จะไม่ตายไงล่ะ"


---เมื่อได้รับอนุญาตจากมานพหนุ่มเจ้านกขุนทองก็บินผงาดลิ่วขึ้นไปทันทีจุดหมายคือพรหมโลก มันบินสูงขึ้นไป สูงขึ้นไปทุกขณะด้วยความมานะพยายามแม้จะเหน็ดเหนื่อยสักเพียงใดก็ไม่ย่อท้อ จะต้องทำงานให้สำเร็จให้ได้ ในที่สุดเจ้าขุนทองก็ทำสำเร็จมาถึงพรหมโลกจนได้แม้จะเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบจะขาด หิวโหยจนแทบไร้เรี่ยวแรง แต่กำลังใจ พลังแห่งความกตัญญู ทำให้มาถึงชั้นพรหมโลกจนได้ จึงรีบมุ่งไปที่สำนักของพรฤษีพรหมนิมิตร แต่ขณะนั้นท่านกำลังเข้าฌานอยู่ จึงเป็นโอกาสที่เจ้าขุนทองได้พักผ่อนให้หายเหนื่อยบ้าง ก็พอดีพระฤษีพรหมนิมิตรออกจากฌาน เจ้าขุนทองก็ไม่ปล่อยโอกาสให้เลยไป รีบบินมาเกาะกิ่งไม้ไม่ห่างจากพระฤษีเท่าใดนัก "สวัสดีจ้าพระคุณเจ้าที่เคารพ"พระฤษีสดุ้งโหยง เพราะอยู่ๆก็มีเสียงเหมือนมนุษย์ดังขึ้นใกล้ๆสงสัยว่ามนุษย์ที่ไหนจะมีความสามรถขึ้นมาบนพรหมโลกได้


---จึงส่งตามองหาเจ้าของเสียง "เอ๊ะ..ไม่เห็นมีใครเลยนี่แล้วเสียงมันดังมาจากไหนกันหว่า  "พระฤษีบ่นพึมพำเจ้าขุนทองจึงนึกขำในท่าทางของพระฤษี  จึงหัวเราะออกมาดังๆเล่นเอาพระฤษีสดุ้งโหยง มองซ้ายมองขวาก็ไม่พบ เจ้าขุนทองจึงขยับตัวจากกิ่งไม้กระโดดเข้ามาเกาะกิ่งไม้ที่อยู่ใกล้ๆพระฤษี  "สวัสดีจ้าพระฤษีที่เคารพ ทองขอทำความเคารพท่านด้วยความจริงใจเจ้าข้า"พระฤษีจึงมองเจ้าขุนทองด้วยความสงสัย"เออ..นี่เจ้าทองเจ้ามาที่นี่เพื่อต้องการอะไรกัน "เจ้าขุนทองแกล้งทำหน้าตาตื่นน้ำเสียงกังวลแล้วพูดว่า "ทองมาจากโลกมนุษย์น่ะด้วยความซื่อสัตย์และจงรักพักดี ต่อพระคุณเจ้ามีเรื่องสำคัญที่จะนำข่าวมาบอกประเดี๋ยวจะสายเกินไป "พระฤษีพรหมนิมิตรฟังเจ้าทองพูดด้วยความงุนงง"เอ..มันเรื่องอะไรกันหว่า


---มันเกี่ยวกับข้าด้วยหรือวะ"เจ้าขุนทองเห็นท่าทางของพระฤษีก็ยิ้มอยู่ในที"ทองถามพระคุณเจ้าสักหน่อยก่อนว่า ความฝันนั้นเป็นจริงหรือไม่"พระฤษีพรหมนิมิตรไม่ทันคิดอะไรก็ตอบว่า"มันก็จริงน่ะซีวะ ประกาศิตข้อนี้มีมานมนานกาเลแล้วเจ้าถามทำไมหรือ" เจ้าขุนทองแกล้งทำหน้าเซื่องซึม"เฮ้อ..สงสารพระคุณเจ้าเหลือเกินที่ทองพยายามบินขึ้นมาบนพรหมโลก ด้วยความเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบจะขาดก็เพื่อที่จะบอกท่านให้รู้ตัวก่อนจะได้หาทางแก้ไขให้ทันต่อเหตุการณ์"พระฤษีจึงพูดว่า"เอ้าเล่ามาเถอะว่าเรื่องมันเป็นอย่างไร เผื่อว่าข้าแก้ไขได้จะได้รีบแก้ไขให้ทันเหตุการณ์ เพื่อไม่ให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่" เจ้าขุนทองได้ทีจึงพูดว่า"นายของทองฝันเมื่อวันก่อนว่าเขาได้เป็นใหญ่เป็นโตมีอำนาจได้ครอบครองทั้งสามโลก เท่านั้นยังไม่พอเขายังรู้ว่าพระฤษีพรหมนิมิตรจะต้องไปเกิดเป็นม้าไว้สำหรับให้เขาขี่อีกด้วยทองจึงเป็นทุกข์ เพราะเรื่องนี้มันไม่สมควร อย่ายิ่ง ทองจึงรีบบินมาส่งข่าวกับท่านเพื่อจะหาทางแก้ไขได้ทันต่อเหตุการณ์และทันต่อเวลาที่ท่านจะกลายเป็นม้า ไปเสียก่อน"


---พระฤษีพรหมนิมิตรได้ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ จนเจ้าขุนทองเล่าจบจึงโวยวายลั่นว่า"เฮ้ย..ไม่ได้ๆ ข้าจะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้แต่เอ..แล้วจะทำยังไงกันล่ะหว่า.." พระฤษีหยุดคิดนิดหนึ่งแล้วก็นึกขึ้นมาได้ก็ส่งเสียงหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจในความชาญฉลาดของตัวเองประกาศออกไปเสียงดังฟังชัดว่า"เอ้า..ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าจะยกเลิกความฝันที่เป็นความจริง ให้เป็นความฝันที่เหลวไหล ไร้สาระ ความฝันจะไม่เป็นจริงอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเทวดาจะต้องเป็นเช่นนั้นตามคประกาศิตของข้า" นับจากนั้นมาความฝันจึงกลายเป็นความฝันที่ไม่จริงตามคำประกาศิตของพระฤษีพรหมนิมิตร เจ้าขุนทองมีความกระหยิ่มยิ้มย่องจึงลากลับมายังโลกมนุษย์กลับมาหามานพหนุ่มผ็มีพระคุณเล่าเรื่องราวให้ฟังโดยละเอียด


---มานพหนุ่มจึงรอดพ้นความตายได้ เพราะเจ้าขุนทองยอดกตัญญูนั่นเอง และยิ่งเพิ่มความรักเจ้าขุนทองมากขึ้น ทะนุถนอมปรนเปรอด้วยอาอารอย่างดีเป็นการตอบแทนคุณคุณงามความดี เท่านั้นยังไม่พอ ยังซื้อสร้อยคอทองคำมาคล้องคอให้อีกเพื่อเป็นบำเหน็จรางวัลแห่งความดี และเพื่อจะได้ประกาศเกียรติคุณให้ชาวโลกทั้งหลายได้รู้ว่าเจ้านกขุนทองตัวนี้ได้กระทำความดีและมีความซื่อสัตย์กตัญญูรู้คุณเจ้าของ จึงได้รับรางวัลอันล้ำค่านี้นับตั้งแต่นั้นนกขุนทองทุกตัวจะต้องมีสายสร้อยที่ข้างหู และบริเวณคอของมันที่เป็นสีเหลืองๆนั่นแหละคือสร้อยทองที่มันได้รับรางวัลจากมานพผู้เป็นนายของมันและเมื่อมีลูกหลานเหลน สืบต่อมามันก็จะมีสีเหลืองติดตัวเช่นเดียวกัน


---นับได้ว่าพระฤษีพรหมนิมิตรองค์นี้มีความเก่งกล้าไม่น้อย ทั้งคาถาอาคมและวาจาประกาศิต ท่านมีบารมีมาก และนับว่ามีคุณต่อมวลมนุษย์ไม่น้อย สมควรที่ท่านทั้งหลายจะเคารพบูชาและขอพรจากท่าน บางทีท่านอาจจะเมตตา แล้วส่งคำประกาศิตมาถึงท่านทำให้ชีวิตของท่านสุขสมบูรณ์ขึ้นมาก็เป็นได้ การเคารพบูชาผู้ควรเคารพบูชามิใช่เรื่องเสียหายมิใช่หรือ..


*พระพรหมฤษีวิสิษฐ์



---เป็นพรหมฤษีที่มีคุณงามความดี เป็นที่หนึ่งของชาวโลกทั้งสามโลก ท่านมีเมตตาธรรมสูง ยากที่จะหาผู้ใดเทียบเท่า ทั้งในด้านบารมีก็มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเท่าใดนัก ทั้งอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์พร้อมทั้งหลักวิชาการ ในด้านคาถาอาคมก็เปี่ยมยอดตลอดกาลหากท่านต้องการทำมงคลใดๆ ก็จงอย่าลืมอัญเชิญท่านเสียล่ะ ไม่ผิดหวังแน่นอน....พระฤษีวสิษฐ์ สวมเทริดฤาษีแบบผ้าโพกสีขาวขลิบทอง...

*พระฤษีตาทิพย์



---พระฤษีองค์นี้ ท่านมีญาณเป็นพิเศษสามารถมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆได้เสมอ ด้วยกระแสจิตสมาธิอันแน่วแน่ของท่าน ไม่ว่าผู้ใดจะทำอะไรอยู่ที่ไหน ท่านก็จะรู้จะเห็นได้โดยตลอดเสมอไป ไม่ว่าจะเป็นในพรหม ในเทวโลก ในโลกมนุษย์ ในเมืองบาดาล ในสวรรค์หรือในนรก ท่านจะเห็นการกระทำของแต่ละบุคคลได้ไม่ยากเลย ท่านจึงได้รับฉายาใหม่จากพระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ ทรงประทานในความเก่งกล้าของท่าน ให้เป็นรางวัลในความดีเด่นว่า พระฤษีจตุทิพยเนตร  รูปร่างหน้าตาของท่านก็คล้ายกับพระอิศวร เพราะมี ๓ ตา เหมือนกัน...


*พระฤษีอิศวร


   
---พระองค์เป็นผู้ทรงคุณค่าด้วยพระบารมีอันมากล้นมุ่งแต่ส่งเสริมธรรมะ มุ่งจะทำลายอธรรมให้พินาศสิ้นมิให้หลงเหลืออยู่อีกเลยด้วยอำนาจและบารมีได้แบ่งภาคลงมา  เป็นพระมุนีภพผู้เป็นพระสวามีของพระสตีผู้เป็นธิดาของพระทักษะประชาบดีเมื่อครั้งที่พระทักษะประชาบดีได้ทำพิธียัญญกรรมครั้งยิ่งใหญ่  ก็ได้เชิญบรรดาเขยทั้งหมดให้มาร่วมในพิธีมงคลครั้งนี้ทั้งหมด เว้นแต่พระมุนีภพเท่านั้นทั้งยังประณามและประจานว่าแต่งตัวเป็นคนบ้า นุ่งผ้าบังสกุล ใช้กระดูกและกระโหลกคนเป็นสังวาลย์ หนวดเครา ผมเผ้ารุงรังน่าเกลียดชอบคบหาพวกภูติผีปีศาจ มั่วสุมกันในกลุ่มผีเป็นสมัครพรรคพวกดูแล้วไม่สมเกียรติอันใด  แล้วก็ยังจะสร้างความเสื่อมเสียให้ได้รับความอับอายขายหน้าอีกด้วย


---พระสตีจึงมีความน้อยใจ จึงทำลายชีวิตของตนเองด้วยการกระโดดลงไปในกองไฟที่ใช้ในการทำพิธีนั่นเอง พระมุนีภพรู้เรื่องเข้าว่าพระชายาได้สิ้นใจตายไปแล้วด้วยความรักที่มีต่อพระนางจึงมีความโกรธแค้นพ่อตา พระองค์จึงกระทำเทวฤทธิ์แบ่งภาคออกจากพระโอษฐ์เป็น พระวีรภัทร ปางนี้เรียกว่าปางวีรภัทร ไปทำลายล้างพิธียัญญกรรมของพระทักษะประชาบดี  ทรงแผลงศรวีรภัทรถูกเหล่าเทวดาล้มตายเป็นจำนวนมากศรีษะของพระทักษะประชาบดีขาดกระเด็น ด้วยความโกรธ พระวีรภัทรจึงโยนเอาศรีษะของพระทักษะประชาบดีเข้ากองไฟ มอดไหม้กลายเป็นเถ้าธุลีไป ต่อมาภายหลังเหล่าเทวดาเสนาผู้ใหญ่ในสวรรค์


---จึงมากราบทูลอ้อนวอนขอลุแก่โทษพระวีรภัทรจึงอภัยให้ กระทำเทวฤทธิ์ให้เทวดาที่ตายนั้นกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอย่างเดิม แล้วตัดเอาหัวแพะต่อให้กับพระทักษะประชาบดีให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป แต่ใบหน้าและเศียรต้องกลายเป็นแพะและพระวีภัทรก็กลับคืนร่างรวมตัวเข้าเป็นพระมุนีภพ แล้วเดินทางไปยังป่าหิมพานต์ทรงตั้งมั่นในการบำเพ็ญตบะสร้างพระบารมีต่อไปและก็เป็นที่รู้กันว่า พระฤษีอิศวรพระองค์นี้ก็คือ พระอิศวรหรือพระศิวะ นั่นเอง....

*พระฤษีพรหมมินทร์



---ท่านเป็นพระพรหมฤษีที่มีใจเป็นธรรม เป็นพี่ชายแท้ๆของพระฤษีพรหมเมศร์ มิค่อยยุ่งเกี่ยวกับผู้ใดนัก ท่านเคร่งครัดต่อการปฏิบัติถ้าผู้ใดได้รับความเดือดร้อน มีความต้องการที่จะให้ท่านช่วยก็จงบอกกล่าวขอพรจากท่าน บางทีท่านอาจจะเมตตาช่วยเราให้ได้รับความสำเร็จก็อาจเป็นได้ ท่านมีลักษณะเช่นเดียวกับพระพรหมทั้งหลายทั่วไปคือ มี ๔ หน้า ๘ มือ แต่รู้สึกว่าหน้าของท่านจะแก่กว่าองค์อื่นๆ หนวดเครายาวรุงรังส่วนผมนั้นมุ่นเป็นชฎาสูงขึ้นไปแบบเดียวกับพวกชฎิล เรียกว่ามวยขมวดกรวดเกล้า พระเมาลี...

*พระฤษีตาไฟ



---พระฤษีองค์นี้ก็มี ๓ ตา อีกเช่นเดียวกัน ท่านมีอำนาจและมหิทธิฤทธิ์มากมายจนกระทั่งไม่มีใครกล้าไปยุ่งกับท่าน ตาที่ ๓ ของท่านอยู่ที่หน้าผากเช่นเดียวกับพระอิศวรท่านจะหลับสนิทตลอดเวลา ถ้าหากว่าเผลอเผยอเปลือกตาที่ ๓ นั้นออก ลืมขึ้นมาครั้งใดสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของท่านก็จะต้องมอดไหม้เป็นจุลมหาจุลลงไปในที่สุด ด้วยประกายไฟอันแรงกล้าจากดวงตาที่ ๓ ของท่านแต่ในด้านอุปนิสัยใจคอของพระฤษีตาไฟนี้ ท่านมีนิสัยดุมากเสียงดัง แต่ส่วนภายในนั้นสิไม่มีใครจะใจดีเหมือนท่าน ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ชอบเสริมสร้างในด้านของบารมี พูดกันง่ายๆก็คือ ปากร้ายแต่ใจดี


---หากใครประสงค์จะให้ท่านช่วยเหลืออะไร ก็ควรใช้ดอกไม้ธูปเทียนเคารพบูชาสักการะต่อท่านแล้วจะบนบานอย่างไร ก็จงตั้งใจบอกกับท่านไปตามตรง สิ่งที่ไม่ผิดวิสัย ไม่เหลือวิสัย ท่านก็จะต้องช่วยเราให้สำเร็จผลได้...


*พระฤษีไชมินี



---พระฤษีองค์นี้มีความเก่งกล้า รอบรู้ในคุณธรรมได้ทั้งหมด และมักจะนำเอามาแสดงเป็นปุจฉาวิสัชนา เพื่อให้ชาวบ้านชาวเมืองได้มีความรู้ และเพื่อจะนำเอาไปปฏิบัติได้ถูกต้อง และพระฤษีผู้นี้ยังมีความสามารถนอกเหนือผู้อื่น ที่ไม่มีผู้ใดมีความสามารถทำได้ นั่นคือ ท่านรู้ภาษานกทุกชนิดและพูดคุยส่งภาษาโต้ตอบกับนกได้ทุกชนิดทุกประเภทอีกด้วย..


*พระฤษีมารกัณเฑย หรืออีกนามหนึ่งคือ พระมารกัณไฑย


---พระฤษีองค์นี้เป็นผู้แต่งหนังสือและคัมภีร์ที่มีชื่อว่า มารกัณเฑยะปุราณะ ที่เริ่มต้นขึ้นด้วยเรื่องของนกแสนรู้ที่รู้จักผิดชอบชั่วดี และได้แสดงเอาไว้เป็นเรื่องราวพิศดารตามคำวิสัชนาของพระมหาฤษีทั้งหลาย ที่ได้มีการประชุมขึ้นมาแต่ละครั้งก็จะต้องมีการสัมมนาแสดงธรรมกันเป็นส่วนใหญ่ด้วย  นกแสนรู้ก็พากันมาตอบปัญหาธรรมของพระฤษีทั้งหลาย พระมารกัณไฑย เห็นว่ามีประโยชน์มาก จึงได้จดจำ


---นำเอาบทความของการเจรจานั้นๆมาบันทึกแล้วก็พิจารณาเรียบเรียงขึ้นมาเป็นเรื่องราว แสดงไว้เป็นคัมภีร์และนิทานอันเป็นหลักโลกอุปโลกน์ ขึ้นมาไว้ให้เป็นสมบัติของชนรุ่นหลังสืบต่อเนื่องกันมา ได้ดำเนินการแต่งขึ้นเมื่อประมาณ ราวศตวรรษที่ ๑๖๑๗ ของพุทธกาลที่ผ่านมาก็นับว่าพระฤษีองค๋นี้เป็นผู้อนุรักษ์ของเดิมเอาไว้อย่างดีเยี่ยม นับว่ามีคุณอีกท่านหนึ่ง...

  *พระฤษีวยาสมุนี



---
พระฤษีพระองค์นี้เป็นผู้มีไหวพริบและปฏิภาณ มีมันสมองเป็นเลิศ มีความสามารถยอดเยี่ยมเป็นผู้นิพนธ์คัมภีร์มหาภารตะ ซึ่งเป็นคัมภีร์ในส่วนหนึ่งของพรหมาณตาปุราณะ ซึ่งแปลว่า มหาภารตะการแต่งนั้นก็ดัดแปลงมาจากรามายณะนั่นเอง แต่ที่ยาวๆของรามายณะก็ตัดให้สั้นเข้าทั้งคัมภีร์จะเป็นการเล่าเรื่องพระราม และสรรเสริญพระรามตลอด คัมภีร์นี้ก็ดัดแปลงออกเป็น กัณฑ์เรียกเหมือนกับในรามายณะทั้งหมด ด้วยการย่อเรื่องราวและใจความให้สั้นลง จึงได้นามใหม่ของคัมภีร์นี้ว่า อาธยาตมรามายณะ แต่ก็มิได้เป็นหนังสือหรือคัมภีร์ที่มีความสำคัญเท่าใดนักเพียงแต่ใช้สวดและอ่านกันตามธรรมดาๆ นี่เอง  แต่ก็ยังนับได้ว่า พระฤษีวยาสมุนี ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้มีเกียรติประวัติช่วยสร้างสรรค์จรร โลงโลกให้โสภาขึ้นมาอีก...

*พระฤษีพรหมโลก



---คือองค์ประทานที่มีความเคร่งครัดในการปฏิบัติ และมีบารมีสูงแถมยังมีอิทธิฤทธิ์มากมาย เมื่อแรกเริ่มเดืทีท่านได้สร้างบารมีในการบำเพ็ญพรต อยู่ทั่วทุกสถานที่เช่น ในโลกมนุษย์ ในเมืองบาดาล ในขอบเขตดินแดน แห่งจักรวาบโดยทั่วไป เช่น ในป่าหิมพานต์ เขาไกรลาส สัตบงกช หิมวันบรรพต เขาพระสุเมรุราช เขาคิชกูฎ และตามป่าดงดิบทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ถ้าหากว่ามีความเงียบสงัดสะดวกสบายในการปฏิบัติบูชาแล้วท่านก็มักจะเลือกเอาสถานที่นั้นๆ เป็นสถานที่บำเพ็ญพรตตบะเรื่อยๆไป ไม่ยอมอยู่เป็นที่


---เปลี่ยนแปลงรูปการณ์และสถานที่ไปตามลำดับไม่ผิดอะไรกับพระธุดงค์ชอบในทางสันโดษ ที่เห็นว่าเป็นประโยชน์อันสำคัญ และแล้วความสำเร็จก็บังเกิดกับท่านด้วยอานิสงส์แห่งพระบารมีที่ท่านได้พยายามสร้างมาตั้งแต่ต้น จึงบันดาลให้ท่านสำเร็จและหลุดพ้นจากโลกีย์วิสัย จึงได้ขึ้นไปบังเกิดเป็นพระพรหมอยู่ในวิมานทิพย์แห่งพรหมโลก แต่ถึงกระนั้นท่านก็ยังไม่ยอมละเว้นสิ่งที่เห็นว่าเป็นประโยชน์คือ ภูมธรรมอันนี้ท่านจึงได้สำรวม กาย วาจา และใจ ทำกริยาในการบำเพ็ญต่อไปอีก ก็เพราะว่าท่านได้ทราบและมองเห็นเด่นชัดแล้วว่าไม่มีอะไรอีกแล้วที่ในโลกทั้งสามโลก ที่จะเที่ยงแท้แน่นอน และมีคุณค่าเท่า กับบารมีธรรม....






.......................................................................................






ผู้เขียน กรเทพ เทพโยธิน ว.จีนประดิษฐ์

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล

รวบรวมโดย...แสงธรรม

อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 23 กันยายน 2558


ความคิดเห็น

  1. 1
    แนะนำ
    แนะนำ thaitattootiger@gmail.com 10/01/2016 01:54

    www.importancetattoo.com เว๊บสำหรับผู้ที่สนใจทางด้านสักยันต์ทางด้านเมตตามหานิยม เปลี่ยนดวงชะตากลับร้ายกลายเป็นดี ส่งเสริมโชคลาภ การงาน

  2. 2
    ผู้มีใจกรุณา
    ผู้มีใจกรุณา ukn47k@gmail.com 09/11/2018 23:18

    อย่าทำลายศาสนาพุทธและเพื่อร่วมทุกข์ด้วยการทำให้เกิดมิจฉาทิฏฐิอย่างนี้เลยครับ เอาสิ่งที่นอกศาสนามาไว้ในศาสนาแบบนี้เป็นการทำลายศาสนาอย่างร้ายแรงนะครับ


    สมัยก่อนมีพราหมณ์เห็นแก่ตัวกลุ่มนึงที่เห็นว่าตัวเสื่อมลาภเพราะพุทธเจ้าแล้วไปแต่งตำราเอาว่าพระพุทธเจ้าแบ่งภาคมา


    "เทพฤๅษี" คำนี้เป็นคำเป็นคำเรียกพระพุทธเจ้านะครับ ไม่ใช่คำเรียกพวกที่มีบารมีแค่นี้ ขนาดเทียบระดับกับพระโพธิสัตว์บารมีเพิ่งได้รับพยากรณ์ยังไม่ได้เลย จะมาเทียบพระพุทธเจ้า


    keyword "สมาธิแบบจิตตั้งมั่น" "สติปัฏฐาน 4" "หลวงพ่อปราโมทย์"


    ปล.ผมช่วยได้เท่านี้ มันน่าอนาถที่ว่าต่อให้ผมบอกให้ขนาดนี้คนไร้บุญวาสนาก็จะไปยังสำนักที่สอนผิดๆได้อยู่ดี


    ปล2.ขอความสุขจงมีแด่ท่าน

แสดงความคิดเห็น

* *

 

*

view

ประวัติต่างๆ

ประวัติวัดเขาไกรลาศ

ประวัติของหลวงพ่อเทียน=คลิป

มาเช็คชื่อ-เช็คสกุลกันดีกว่า=คลิป

ประวัติพระอธิการชิติสรรค์ จิรวฑฺฒโน=คลิป

ขอเชิญผู้ร่วมบุญสร้างอาศรมเสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก

ประวัติหลวงปู่เทพโลกอุดร

ประวัติฝ่าพระหัตถ์ของพระพุทธองค์

ประวัติของนางวิสาขา=คลิป

ประวัติของอนาถปิณฑิกเศรษฐี=คลิป

ประวัติของเศรษฐีขี้เหนียว

ประวัติเหตุทำบุญที่ช้า=คลิป

ประวัติของผู้ร่วมบุญ=คลิป

ประวัติของพระไตรปิฎก=คลิป

ประวัติการสร้างพระพุทธรูปและพระเจ้า ๕ พระองค์

ประวัติง้วนดิน

ประวัติปู่ฤาษีนารอท

ประวัติพระปางมหาจักรพรรดิ์ ทรงปราบพระเจ้ามหาชมพูบดี

ประวัตินางห้าม..แห่งขอมโบราณ

ประวัติพญานาค

ความรู้และรายละเอียดพุทธเจดีย์

พระมหาโพธิสัตว์

สาระธรรม

ธรรมะส่องใจ

อานิสงส์แต่ละอย่าง

ประเพณีต่างๆ

ตำนานทั่วไป

สาระน่ารู้

ปกิณกะธรรม

วัตถุมงคล-สาระอื่นๆ

ข้อมูลทั่วไป

ปฎิทิน

« March 2024»
SMTWTFS
     12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31      

สมาชิก

ลืมรหัสผ่าน?
สมัครสมาชิก

สถิติ

เปิดเว็บ20/06/2011
อัพเดท04/08/2023
ผู้เข้าชม6,580,825
เปิดเพจ10,319,787
สินค้าทั้งหมด8

 หน้าแรก

 บทความ

 เว็บบอร์ด

 รวมรูปภาพ

 พระบรมสารีริกธาตุ

 โจโฉ รวมเสียงธรรม

 เฟสบุ๊ค

ติดต่อเรา-

view