/music/.mp3 http://www.watkaokrailas.com
สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com

 หน้าแรก

 บทความ

 เว็บบอร์ด

 รวมรูปภาพ

 พระบรมสารีริกธาตุ

 โจโฉ รวมเสียงธรรม

 เฟสบุ๊ค

 ติดต่อเรา-แผนที่

บุญหนุนให้ร่ำรวยตลอดกาล=คลิป

บุญหนุนให้ร่ำรวยตลอดกาล=คลิป

บุญหนุนให้ร่ำรวยตลอดกาล





โดย ธ.ธรรมรักษ์ และฤทธิญาโน



---ก่อนที่จะพาไปรู้จักเคล็ดวิธีต่างๆ หรือการติวเข้มในการสร้างบุญที่จะหนุนนำ ทำให้ทุกท่านนั้นร่ำรวยได้ จะขอพูดถึงจุดมุ่งหมายในหนังสือเล่มนี้ทั้งหมดเสียก่อน เพราะด้วยความปรารถนาดีอย่างจริงใจเป็นที่ตั้งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นมา เพื่ออยากให้ท่านผู้อ่านทุกท่านได้พบกับความสุข ความร่ำรวยในชีวิต


---ในทุกวิธีและเคล็ดวิธีที่นำเสนอนี้ ได้รับการทดลองมาอย่างยาวนานและเกิดผลจริงมาแล้วแก่คนที่ลองนำไปปฏิบัติ หรืออย่างน้อยที่สุด รับรองว่าชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีแน่นอน วิชาเหล่านี้ ธ.ธรรมรักษ์ไม่ได้เป็นคนค้นคิดขึ้นมา แต่ได้รับการเมตตาจากครูบาอาจารย์หลายท่าน ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีในเมืองไทย


---ที่หลายท่านอาจจะไม่มีโอกาสได้พบครูบาอาจารย์เหล่านี้  หรือด้วยการเข้าพบในแต่ละท่านนั้นค่อนข้างจะลำบากและจำกัดคนที่จะเข้าพบ แต่ไม่เป็นไรครับ ผมจะเปิดเผยทุกเรื่องเท่าที่บุญของผมมี 


---ถือว่าเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องทำให้ดีที่สุด สำหรับท่านผู้อ่านทุกท่านที่มีอุปการะคุณ และจะดียิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่า หากท่านได้กรุณาช่วยกันบอกต่อให้คนที่ท่านรัก เพื่อนสนิทมิตรสหายได้ทราบวิธีการต่างๆ เพื่อให้ชีวิตของคนเหล่านั้นพบทางลัดในการมีความสุขในชีวิต ก็ถือว่าท่านได้สร้างบุญกุศลเกิดขึ้นแล้ว และเป็นบุญใหญ่ด้วย


---มาถึงตอนนี้ ก็ถึงเวลาที่จะเข้าสู่เนื้อหากันแล้ว ที่ต้องขออนุญาตพูดเรื่องแรกที่สำคัญที่สุดก่อนที่จะรับทราบในเรื่องอื่นๆ  ที่บอกว่าสำคัญที่สุดนั้นหมายความว่า ถ้าไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด หรือหลงทางในเรื่องแรกนี้ บอกได้เลยว่า คงพบกับความสุขและร่ำรวยได้ยาก


*เรื่องที่พูดถึงก็คือ เรื่องของ “บุญ”


---พอพูดถึงเรื่องบุญ สำหรับท่านที่ไม่เชื่อในเรื่องของบุญและกรรมคงไม่อยากอ่าน ไม่อยากสนใจ ก็ถือเป็นสิทธิ์ของท่าน ชีวิตของท่านที่ท่านต้องเลือกเอง แต่ท่านที่เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม เชื่อว่าบุญมีจริง บาปมีจริง  ขอแสดงความยินดีว่าท่านมาถูกทางแล้ว เพราะถ้าท่านเชื่อในเรื่องบุญเรื่องบาป ถือว่าเป็นพื้นฐานแรกที่จะช่วยทำให้ท่านพบกับสิ่งที่ท่านปรารถนาได้ง่ายยิ่งขึ้น


*เพราะคนที่ร่ำรวย มีความสุขล้นเหลือในชีวิตนี้ มาจากการมี “บุญเก่า” และ “บุญใหม่” เท่านั้น


---กรรมดีที่เคยทำมา ถ้าเป็นกรรมดีในอดีตชาติเรียกว่า “บุญเก่า” ถ้าเป็นกรรมดีใหม่ในชาตินี้เรียกว่า “บุญใหม่” ที่มีความสำคัญทั้งสองด้านพอๆ กันที่จะส่งผลดีกับชีวิตในชาติปัจจุบันนี้


---“บุญ” เป็นเรื่องใกล้ตัวที่สุด ทำง่ายที่สุดในทุกวินาทีของชีวิต เพียงแต่หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบถึงวิธีการสร้างบุญแบบง่ายๆ สบายๆ ที่ทุกคนทำได้และนำบุญมาใช้ให้ชีวิตดีขึ้น สุขขึ้น


---สิ่งแรกที่เราต้องเข้าใจ เพื่อการเตรียมตัวเองให้มีพร้อมที่จะสร้างบุญและรองรับบุญที่ทำได้ ซึ่งจริงๆ แล้วทุกคนทำได้ แต่เป็นเพราะอาจจะไม่รู้ จึงไม่ได้ทำตัวเองให้พร้อม แต่ไม่เป็นไรครับไม่ต้องตกใจ ทุกคนสามารถพัฒนาตนเองขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร อายุเท่าใด เพศไหน เวลาไหนทำได้ทั้งนั้น


*ทำไมถึงบอกว่า ต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมเสียก่อน ถึงจะมีความสุขและร่ำรวยได้


---จะเปรียบเทียบให้ฟังง่ายๆ ก็เหมือน ถ้าตัวเราชีวิตของคนเรานั้นเป็นเครื่องรับโทรทัศน์หรือทีวีตามบ้าน การรับคลื่นสัญญาณจากสถานีโทรทัศน์ที่ส่งมาได้ เราต้องปรับคลื่นความถี่ให้ตรงกันเสียก่อนถึงจะรับคลื่นนั้นให้เกิดภาพขึ้นได้ หากตัวเรานั้น มีกำลังคลื่นต่ำ หรือมีกำลังน้อย เราก็ไม่สามารถรับคลื่นเปลี่ยนมาเป็นภาพได้


---แบบรับคลื่นได้น้อยแต่นำเอามาใช้ไม่ได้ ภาพที่ออกมามันจึงเบลอดูไม่รู้เรื่อง ถ้ามีคลื่นอื่นรบกวนมาก ก็ไม่สามารถรับสัญญาณหรืออานิสงส์บุญที่ส่งมาได้เลย ยิ่งถ้ามีคลื่นแทรกมาก หรือกรรมชั่วมากเท่าใด  ชีวิตก็คงจะแย่


---คงเหมือนกับการที่เราจะปลูกพืชอะไรสักอย่างก็ตาม เราต้องเตรียมดินให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เป็นดินที่สมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุ ชุ่มชื้นไม่แห้งแล้งเพราะอะไรหรือครับ ดินที่ดีนั้น เมื่อได้เมล็ดพันธ์ที่ดีลงไปปลูกแล้ว พืชนั้นย่อมเจริญเติบโตสมบูรณ์โดยง่ายดาย ออกดกอกผลเต็มที่


---เช่นเดียวกันเหมือนกับพลังแห่งบุญที่จะหนุน ให้เกิดความร่ำรวย ความโชคดี ความสุขที่ไหลวนเวียนอยู่รอบตัวเรา อยู่ใกล้ชิดแค่ปลายจมูกเราแท้ๆ แต่เราก็หยิบมาสู่ตนเอง หยิบเอามาใช้ประโยชน์ไม่ได้


*เพราะเราไม่มีคุณสมบัติที่ดีพอ


---ยังเป็นภาชนะที่ใช้การไม่ได้ ครูบาอาจารย์ตั้งแต่ในอดีตกาล ท่านรู้เรื่องนี้ดี จึงได้เมตตาสั่งสอนเอาไว้ วิธีที่จะเตรียมตัวเองให้มีคุณสมบัติหรือเป็นเครื่องรับที่ดีพอ เพื่อรับบุญได้แบบทันตาเห็นและตลอดกาล ท่านแนะวิธีการไว้ดังนี้


---1.ลด ละ เลิกกรรมไม่ดีทั้งหมดลงทันที


---เป็นเรื่องแรกที่เราต้องเร่งลงมือทำแบบจริงจัง เชื่อว่าทุกคนรู้ตัวดีในใจลึกๆ ว่ามีอะไรบ้างที่ไม่ดีในชีวิต ที่ยังทำหรือแอบทำโดยไม่มีใครรู้ ถึงแม้จะไม่มีใครรู้ใครเห็น ขอให้ทราบไว้อย่างหนึ่งว่า ทุกเรื่องที่เราทำลงไปนั้น ถูกบันทึกไว้ในจิต ในบัญชีของกฎแห่งกรรมเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่เริ่มคิดเลยก็เกิดกรรมแล้ว ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า กรรมทางใจหรือ “มโนกรรม”


---กรรมทางใจนี้สำคัญมาก เพราะเมื่อเราคิด ก็จะนำไปสู่การกระทำ เมื่อเกิดการกระทำหรือสร้างกรรมเกิดขึ้นมาแล้ว กรรมนั้นก็ต้องส่งผล ทุกอย่างในโลกนี้นั้นเป็นเหตุและเป็นผลกันเสมอ ไม่มีเรื่องบังเอิญ เรื่องฟลุ๊คอะไรทั้งสิ้น  เมื่อเราหว่านสิ่งใดลงไป เราก็ต้องได้รับสิ่งนั้น ปลูกอ้อยก็ต้องได้อ้อย จะออกมาเป็นกล้วยนั้นเป็นไปไม่ได้


---ทำไมต้องบอกว่า ต้องลด ละ เลิกกรรมไม่ดีทั้งหมดลงทันทีเสียก่อน ก็เพราะว่า หากเรายังทำกรรมชั่วอยู่ตลอดเวลาไปพร้อมๆ กับการสร้างบุญกุศล มันก็เหมือนน้ำดีกับน้ำเน่า ผสมปนเปมั่วกันไปหมดจะเอาไปทำ เอาไปใช้ประโยชน์นั้นไม่ได้


---การลด ละ เลิกกรรมไม่ดีทั้งหมดลงทันที เพื่อให้กรรมชั่วนั้นไม่เพิ่มมากขึ้น เมื่อเราสร้างบุญกุศล ก็จะเกิดแต่กรรมดีฝ่ายเดียว เมื่อยิ่งสร้างมากเท่าไร หนทางชีวิตก็จะดียิ่งขึ้น หลายคนคงเคยเห็นพวกที่กลับใจ กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี ชีวิตของคนพวกนี้จะเปลี่ยนไปอย่างน่าอัศจรรย์ใจ จากที่จนแทบไม่มีอะไรจะกิน ก็มีกินเหลือเก็บร่ำรวยขึ้นมาได้ อันนี้เป็นผลแห่งการลด ละ เลิกกรรมไม่ดีที่เห็นผลเร็วมาก


---กรรมชั่วคืออะไร หลายคนอาจจะบอกว่ายังไม่รู้ เอาเป็นสรุปง่ายๆ สั้นๆ ว่า เป็นการกระทำที่เราทำแล้วเกิดความเดือดร้อน เบียดเบียนทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่น  ขอให้ดูในเรื่องของศีล 5 เป็นตัวตั้ง  อะไรที่ละเมิดในศีลแต่ละข้อนั้น ถือว่าเป็นกรรมชั่วทั้งสิ้น เป็นหนทางแห่งความเสื่อมที่ไม่สมควรทำ


---การจะลด ละกรรมชั่วได้อย่างเด็ดขาดนั้น ต้องใช้เรื่องของ ”ศีล” เป็นเครื่องมือช่วย เพื่อให้ป้องกันไม่ให้เราทำกรรมชั่วขึ้นมาอีก ต้องเริ่มจากมีความคิดที่ถูกต้องว่า กรรมชั่วนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ดีทั้งต่อชีวิตตนเองและชีวิตผู้อื่น มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาปนั้นเป็นที่ตั้ง ถ้าเราเชื่อที่ถูกต้อง เราก็ง่ายในการความดีละเว้นความชั่ว เพราะเรารู้ทางเสียแล้ว


---จิตใต้สำนึกของคนทุกคนนั้นเป็นคนดีอยู่แล้ว เป็นจิตที่ปกติใสสะอาดบริสุทธิ์ แต่เพราะความไม่รู้หรืออวิชชามาครอบงำ ทำให้เห็นว่าเรื่องของกิเลสเป็นของดี ทั้งๆ ที่เป็นทางแห่งความทุกข์ความฉิบหายในชีวิตทั้งสิ้น


*คนเรานั้นเมื่อพบทางสว่างแล้ว ก็ไม่กลัวความมืดอีกต่อไป


---“ศีล” เป็นเรื่องสำคัญที่ครูบาอาจารย์กล่าวไว้ว่า จะเป็นตัวกั้นบุญกุศลที่เราเคยทำมาไม่ให้หายหรือรั่วไปไหน จะทำให้บุญยังคงมีอยู่เต็มครบถ้วนบริบูรณ์ เหมือนเรือบุญ ที่เราทำบุญอยู่สม่ำเสมอ แต่ที่บุญไม่ส่งผลนั้น เพราะมันมีรูรั่วเต็มไปหมด ทำบุญเท่าไรก็รั่วไหลออกไปหมด รูรั่วนั้นคือ กรรมชั่ว


---ถ้าเรามีศีลแล้ว ศีลนั้นจะไปอุดรูรั่วนั้นเราไม่ทำกรรมชั่วอีก ทำให้บุญนั้นเต็มอยู่ในเรือชีวิตนั้น เมื่อบุญนั้นถึงเวลาส่งผล ก็เต็มเม็ดเต็มหน่วยชีวิตก็จะดีแบบทันตาเห็นเลย


---วิธีการรักษาศีลให้ถูกต้อง และให้ได้ผล เราต้องมีการสมาทานศีล (การสมาทาน คือ การรับเอาเข้ามา เพื่อปฏิบัติ ด้วยการแสดงเจตนา (ตั้งใจ) เริ่มด้วยการบอกกล่าว โดยเปล่งวาจา/ว่าในใจ) การสมาทานศีล หากเป็นอย่างทางการแล้ว ก็ทำได้โดยวิธีที่เราไปขอ (อาราธนา) ศีล และรับ (สมาทาน) ศีลจากพระภิกษุโดยตรงนั่นเอง นั่นเป็นรูปแบบตามพิธีการ  ซึ่งกระทำเมื่อเวลามีงานบุญ หรือพิธีทางศาสนาต่างๆ โดยพระสงฆ์จะให้ศีลเป็นภาษาบาลี แต่เพื่อความลงใจที่มากขึ้น เราต้องรู้และเข้าใจความหมาย/คำแปล ในศีลแต่ละข้อด้วย


*แต่การไปรับศีลจากพระ โดยทั่วไปนั้น เรามักไม่ค่อยมีโอกาสได้กระทำกัน จิตก็เลยไม่ได้ระลึกถึงศีลอยู่อย่างสม่ำเสมอ


---ดังนั้น วิธีการที่สะดวกที่สุด ให้เราสามารถตั้งใจสมาทานศีลเอง โดยกระทำในที่พักอาศัย/บ้านของเราก็ได้ โดยกระทำต่อหน้าพระรัตนตรัย (ทำเอง ณ เบื้องหน้า หิ้งพระ หรือโต๊ะหมู่บูชา ถ้าไม่มี ก็ให้ตั้งจิตเอาเองก็ได้ ในสถานที่อันควร)  และควรสมาทานศีลให้ได้ ทั้ง เช้า – ค่ำ


---ซึ่งในความจริงแล้วกระบวนการสมาทาน ศีลนั้นใช้เวลาไม่ถึง 1 นาทีด้วยซ้ำ แต่เกิดผลดีมหาศาลต่อชีวิต แค่ 1 นาทีในแต่ละครั้งในทุกวัน คนที่อยากมีความสุขความเจริญทำไม่ได้เชียวหรือ


---โดยตั้งใจไว้ว่าจะรักษาศีลให้ดีที่สุด ในแต่ละวัน เริ่มในเวลาเช้า เมื่อตื่นนอนรู้สึกตัว ก็ให้ทำเลย ก่อนที่จะไปทำงานหรือไปศึกษาเล่าเรียน ทำภารกิจประจำวันต่างๆ ส่วนในเวลาค่ำ ก็ให้ทำก่อนนอนทุกๆ วัน ในระหว่างวัน ถ้ารู้ตัวว่าละเมิดศีล ผิดศีลในข้อใดข้อหนึ่ง ให้รีบสมาทานศีลใหม่หมดทุกข้อทันที และก่อนที่จะสมาทานศีลในตอนค่ำนั้น ให้เราตรวจดูศีลอีกครั้งหนึ่ง


---หากเห็นว่าสมบูรณ์บริบูรณ์ดีแล้ว ก็โมทนาสาธุให้กับตนเอง และขอน้อมถวายบุญกุศลอันเกิดจากการที่เรารักษาศีลมาได้สมบูรณ์ บริบูรณ์ดีแล้วในวันนี้ บูชาพระรัตนตรัย  อธิษฐานให้ผลบุญนี้เป็นพละ (กำลัง) ปัจจัยให้เราประสบความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนา (จะเป็นเรื่องประพฤติปฏิบัติ และหรือสิ่งที่เราปรารถนาอันชอบธรรมก็ว่าไป)


---แต่ถ้าหากตรวจดูแล้วเห็นว่าบกพร่องผิดพลาด ในศีลไป ก็ให้อโหสิกรรม (ยกโทษ) ให้กับตนเอง ไม่ต้องไปเสียใจ หรือวิตกกังวลกับสิ่งที่ผิดพลาดบกพร่องไปแล้ว และให้ตั้งใจว่าในครั้งต่อไป วันต่อไป เราจะทำให้ดีที่สุด ในการรักษาศีล และพยายามระมัดระวังไม่ให้มีการผิดพลาดบกพร่องขึ้นอีก  ให้หมั่นทำเป็นประจำทุกวัน


---เมื่อทำอย่างนี้เป็นประจำทุกวันแล้ว ศีลของเราก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ จนเรามีศีลมั่นคง ซึ่งเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของอริยบุคคลขั้นต้น (พระโสดาบัน) การมีศีลมั่นคง ก็คือ จะไม่มีการผิดหรือไปละเมิดศีล (ศีล 5) อีกต่อไปตลอดชีวิต ไม่ว่าจะมีอะไรมากระทบ บีบคั้นอย่างไร ก็ไม่อาจจะไปละเมิดศีล/ผิดศีลได้ จนแม้กระทั่งสามารถยอมสละชีวิตได้ เพื่อไม่ให้ผิดศีล 


---เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว จะได้มีการสมาทานศีลหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่จำเป็นแล้ว เพราะศีลได้เข้าไปอยู่ในจิตใจแล้วอย่างแท้จริง เรียกว่า มีสติสมบูรณ์ในศีลแล้วนั่นเอง


---หากถามว่า ถ้าเรามุ่งมั่นจะรักษาศีลให้มั่นคงแล้ว เราจำเป็นต้องสมาทานศีลไหม? ตอบว่าจำเป็น เพราะอานิสงส์ของศีลนั้น เกิดจากจิตที่ตั้งใจ (เจตนา) งดเว้นจากการเบียดเบียน การอยู่เฉยๆ โดยไม่ได้แสดงเจตนางดเว้นจากการเบียดเบียน จึงไม่ได้เป็นการรักษาศีล เป็นแต่เพียงยังไม่ได้ไปผิดศีลเท่านั้นเอง ดังนั้น จึงยังมิได้รับอานิสงส์ในส่วนของการรักษาศีลแต่อย่างใด 


---ให้ลองนึกถึงตัวอย่างง่าย ๆ เช่น คนเจ็บไข้ได้ป่วยที่นอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล ที่เขาไม่ได้ระลึกถึงศีลเลย แต่เขาก็ไม่ได้ไปละเมิดศีล หรือทำผิดศีลเลยแม้แต่เพียงข้อเดียว  นั่นก็ยังไม่ได้ถือว่าเขาผู้นั้นรักษาศีล/ถือศีลแต่อย่างใด ก็เพราะเขามิได้มีเจตนา (ตั้งใจ) งดเว้นจากการเบียดเบียน (รักษาศีล) นั่นเอง การที่จะเป็นผู้ที่มีเจตนางดเว้นจากการเบียดเบียนได้ตลอดเวลาทุกขณะจิต (มี สติในศีล) คือ การมีศีลมั่นคงแล้วนั้น ก็ต้องมีวิธีการเพื่อให้จิตระลึกถึงศีลได้ โดยเริ่มต้นจากการสมาทานศีลก่อนนั่นเอง


---ศีลจึงเป็นเรื่องสำคัญมากของการประพฤติ ปฏิบัติที่มักจะมองข้ามกัน ดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องง่ายๆ แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังปฏิบัติกันได้ยาก ต้องมีกำลังใจ และสติปัญญา กระทำด้วยความอดทน หมั่นเพียร หากศีลไม่สมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว ก็ป่วยการในอันที่จะไปศึกษาประพฤติปฏิบัติ และเรียนรู้ธรรมในขั้นสูงยิ่งๆ ขึ้นไป


---ถึงเรียนรู้ไปอย่างไร มากมายขนาดไหน ก็เป็นเพียงความรู้จากการจดจำ มิใช่ความรู้แท้ที่เป็นปัญญาญาณ จึงยังไม่สามารถแก้ทุกข์ได้อย่างจริงจัง 


---เมื่อเราไม่ได้สร้างกรรมชั่วขึ้นมาใหม่ด้วย การถือศีลอย่างมั่นคง  ก็นับว่าดีในระดับหนึ่งแล้ว เพราะเมื่อกรรมชั่วที่ไม่ทำเพิ่ม ถึงเวลาส่งผลเราก็รับกรรมนั้นไปตามกฎแห่งกรรม ต้องเจอความลำบากในชีวิต พบกับอุปสรรคต่างๆ นานา เมื่อกรรมนั้นส่งผลจนเสร็จสิ้น กรรมดีที่เราเคยทำมาก็ถึงเวลาส่งผล ชีวิตเราก็ดีขึ้นเพราะกรรมดีก็ต้องส่งผลเช่นกัน ไม่มีอำนาจใดมาห้ามกรรมไม่ให้ส่งผลไม่ได้


---ยิ่งถ้าเราทำกรรมดีเพิ่มมากขึ้น นอกจากจะเกิดผลดีเลิศแล้ว กรรมดีที่เราสร้างที่กลายเป็นบุญใหม่นั้นสำคัญมากในชาตินี้ ที่จะไปช่วยคลายวิบากกรรมไม่ดี ที่ได้รับจากหนักให้เป็นเบา จากที่เบาก็ไม่เกิดผลอะไรเลยกับชีวิต


*ตอนนี้เราก็พร้อมในระดับหนึ่งที่จะรับพลังแห่งบุญแล้ว แต่บุญนั้นเกิดขึ้นเองไม่ได้ ต้องมาจากการสร้างบุญเท่านั้น 


---2.เร่งสร้างบุญใหม่ให้มากพอ


---เชื่อว่าเราคงเคยได้ยิน คำประเภทที่ชอบพูดกันว่า คนบุญน้อย คนไม่มีบุญ หรือคนบุญไม่ถึง ถึงไม่ร่ำรวยเหมือนคนอื่นเสียที เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงแน่นอนตามกฎแห่งกรรม


---ก็ในเมื่อไม่เคยทำกรรมดีสะสมบุญมา แล้วจะเอาบุญที่ไหนมาทำให้ชีวิตมีความสุขได้ จะเอาบุญจากไหนมาทำให้ร่ำรวยได้ หรือจะเอาบุญจากไหนมาช่วยแก้วิบากกรรมไม่ดีที่กำลังเผชิญอยู่ให้คลายตัวหรือ หมดไปได้


---การสร้างบุญใหม่เพื่อชำระล้างสิ่งที่ไม่ดี ที่ยังเกาะฝังแน่นออกไปพวกกิเลสทั้งหลานที่มันเกาะอยู่ทั้งความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอาฆาตแค้นและกรรมชั่วทั้งหลาย ที่ไปตั้งกำแพงต้านบุญที่จะส่งเข้ามา


*บุญนั้น เป็นเครื่องชำระล้างที่ดีที่สุด


---การสร้างบุญใหม่นั้น เป็นทางสำคัญ เพราะในชาตินี้เราไม่มีทางรู้เลยว่า ในอดีตชาติที่ผ่านมาไม่ว่าจะกี่ร้อยชาติพันชาติ เราเคยสร้างบุญและกรรมไว้มากขนาดไหน แต่ที่แน่ๆ เราต้องมีบุญมากพอสมควร เพราะด้วยบุญที่เคยทำมาจึงแต่งให้เรามาเกิดเป็นคนอีกครั้ง เพื่อมาทั้งสร้างบุญบารมีและมาชดใช้กรรมที่ทำมา


---ในภพของมนุษย์นั้นเป็นอีกภพหนึ่ง ที่เป็นภพแห่งความสุข แม้แต่เทวดา นางฟ้า ยังอยากมาเกิดมากที่สุดเลย เพราะเขาอยากจะมาสร้างบุญบารมีต่อ ตามที่ตั้งใจเอาไว้ ในเมื่อเราทุกคนได้มีโอกาสเกิดเป็นคนแล้ว ขอให้ดีใจว่า เราเป็นผู้มีบุญพอสมควร แต่เราไม่รู้ว่าบุญเก่านั้นมีเท่าใดแน่ ขอให้เร่งสร้างบุญใหม่เสีย อย่าไปเสียใจที่เพิ่งรู้ในเรื่องเหล่านี้


---ไม่ว่าจะเคยผิดพลาดมาเท่าใดในชาตินี้ที่ผ่านมา เรามาเริ่มต้นกันได้ใหม่ในทุกนาทีของชีวิต อย่าไปเสียดาย วันเวลาที่ผ่านไป เราอาจจะไปทำกรรมไม่ดีไว้ทั้งที่เจตนาหรือไม่เจตนา เราย้อนเวลากลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว โปรดเอาความผิดพลาดนั้นเป็น ” ครู” เปลี่ยนเคราะห์ เปลี่ยนกรรมนั้น ให้เป็นโชค ให้เป็นโอกาสที่ดี ที่จะไม่ทำอีก


---เพราะเรารู้แล้วว่าไม่ดีและส่งผลอะไรกับชีวิตของเรา อะไรที่เคยทำกรรมชั่วมาก็หยุดเสียตั้งแต่บัดนี้  ไม่มีคำว่า ”สายเกินไป” สำหรับการสร้างบุญ  แม้แต่คนที่กำลังจะตายแม้จิตคิดไปทางกุศล เข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เข้าถึงเส้นทางบุญได้ในวินาทีสุดท้ายของชีวิต ยังได้มีโอกาสไปสวรรค์หรือภพภูมิที่ดี ไม่ตกนรกเลย ดังนั้นขอให้เชื่อเถอะว่า


*บุญคือ ต้นกำเนิดของความสุข ความเจริญ


---คนทำบุญไม่ว่าจะน้อยหรือมากในทุกครั้ง จะมีกระแสบุญที่ทำสำเร็จไปแล้วนั้น อานิสงส์แห่งบุญจะหมุนเวียนอยู่รอบตัว เพื่อที่จะรอส่งผลให้แก่ผุ้กระทำความดีนั้น อานิสงส์บุญนั้นไม่ได้หายไปไหนไม่ว่าจะทำมาตั้งแต่เมื่อใด เมื่อ 2 ปี ก่อน 10 ปี 30 ปีก่อนหรือแม้แต่ในชาติไหนก็ตาม บุญยังอยู่ครบถ้วนทั้งสิ้น


---แต่จะออกผลออกดอกเมื่อใดนั้น ขึ้นอยู่ที่กรรมกำหนดด้วย บอกแล้วว่า คนเรานั้นจะดีจะเลว จะรวยหรืออยากจน จะสมบูรณ์หรือบกพร่อง ขึ้นอยู่ที่กรรมที่ทำมา ที่มีทั้งกรรมเก่าและกรรมใหม่ในชาตินี้รวมกัน ไม่ได้มาจากพระเจ้า เทพเจ้า จากเทวดา นางฟ้า หรือดาวเคราะห์ ดาวหางอะไรมาช่วยทั้งนั้น


*กรรมที่เราทำนั่นแหละจะเป็นผู้ลิขิตชีวิตของเรา


---สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายท่านมีจริงแท้ เทวดามีจริง เทพมีจริง พรหมมีจริง ผีก็มีจริง แต่เราต้องเข้าใจในสถานะของท่านและความสามารถของท่านในแต่ละระดับชั้นด้วย ซึ่งหลายท่านไม่ได้มีหน้าที่จะมาช่วยเหลือหรือบันดาลอะไรแก่คนได้ เราต้องรู้เรื่องเหล่านี้ จะอธิบายแบบละเอียดให้ทราบ ตอนนี้ถือว่าให้รู้แต่เพียงว่าท่านเป็น ”ตัวช่วย” อีกตัวช่วยหนึ่งที่จะทำให้ชีวิตเราดีขึ้นได้ ด้วยวิธีไหน รอไปอ่านในตอนต่อไปในเล่ม อย่าเพิ่งใจร้อน


---อย่างที่บอกไปแล้ว ชีวิตของคนเรานั้นจะยากดีมีจน จะเป็นอย่างไรในชาตินี้อยู่ที่กรรมลิขิตทั้งสิ้น และกรรมใดที่หนักมาก หรือที่เรียกว่า “กรรมหนัก” ที่มีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ถ้ากรรมฝ่ายใดมากกว่าก็จะส่งผลก่อน ตามลำดับ ตามเวลา ตามหน้าที่ เรื่องนี้เป็นกฎแห่งกรรม ที่พระพุทธเจ้าค้นพบและนำมาสั่งสอนเหล่าสรรพสัตว์ ซึ่งมีมาก่อนแล้วในโลก พระพุทธเจ้าไม่ได้ตั้งขึ้นเอง


---อีกทั้งกฎแห่งกรรมนั้นมีความยุติธรรมมาก  เพื่อให้โลกนี้มีความสมดุล ไม่ใช่เป็นกฎที่มนุษย์ตั้งขึ้นแบบกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับอะไร ที่อาจจะเปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกได้ตามกาลเวลาหรือตามอำเภอใจของมนุษย์ตัวเหม็นทั้งหลายที่ชอบทำกัน แบบเมื่อผิดก็พยายามหาข้อยกเว้น หรือหาช่องโหว่เพื่อเอาตัวรอด  


---เชื่อว่าเราคงเคยได้ยินเรื่องคนจนที่ถูกหวยรางวัลใหญ่ ที่มีชีวิตที่ยากจนแสนจนแต่ทำไมถึงถูกรางวัลที่หนึ่ง เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะเขาต้องเคยสร้างบุญใหญ่มาก่อนในอดีตชาติแน่นอน แต่ที่เขาเกิดมายากจน ก็เป็นเพราะนอกจากบุญที่เขามีแล้ว เขายังเคยสร้างกรรมที่ไม่ดีหรือความชั่วไว้ด้วย


---พอมาในชาตินี้ เมื่อกรรมเก่าได้รับการชดใช้จนลดขนาดลงในการส่งผลในชีวิต ก็เป็นคราวของบุญที่ออกมาแสดงผล ประจวบกับในชาตินี้เขาเพียรสร้างกรรมดีเป็นบุญใหม่ เมื่อบุญเก่ากับบุญใหม่มารวมกัน ก็ได้เรื่อง ผลก็คือ ได้รับโชคลาภที่มาจากกรรมดีที่เคยทำมา รวยกันเละเทะครับ


---แต่ในบางคนการถูกหวยนั้นนำมาด้วยความทุกข์ ต้องหลบต้องซ่อน เพราะมีคนตามมาขอเงินกันวุ่นวาย เรียกว่าเป็น “ทุกขลาภ” เป็นบุญที่มีวิบากกรรมไม่ดีมาส่งผลพร้อมๆ กัน มีกำลังเท่าๆ กัน หรือทำบุญผสมบาปมาด้วยพอๆ กัน แต่มีหลายคนที่ถูกหวยแล้วสบาย มีสติ มีกรรมดีหนุนต่อเนื่องจึงไม่มีใครมาขอแบ่งเงินที่ได้มา เพราะเขามีบุญมากกว่าวิบากกรรมไม่ดี


---คนที่จะรวยได้ ขอให้จำไว้เลยว่า ต้องมีทั้งบุญเก่าและบุญใหม่มารวมกัน เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป ที่เกิดมายากจนแสนจนในตอนต้น แต่ไม่ยอมจำนนต่อกรรมเก่า คนแบบนี้มีพื้นฐานที่จะรวยได้ในเวลาอันใกล้


---เพราะถึงจะรู้ว่ามีกรรมเก่ามาเล่นงาน แต่ก็ไม่ยอมงอมืองอเท้า รอกรรมเก่ามาเล่นงานฝ่ายเดียว เร่งเพียรสร้างบุญ สร้างความดีอย่างต่อเนื่อง บุญกุศลที่ทำไม่ได้หายไปไหนรอส่งผลอยู่ เมื่อกรรมเก่าคลายลง บุญที่เคยทำมาก็ออกดอกออกผล บั้นปลายเขาถึงร่ำรวยได้ จับอะไรเป็นเงินเป็นทองไปหมด คนพวกนี้ในทางพระเขาเรียกว่า มามืดไปสว่าง


---เพื่อความไม่ประมาทนั้น ครูบาอาจารย์ท่านจะพยายามสอนให้คนเร่งสร้างบุญของตัวเองให้มากพอ สอนเรื่องบันได 3 ขั้น ที่เริ่มด้วยจากการให้ทาน การถือศีล และการเจริญภาวนา ตามลำดับ


---การให้ทานนั้น มีอานิสงส์บุญน้อยกว่าการถือศีล และการถือศีลนั้นได้บุญน้อยกว่าการเจริญภาวนา ในศาสนาพุทธที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์พระศาสดานั้น ได้ทรงสั่งสอนสัตว์โลกไว้ว่า ในการสร้างบุญที่ถูกวิธี ถูกต้องนั้น รวมเรียกว่า “บุญกิริยาวัตถุ 10” ขออธิบายให้เข้าใจง่ายๆ สั้นๆ ว่าใน 10 ข้อนั้นมีอะไรบ้าง


---1.ด้วยการบริจาคทาน 2. ด้วยการรักษาศีล 3. ด้วยการภาวนา 4. ด้วยการอ่อนน้อมถ่อมตน 5. ด้วยการช่วยขวนขวายทำในกิจที่ชอบ 6. ด้วยการเฉลี่ยส่วนความดีให้ผู้อื่น 7. ด้วยความยินดีความดีของผู้อื่น 8. ด้วยการฟังธรรม 9. ด้วยการสั่งสอนธรรม 10. ด้วยการทำความเห็นให้ตรง


---ทั้ง 10 ช่องทางนี้เป็นช่องทางแห่งบุญทั้งสิ้น ซึ่งมีโอกาสจะทำได้อยู่ตลอดเวลา มีเพียงข้อแรกข้อเดียวที่ต้องใช้เงิน เพราะเป็นการบริจาคทาน เป็นการใช้วัตถุทาน ที่เหลืออีก 9 ข้อนั้นไม่ต้องใช้เงินแม้แต่บาทเดียว


---อยากจะขอแนะนำไว้สักนิดว่า ถ้าอยากจะรวยเร็วๆ ทำตัวเองให้มีบุญมากพอเสียก่อน เหมือนเปิดประตูชีวิตให้กว้างที่สุด เพื่อรองรับเงินทอง ความสุขในชีวิตที่จะไหลเข้ามาแบบไม่หยุดยั้ง



---อยากรวยต้องเร่งทำบุญก่อน  ไม่มีเงินไม่ต้องกลัว พยายามทำตั้งแต่ข้อ 2-9 ให้ได้ รับรองว่าเตรียมตัวรวยกันได้เลย และที่สำคัญยิ่งมีการให้วัตถุทานด้วยแล้วก็จะเร็วขึ้น


---เพราะการให้นั้น เป็นหัวใจสำคัญแห่งความรวย จริงๆ  คนที่รู้จักการให้ ยิ่งให้จะยิ่งได้รับตอบแทน เป็นกฎแห่งกรรมและกฎแห่งธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่


*เคล็ดลับการสร้างทานหนุนให้รวยทันตาเห็น


---เรื่องนี้เป็นเมตตาของครูบาอาจารย์คนสำคัญของเมืองไทย ที่สอนไว้ว่า คนใดก็ตามที่อยากมีความสุข เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน ขจัดทุกอุปสรรคและวิบากกรรมไม่ดี หมั่นทำทาน 3 อย่างเป็นสำคัญคือ วัตถุทาน ธรรมทาน และอภัยทาน ที่สำคัญมาก


*แต่หัวใจสำคัญก่อนที่จะทำทานให้เกิดบุญมากนั้น ต้องสมาทานและรักษาศีล 5 ทุกครั้ง


---ก่อนที่จะทำทาน เพื่อที่จะทำให้ตัวเองนั้นเป็นผู้ให้ที่บริสุทธิ์มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  เพราะก่อนหน้านั้นไม่ว่าจะกี่ชั่วโมง กี่นาทีที่ผ่านมาเราอาจจะประมาทพลั้งเผลอไปสร้างกรรมไม่ดีมาทั้งที่ตั้งใจ และไม่ตั้งใจ เรื่องนี้มีสิทธิ์เป็นไปได้มาก


---เพราะมโนกรรมหรือกรรมที่เกิดทางใจนั้นเร็วมาก แค่คิดผิดทาง ผิดศีลก็เกิดกรรมไม่ดีแล้ว  ซึ่งในบางครั้งอาจจะไม่ได้เจตนาจะทำแบบนั้น แต่ผลกรรมที่เคยทำมาบีบให้คิดแบบนั้น จะขอยกตัวอย่างให้ฟังเรื่องหนึ่ง


---มีครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งที่เป็นพระอริยสงฆ์ ที่ปฏิบัติมามากท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่า ในบางครั้ง ท่านเห็นคนที่มาทำบุญนั้น สลับรูปกัน เดี๋ยวเป็นคน เดี๋ยวเป็นหมา เดี๋ยวเป็นแมว เพราะกรรมเก่าที่ติดตัวมา ในอดีตชาติเคยเกิดเป็นหมา เป็นแมว มีกามราคะมาก ทั้งๆ ที่ชาตินี้ มีบุญมากพอสมควรถึงเกิดเป็นคนได้แล้ว แต่กรรมเก่ายังไม่หมด


---ผู้หญิงที่มาทำบุญคนนี้ ในแต่ละย่างก้าวที่เดินเข้าเขตวัด จิตมีทั้งจิตตก คิดฟุ้งซ่าน เห็นอะไรเป็นวกเข้าเรื่องลามกไปเสียหมด เห็นคนหน้าตาดีๆ เห็นหน้าพระสงฆ์หรือเห็นอะไรก็วกไปคิดอะไรที่เป็นเรื่องที่ต่ำ แต่แวบเดียวจิตก็ดึงกลับมาเป็นกุศล


---บางก้าวก็จิตตกคิดไปอีกว่า มาทำบุญวันนี้จะได้บุญจริงหรือ หรือพระที่มารับบุญ เป็นผู้รับนั้นบริสุทธิ์ เป็นพระปลอมหรือพระจริง  สลับไปมาแบบนี้ จิตนั้นได้สร้างกรรมไม่ดีขึ้นมาเพราะไม่ตั้งใจ ไม่เจตนา แต่เพราะกรรมเก่าฝ่ายไม่ดีมาส่งผล มาขวางทางบุญที่กำลังจะเกิด


---บางครั้งเป็นเพราะเจ้ากรรมนายเวรเขามาดลใจ ให้คิดชั่ว คิดต่ำแบบนี้ เพราะเขาไม่อยากให้ลูกหนี้คนนี้ได้สร้างบุญกุศล เพราะด้วยบุญที่ลูกหนี้ทำ จะทำให้ลูกหนี้มีบุญมากและอาจจะหนีกรรมไม่ต้องชดใช้กรรมเขาในชาตินี้


*ดังนั้นเพื่อที่จะทำให้การทำบุญ ทำทานทุกครั้งมีบุญมาก ต้องสมาทานศีล 5 ทุกครั้งอย่าลืมเป็นอันขาด ขอย้ำอีกครั้ง


---ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่า ควรสมาทานศีล 5 ทุกวันในตอนตื่นขึ้นมา และในระหว่างวันพยายามรักษาศีลนั้นให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้  หมั่นพิจารณาอย่าให้ศีลขาดหรือบกพร่อง ถ้าศีลข้อใดขาดด้วยเหตุใดก็ตามให้สมาทานศีลข้อนั้นใหม่


---ก่อนนอนทุกวันให้ตรวจตราพิจารณาว่า ในระหว่างวันนั้นศีล 5 ของเราครบถ้วนดีหรือไม่ ถ้ายังขาดตกบกพร่องอีก พยายามใช้ปัญญาให้มากในการรักษาศีลนั้นให้ครบถ้วน แล้วสมาทานศีล 5 ก่อนที่จะหลับไป คำที่ใช้จะใช้คำบาลีหรือภาษาง่ายๆ ก็ได้เช่น ข้อหนึ่งไม่ฆ่าสัตว์ ข้อสองไม่ลักทรัพย์ ข้อสามไม่ผิดกาเม ข้อสี่ไม่โกหก ไม่พูดเพ้อเจ้อ ข้อห้าไม่ดื่มของเมาทั้งปวง หัวใจสำคัญในการสมาทานเราต้องปักจิตลงไปให้มั่นว่าเราจะไม่ทำ เราจะไม่ละเมิดเท่าที่ทำได้ ถือว่าเป็นการตั้งสัจจะที่มีบุญมากด้วย


---เพียงเท่านี้ มหัศจรรย์แห่งบุญจะบังเกิดขึ้นกับทุกท่านที่ได้ทำอย่างแน่นอน และขอยืนยันด้วยตนเองว่า ได้พิสูจน์มาแล้วจากที่เคยทุกข์ เคยจน ก็ได้พบกับทางสว่าง เวลามีปัญหาก็มีคนมาช่วยด้วยความอัศจรรย์ มีเงินทองไม่เคยขาดมือเลยทุกวันนี้ อยากให้ทุกท่านลองทำ หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไปนัก.




 

 

 ................................................................................






ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล

รวบรวมโดย...แสงธรรม

อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 30 กันยายน 2558

แก้ไขแล้ว ป.


Tags :

0 ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

*

*

view

ประวัติต่างๆ

ประวัติวัดเขาไกรลาศ

ประวัติของหลวงพ่อเทียน=คลิป

มาเช็คชื่อ-เช็คสกุลกันดีกว่า=คลิป

ประวัติพระอธิการชิติสรรค์ จิรวฑฺฒโน=คลิป

ขอเชิญผู้ร่วมบุญสร้างอาศรมเสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก

ประวัติหลวงปู่เทพโลกอุดร

ประวัติฝ่าพระหัตถ์ของพระพุทธองค์

ประวัติของนางวิสาขา=คลิป

ประวัติของอนาถปิณฑิกเศรษฐี=คลิป

ประวัติของเศรษฐีขี้เหนียว

ประวัติเหตุทำบุญที่ช้า=คลิป

ประวัติของผู้ร่วมบุญ=คลิป

ประวัติของพระไตรปิฎก=คลิป

ประวัติการสร้างพระพุทธรูปและพระเจ้า ๕ พระองค์

ประวัติง้วนดิน

ประวัติปู่ฤาษีนารอท

ประวัติพระปางมหาจักรพรรดิ์ ทรงปราบพระเจ้ามหาชมพูบดี

ประวัตินางห้าม..แห่งขอมโบราณ

ประวัติพญานาค

ความรู้และรายละเอียดพุทธเจดีย์

พระมหาโพธิสัตว์

สาระธรรม

ธรรมะส่องใจ

อานิสงส์แต่ละอย่าง

ประเพณีต่างๆ

ตำนานทั่วไป

สาระน่ารู้

ปกิณกะธรรม

วัตถุมงคล-สาระอื่นๆ

ข้อมูลทั่วไป

ปฎิทิน

« April 2024»
SMTWTFS
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930    

สมาชิก

ลืมรหัสผ่าน?
สมัครสมาชิก

สถิติ

เปิดเว็บ20/06/2011
อัพเดท20/04/2024
ผู้เข้าชม6,690,740
เปิดเพจ10,465,663
สินค้าทั้งหมด8

 หน้าแรก

 บทความ

 เว็บบอร์ด

 รวมรูปภาพ

 พระบรมสารีริกธาตุ

 โจโฉ รวมเสียงธรรม

 เฟสบุ๊ค

ติดต่อเรา-

view