การตรวจพลังในวัตถุมงคล
โดยหมอพล (พ. ธรรมรังสี)
---การตรวจพลังในวัตถุมงคลนั้น เรียกว่า วิชชา "กายหัตถรังสี" หรือ วิชชา "เดินจิต" ต้องรู้หลักในการกำหนดจิต ส่งจิตและอธิษฐานจิตด้วยอุปจารสมาธิ หากชำนาญเป็น "วสีภาวะ" จะสามารถรู้ได้อย่างรวดเร็วและละเอียดลึกซึ้ง สามารถรู้ถึงพิธีกรรมการปลุกเสกหรือการอธิษฐานจิตของครูบาอาจารย์ได้ สามารถเห็นรัศมี ที่อยู่ภายในวัตถุนั้นๆได้ ไม่ว่าจะเป็นพระเครื่อง พระบูชา หรือเครื่องรางของขลังใดๆ และจะเห็น "รูปนิมิต" ที่สถิตอยู่ภายใน หากปลุกเสกด้วย การตั้งองค์พระ หรือ การตั้งธาตุ เรียกรูปเรียกนามตามสายวิชชา อาจครอบด้วย "นวหรคุณ" หรือ วิมานแก้วพระพุทธเจ้า ตาข่ายเพชร เกราะเพชร มงกุฎเพชร จักรแก้วพระพุทธเจ้า ฯลฯ ดังนี้เป็นต้น
---แต่หากเพียงแค่ทำการอธิษฐานจิตด้วยบารมี ก็จะเห็นแต่เพียง รังสีสว่าง สีขาวนวล อันเป็นผลรวมของรังสีทั้งเจ็ด คลื่นความถี่บ้าง ก็มีรังสีต่างๆ กันไป แต่จะไม่มีรูปนิมิตใดๆ ปรากฏ ยกเว้นจะมีการเสกทั้งสองรูปแบบ จึงจะปรากฏทั้งรูปนิมิตและรังสี การตรวจพลังในองค์พระอย่างง่ายๆ ก็คือ ใช้นิ้วชี้ นิ้วโป้ง และนิ้วกลาง (มือซ้ายจะดีกว่ามือขวา เพราะสัมพันธ์กับสมองซีกขวา อันเป็นด้านของพลังจิต) จับสัมผัสองค์พระเบาๆ กำหนดจิตให้นิ่ง แล้วสังเกตถึงกระแส พลังที่แล่นเข้ามาในตัว หากมีกระแสรุนแรง จนขนลุกชันทั้งตัว หรือท่วมศรีษะ แสดงว่ามีพลังสูงมาก กระแสที่เยือกเย็น คือ พลังแห่งเมตตา กระแสที่คลุมทั้งตัว คือ คุ้มครอง กระแสที่ทำให้ผิวหนังตึงไปทั้งตัว จนอาจถึงชา คือ คงกระพันจนถึงชาตรี กระแสที่แผ่ออกไปรอบๆ ตัว คือ แคล้วคลาดปัดตลอด (ถ้าจะฝึกจับครั้งแรก ต้องเป็นพระที่มีพลังแรงๆ จึงจะสังเกตรู้ได้ง่ายกว่า) ซึ่งวิธีนี้หากเราเดินพลังย้อนเข้ามาในตัว จะสามารถกักเก็บพลังในองค์พระได้ เป็นการปรับกระแสคลื่นความถี่หรือพลังรัศมีกายทิพย์ของเราให้สว่างขึ้นชั่วขณะหนึ่ง
---หลวงปู่ดู่ กล่าวว่า เป็นการเรียกพระเข้าตัว โดยที่พลังในองค์พระหรือวัตถุมงคลนั้น ๆ ไม่ได้หายไป เป็นส่วนหนึ่งของ "วิชชาเดินจิต" หรือ จะเรียกว่าเป็น "วิชชามหาเวทย์ดูดดาว" ก็ได้ ถ้าจะให้พลังอยู่คงทนยาวนาน ต้องมีคาถากำกับหรือมีสมาธิจิตที่มั่นคง ช่วยให้ "จักระ" ภายในตัวเปิดออก หากพลังสะสมได้ถึงระดับ จะเกิด "ตาที่สาม" ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ และสามารถดึงเอาพลังงานในอากาศและจักรวาลเข้ามาในตัวได้ตลอดเวลา (พลังปราณ หรือ พลังจักรวาล หรือพลังธาตุบริสุทธิ์...หรือแม้กระทั่ง "พลังงานแห่งคุณพระรัตน ตรัย") และยังมีวิธีตรวจสอบอานุภาพในองค์พระอีกหลายวิธี เช่น การตรวจด้วยกายทวาร (เอามือกำพระ แล้วบริกรรมคาถาอัญเชิญมือจะยกลอยขึ้นเอง แล้วมีท่าต่างๆ ปรากฏ) การวัดคืบ (นำพระมาวางบนมือ แล้วบริการรมคาถา ทำการวัดคืบ ถ้าพระนั้นดีจะวัดไม่ถึงความยาวของมือตามปกติ ดูเหมือนมือนั้นยืดออกได้) ผมเองเมื่อก่อนนั้น ชอบศึกษาและสะสมพระเครื่องมาก มาตอนนี้ลดละปล่อยวางไปมากแล้ว จะมีเฉพาะของครูบาอาจารย์ที่เคารพนับถือมากๆ เท่านั้น และที่เขียนมาทั้งหมดนี้ ไม่ประสงค์จะให้ทุกท่านเกิดความงมงายหรือความยึดติดในวัตถุแต่ประการใด เพียงแต่ต้องการชี้แจง แสดงเหตุและผลในศาสตร์เหล่านี้เท่านั้น
---ส่วน "คุณพระรัตนตรัย" นั้นถือเป็นสิ่งสูงสุด "ธรรมะ" นั้น ถือเป็นเรื่องที่ควรนำมาใส่ใจมากที่สุด และ การศึกษาพระเครื่องที่ถูกต้อง ก็คือ ต้องศึกษาทั้งในส่วนของ"รูปธรรม" (ทั้งเนื้อหามวลสาร ความเก่า จุดตำหนิและพิมพ์ทรง) และศึกษาในส่วนของ "นามธรรม" ดังที่กล่าวมาแล้วนั้นแล.
*อ่านจบกรุณาลบ "อคติ" ออกให้หมดนะครับ
---และหวังว่าคงได้รับประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ ส่วนตัวผมเองนั้น ศึกษาพระเครื่องมาตั้งแต่อายุ 12 (เริ่มปฏิบัติด้วย) อ่านหนังสือพระเครื่องเล่มเก่าๆ มาแทบทุกเล่ม (หนังสือใหม่ๆ มีแต่โฆษณาซะเยอะ) ฉะนั้น จึงรู้จักแต่พระเก่าๆ พระใหม่ๆ ไม่ค่อยจะรู้ ถ้าตำราและพระเครื่องรุ่นเก่ามีมาตรฐานเดียวกันผมก็มั่นใจว่า ผมพอจะดูได้บ้างครับ โดยที่ไม่ต้องจับพลัง...
*หากยังมีข้อสงสัยประการใด ยินดีสนทนาด้วยไมตรีจิต 087-411-7018 หมอพล จ. เชียงใหม่ (พ.ธรรมรังสี)
*ปล. อนึ่ง ท่านที่จะฝึก กรุณาระวังอุปาทานให้มากๆ ด้วย ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้
---หมายเหตุ (เป็นความเชื่อในส่วนบุคคล) ผมฝึกตามแนวสายวิชชาพรหมศาสตร์ ผนวกกับวิชชามโนมยิทธิของวัดท่าซุง กับ วิชชาตั้งองค์พระของหลวงปู่ดู่-หลวงปู่ทวด และวิชชาครอบจักรวาลของหลวงปู่ใหญ่ สายอื่นผมไม่ทราบจริง ๆ ครับ ต้องกราบขออภัยด้วย...
..............................ขอขอบคุณท่านหมอพล เป็นอย่างสูงครับ...........................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 29 กันยายน 2558
แก้ไขแล้ว ป.
0 ความคิดเห็น