/music/.mp3 http://www.watkaokrailas.com
สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com

 หน้าแรก

 บทความ

 เว็บบอร์ด

 รวมรูปภาพ

 พระบรมสารีริกธาตุ

 โจโฉ รวมเสียงธรรม

 เฟสบุ๊ค

 ติดต่อเรา-แผนที่

ยาที่พระพุทธองค์ทรงช่วย=คลิป

ยาที่พระพุทธองค์ทรงช่วย=คลิป

การดื่มน้ำปัสสาวะรักษาโรค








---น้ำปัสสาวะบรรเทาโรค ธรรมะโอสถสูตรโบราณกาล   น้ำปัสสาวะดื่มได้มีสารให้ความชุ่มชื้นหรือมอยเจอร์ไรเซอร์ สารละลายลิ่มเลือดในหัวใจ


---พระสงฆ์จากชุมพรชี้น้ำปัสสาวะรักษาโรคมีบัญญัติไว้ตั้งแต่สมัยพุทธกาล วิธีดื่มให้ดองสมอไทย สมอพิเภก รักษาอาการผอมแห้งแรงน้อย ตัวเหลือง แพทย์ธรรมชาติบำบัดระบุ มีการจัดประชุมเรื่องน้ำปัสสาวะระดับโลกมาแล้วถึง 3 ครั้ง ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตบอกชัดรักษาโรคได้สารพัด ขณะที่เจ้าของสวนปาล์ม จังหวัดชุมพร เผยประสบการณ์ดื่มปัสสาวะกว่า 2 ปี รสชาติบอกภาวะสุขภาพได้ ถ้าเปรี้ยวเป็นผลจากรับประทานอาหาร มีสารกันบูด รสขมกินอาหารมีสารพิษตกค้าง รสเค็ม เกิดจากการดื่มน้ำสะอาดน้อย

---อย่างไรก็ตาม น้ำปัสสาวะรักษาโรค ยังไม่มีข้อสรุปทางวิชาการมายืนยัน เรียกร้องนักวิชาการทำการวิจัย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกจัดเสวนา เรื่อง “น้ำปัสสาวะรักษาโรค” พระดุษฎี เมอังกุโร สำนักสงฆ์ทุ่งไผ่ จังหวัดชุมพร กล่าวว่า การดื่มน้ำปัสสาวะรักษาโรค มีตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ในพระธรรมวินัย เป็นแนวทางยังชีพของพระสงฆ์เรียกว่า นิสัย 4 ได้แก่


---1.ต้องนุ่งห่มด้วยผ้า 3 ชิ้น นำมาจากผ้าห่อศพ ผ้าบังสุกุล เป็นผ้าที่ไม่มีราคา นำมาทำความสะอาด  ตัดเย็บอย่างง่าย ๆ ไม่มีราคา ตัดปัญหาเรื่องถูกลักขโมย



---2.อาศัยอยู่โคนต้นไม้ ได้รับอากาศบริสุทธิ์



---3.ฉันอาหารที่ได้จากการบิณฑบาตรเท่านั้น การเดินเท้าเปล่าในยามเช้าได้รับแสงแดดและเป็นการนวดเท้าไปในตัว



---4.ฉันน้ำมูต (น้ำปัสสาวะ) เมื่ออาพาท เจ็บป่วย โดยนิสัย 4 กำหนดไว้ชัดเจนในพระไตรปิฏก

---“ในสมัยพุทธกาลเขียนไว้ว่า พระสงฆ์ที่ผอมเหลืองให้ฉันน้ำมูตโค คืออินเดียเขานับถือวัว นำน้ำปัสสาวะวัวมาดองสมอไทย สมอพิเภก ฉันรักษาอาการอาพาท แต่พระสายวัดป่าเวลาธุดงค์ จะได้รับการสั่งสอนให้รู้จักนำสมุนไพรมาใช้ในการรักษาโรค อย่างไข้ป่าหรือไข้มาลาเรีย ฉันสมุนไพรแล้วก็นั่งสมาธิ ทำจิตแน่วแน่ ไม่หายก็ตาย พระธุดงค์ผ่านโรคนี้ได้ ถือว่าเป็นพระที่ผ่านภาวะวิกฤต มีความเข้มแข็ง มีสภาวะจิตที่แข็งแกร่ง ด้านเภสัชบริขาลไม่ได้เขียนไว้มากนัก” พระดุษฎีกล่าว



---พระดุษฎี กล่าวด้วยว่า ที่สำนักสงฆ์ทุ่งไผ่ มีพระสงฆ์และฆราวาสจำนวนหนึ่งที่ดื่มน้ำปัสสาวะตนเองรักษาอาการเจ็บป่วย เช่น อาการปวดเมื่อยจากการทำงานหนัก อีกทั้งการดื่มน้ำปัสสาวะเป็นการ “วัดใจ” เพราะกลิ่นของปัสสาวะแต่ละคนมีความรุนแรงแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับอาหารที่รับประทาน หากกินเนื้อ ชา กาแฟ เบียร์ ดื่มน้ำสะอาดน้อย จะส่งผลต่อรสชาด ถ้ากินอาหารโปรตีนน้อย ดื่มน้ำมาก กลิ่นของปัสสาวะจะไม่แรง ส่วนตัวเห็นว่าการดื่มน้ำปัสสาวะไม่น่าเสียหาย เพราะไม่ต้องเสียเงินซื้อ การที่หมอแผนปัจจุบันไม่สนับสนุนอาจเป็นเพราะหมอยังไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของปัสสาวะ หมอเลือกพูดแต่สิ่งที่ตัวเองรู้  ขณะที่สังคมไทยเป็นสังคมที่เชื่อผู้เชี่ยวชาญ จึงขาดโอกาสที่จะบำบัดด้วยธรรมะโอสถ




*การดื่มน้ำปัสสาวะรักษาโรค ถือเป็นทางเลือกหนึ่งในการดูแลสุขภาพ บำบัดโรคปวดเรื้อรัง แผลไฟไหม้พุพอง มะเร็ง เบาหวาน ฯลฯ



---โดยใช้หลัก "พิษต้านพิษ" คล้ายกับการฉีดเซรุ่มถอนพิษงู ย้ำต้องดื่มน้ำปัสสาวะของตนเองเท่านั้น ใช้ควบคู่กับการแพทย์แผนปัจจุบัน  ด้าน น.พ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล เจ้าของศูนย์ธรรมชาติบำบัดแห่งหนึ่ง กล่าวว่า จากการค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต พบว่า มีการประชุมระดับโลก เกี่ยวกับน้ำปัสสาวะรักษาโรคแล้ว 3 ครั้ง ที่อินเดีย เยอรมนีและบราซิล มีการรายงาน น้ำปัสสาวะรักษาอาการปวดข้อ ไมเกรน ภูมิแพ้ โรคเอสแอลอี โรคปวดข้อรูมาตอยด์ แผลไฟไหม้ เบาหวาน มะเร็งลำไส้ใหญ่ ทารักษาเชื้อราตามผิวหนัง สวนล้างช่องคลอดแก้อาการตกขาว


---รักษาอาการปวดเรื้อรัง เช่น ปวดหลัง ปวดข้อ ปวดไมเกรน ปวดเมื่อยไม่มีสาเหตุ รักษาโรคภูมิแพ้ ผื่นคัน สะเก็ดเงิน มะเร็ง ลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง ใช้ผ้าชุบน้ำปัสสาวะปิดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ส่วนประกอบของปัสสาวะเป็นน้ำร้อยละ 95 ยูเรียร้อยละ 2.5 และสารอื่น ๆ อีกร้อยละ 2.5 การใช้น้ำปัสสาวะบำบัดโรค อธิบายได้ด้วยหลักฮีโมโอพาธี หรือหลักพิษต้านพิษ เช่น ฉีดพิษงูทีละน้อย ๆ เข้ากระแสเลือดม้าจนได้ซีรั่ม  หรือน้ำเหลืองม้ากลายเป็นเซรุ่มฉีดแก้พิษงู นำพิษของต้นควินินที่ทำให้หนาวสั่นมาเป็นยารักษาไข้มาลาเรียหรือไข้จับสั่น


---"หลวงปู่โง่น ซึ่งเป็นพระนักปฏิบัติ มีอายุยืนยาว ท่านก็ใช้น้ำปัสสาวะบำบัด มีประชาชนที่อยู่ใกล้วัดของพระดุษฎี เมธังกุโร จังหวัดชุมพร เลื่อมใสศรัทธาดื่มน้ำปัสสาวะบำบัดโรคเหมือนกัน เขาก็สุขสบายดี ในภาวะที่คนเรายากจน โครงการ 30 บาท งบประมาณก็ไม่พอ เศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนพึ่งตนเองได้ การดื่มน้ำปัสสาวะบำบัดโรคเป็นการดื่มด้วยความสมัครใจ ไม่มีใครบังคับได้ ไม่มีธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องเหมือนยา หรือวิตามิน เพราะต้องดื่มน้ำปัสสาวะของตัวเองเท่านั้น" นพ.บรรจบ กล่าว



---นพ.บรรจบ กล่าวย้ำว่า ปัจจุบันยังไม่มีรายงานวิจัยเกี่ยวกับพิษ หรือโทษของการดื่มน้ำปัสสาวะในประเทศไทย ผู้ที่บอกว่าดื่มน้ำปัสสาวะระวังโรคไต เพราะปัสสาวะเป็นของเสียที่ขับออกจากร่างกายนั้น ผู้ที่พูดลักษณะนี้ควรมีหลักฐานมายืนยันด้วย



---อย่างไรก็ตาม น้ำปัสสาวะบำบัดโรคเป็นแค่ทางเลือกหนึ่งในการดูแลสุขภาพเท่านั้น ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน มะเร็ง ต้องรักษาด้วยการแพทย์ปัจจุบัน ปรับพฤติกรรม คือ หากต้องผ่าตัดก็ต้องผ่าตัดเนื้อร้ายออก มีข้อควรระวังคือ อย่าดื่มน้ำปัสสาวะของคนอื่น ผู้ที่มีโรคระบบทางเดินปัสสาวะ มีประจำเดือน ไม่ควรดื่มน้ำปัสสาวะ เพราะอาจมีเชื้อโรคติดมาด้วย


---"ชาวจีนมีความเชื่อว่า ดื่มน้ำปัสสาวะเด็กผู้ชายสำหรับคนอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หลักการแพทย์พื้นบ้านไทย ใช้น้ำปัสสาวะเป็นยาดอง เพื่อปรุงโอสถ เช่น ดองสมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม เป็นยาอายุวัฒนะ" นพ.บรรจบ กล่าว.



---“หมออยากให้มองน้ำปัสสาวะรักษาโรค เป็นแบบองค์รวมทั้งทางกายและทางจิต คนที่เจ็บป่วยเป็นมะเร็งหรือโรคเรื้อรังอื่น ๆ ก็ต้องไปหาหมอ พิจารณาการดื่มน้ำปัสสาวะเป็นทางเลือกเสริม” น.พ.บรรจบ กล่าว



---น.พ.บรรจบ กล่าวด้วยว่า ในต่างประเทศมีการวิเคราะห์น้ำปัสสาวะ พบว่า ประกอบด้วยน้ำร้อยละ 95 ยูเรียร้อยละ 2 ที่เหลือเป็นสารอื่น ๆ ข้อมูลทางวิชาการที่หาได้จากอินเตอร์เน็ตระบุว่า ยูเรียในปริมาณที่เหมาะสมเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็ง แต่หากมีมากจะทำให้เกิดโรคเก๊าท์



---ส่วนที่เป็นสารอื่น ๆ มีทั้งฮอร์โมนและสารเคมีกระตุ้นการเจริญเติบโต น้ำปัสสาวะมีสารให้ความชุ่มชื้นหรือมอยเจอร์ไรเซอร์ สารละลายลิ่มเลือดในหัวใจ เรียกว่า ยูโรไคเนส บริษัทยาในสหรัฐได้ตั้งจุดเก็บกักน้ำปัสสาวะกว่า 10,000 แห่ง นำน้ำปัสสาวะ 40 ล้านแกลลอนมาสกัดเอาสารยูโรไคเนส ได้ 40 แกลลอน สกัดส่งขายทั่วโลกตั้งแต่ปี ค.ศ.1989 สารตัวนี้มีมูลค่าการตลาดประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี นอกจากนั้นยังพบสารอิเล็กโตรพล็อยติน กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง มีฮอร์โมนเมลาโตนินทำให้นอนหลับดี



---“ช่วงที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุข ออกมาห้าม เตือน อันตรายจากการดื่มน้ำปัสสาวะ ก่อนที่จะเตือนประชาชนหรือห้ามนั้น หน่วยงานของรัฐควรมีข้อมูลที่ชัดเจนก่อน หากไม่มีข้อมูลแต่ห้ามเลย เป็นการปิดทางเลือกของประชาชนหรือไม่” น.พ.บรรจบกล่าว.


*โอสถวิเศษของพระพุทธเจ้า รักษาโรคร้าย


---โรคมะเร็งซึ่งถือกันว่าเป็นโรคร้ายแรงในยุคปัจจุบัน ได้ถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน ว่ามีโครงสร้างของโมเลกุลเป็นอย่างไร ทำให้สามารถตรวจสอบอาการของมะเร็งได้ง่ายขึ้น เพราะเมื่อพบโมเลกุลของเซลล์ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายว่าเป็นโมเลกุลของมะเร็งแล้ว ก็รู้ได้โดยง่ายว่าเป็นมะเร็ง



---พวกฝรั่งเขาเก่ง โฆษณาเก่ง อะไรๆ ก็อ้างว่าเป็นผู้คิด ผู้รู้ หรือเป็นผู้พบ แล้วเหมารวมเอาว่าเป็นภูมิปัญญาของฝรั่ง อย่างดินปืนหรือเข็มทิศนั่นประไร คนจีนเขาคิดได้ก่อนร่วมสองพันปี ฝรั่งเอาไปพัฒนาแล้วอ้างเอาว่าเป็นต้นคิด แม้กระทั่งปืนกลอะไรนั่น ความจริงขงเบ้งได้คิดใช้ก่อนแล้วตั้งแต่เกือบสองพันปี ดังที่มีเรื่องราวปรากฏอยู่ในสามก๊ก



---เซรุ่มหรือวัคซีนในการรักษาป้องกันโรคและพิษหลายอย่าง ฝรั่งก็อ้างผูกขาดเอาว่าเป็นต้นคิด ทั้งๆ ที่ความจริงแนวความคิดในการผลิตเซรุ่มหรือวัคซีนไม่ใช่เรื่องใหม่ หากเป็นเรื่องที่มีมานานแล้วอย่างน้อยก็สองพันกว่าปี อันเซรุ่มหรือวัคซีนนั้น หลักการอันเป็นแนวคิดก็คือการใช้พิษฆ่าพิษหรือข่มพิษ มีการเอาพิษหรือเชื้อโรคไปบ่มไปเพาะ แล้วนำไปใช้ในการป้องกันหรือรักษาพิษหรือโรค



---ฝรั่งคิดเรื่องนี้ได้ในระยะเพียงประมาณไม่กี่ร้อยปีมานี้ แต่จีนคิดและใช้ความรู้เกี่ยวกับพิษข่มพิษหรือใช้พิษแก้พิษมาร่วมสองพันปีแล้ว ยาแผนโบราณของจีนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจำนวนมาก ล้วนได้ใช้หลักพิษข่มพิษหรือพิษแก้พิษ  ฝรั่งเคยเอายาจีนไปพิสูจน์ แล้วออกข่าวโวยวายว่าเป็นยาที่กินไม่ได้เพราะมีสารพิษเจือปน ก็เพราะนัยดังกล่าวนี้เอง ทั้งๆ ที่ในการใช้บำบัดรักษาจริงๆ แล้ว สามารถใช้ได้ผลเป็นอย่างดี



---ดังเช่นยารักษาโรคมะเร็งตับ มะเร็งกระเพาะลำไส้ ที่มีชื่อว่าเปี่ยนเซฮวง หรือเพี้ยนจื่อ หวัง หากเอาไปพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ก็จะพบว่ามีสารพิษบางอย่างซึ่งฝรั่งถือว่าใช้ไม่ได้ แต่ในการใช้บำบัดรักษาผู้เป็นโรคมะเร็งในหลายประเทศทั่วโลกปรากฏว่าใช้ได้ผลดี พรรคพวกคนหนึ่งเป็นโรคไวรัสบีที่ตับ ตัวเหลืองซีด เดินไม่ได้ กินไม่ได้  อีกไม่นานก็จะตายแล้ว แต่พอได้กินยาดังกล่าวเข้าประมาณ 20 เม็ด ก็เริ่มสามารถเดินได้ ครั้นกินไปได้ครบ 60 เม็ด ตัวที่เหลืองซีดก็หาย ผลตับก็ดีขึ้นและเป็นปกติจนถึงทุกวันนี้



---พระพุทธเจ้าของชาวพุทธเรา ทรงพบหลักการบำบัดรักษาโรคทำนองเดียวกับ เซรุ่มหรือวัคซีนก่อนใครในโลก เป็นวิธีที่ง่าย สะดวกในการใช้สอย และได้ผลจริง มีความแสดงไว้อย่างชัดเจนทั้งในพระสูตรและพระวินัย อย่าได้คิดว่าเป็นการค้นพบโดยการทดลองทางวิทยาศาสตร์ หากเป็นการรู้เห็นด้วยญาณอันวิเศษ และปฏิบัติใช้ได้ผลมาแล้วกว่าสองพันห้าร้อยปี



*พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นผลดีของโอสถวิเศษดังกล่าวนี้



---จึงบัญญัติไว้ในพระวินัยให้เป็นวัตรปฏิบัติสำคัญ 1 ใน 3 ประการของภิกษุ พระภิกษุต้องมีวัตรปฏิบัติ 3 ประการ คือ


---การถือไตรจีวรเป็นประจำอย่างหนึ่ง


---การบิณฑบาตอย่างหนึ่ง


---และการทำน้ำมูถเน่าฉันอีกอย่างหนึ่ง



---การบิณฑบาตเป็นวัตรก็คือการออกกำลังกายในยามเช้า ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า morning walk หรือ จ็อกกิ้งอะไรก็ตามเถิด แต่แท้จริงแล้วก็คือการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เลือดลมในกายไหลเวียนเป็นปกติ เส้นสายได้คลี่คลาย ได้ทั้งเหงื่อ ได้ทั้งอาหาร 


---โดยเฉพาะเวลาอุ้มบาตรแนบกับท้องน้อย ความอุ่นของบาตรพระที่มีข้าวสุกอยู่ในบาตร ได้เคล้าคลึงอยู่กับหน้าท้อง ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมของเส้นสายและเลือดลมทั้งปวง ทำให้กายมีความเป็นปกติ เป็นอยู่สบาย แม้ในทางธรรมเล่าก็ทำให้ผู้เป็นพุทธบริษัท ได้มีโอกาสทำบุญ บำรุงจิตใจให้อาบเอิบอยู่ด้วยบุญ จาคะ และการสละละวาง ประโยชน์ใหญ่หลวงอันเกิดแต่บิณฑบาตมีอยู่ดังนี้



---ส่วนการทำมูถเน่าฉันนั้นก็คือ การเอาน้ำปัสสาวะของตนเองทิ้งหัวทิ้งท้าย  เอาแต่กลางน้ำ ดองกับลูกสมอหรือมะขามป้อมก็ได้ หมักบ่มไว้เป็นเวลา 90 วัน ก็ใช้ฉันได้ หรือจะฉันสดโดยรองเอาแต่เฉพาะช่วงกลาง ทิ้งหัวทิ้งท้ายก็ได้ และนี่เป็นวัตรปฏิบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งที่มีผลในการป้องกัน บำบัด และรักษาโรคที่มีผลชะงัด พิสูจน์เมื่อใดก็ใช้ได้เมื่อนั้น ได้ผลเมื่อนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนในลัทธิศาสนาใดๆ หรือมีเพศวัยอะไร



*คนโบราณหรือคนที่มีอายุเกินกว่า 45 ปี ก็คงเคยได้กินยาแผนโบราณที่ใช้น้ำปัสสาวะเด็กเป็นกระษัยยามาบ้างแล้ว นั่นเป็นเรื่องของคนที่ขยะแขยงน้ำปัสสาวะหรือน้ำมูถ



---พระผู้มีพระภาคเจ้าวางพุทธบัญญัติให้ใช้น้ำปัสสาวะของตนเองย่อมมีมาแต่เหตุว่า อาการของโรคใดๆ ของคนใดคนหนึ่งย่อมต้องบำบัดรักษาด้วยน้ำมูถหรือน้ำปัสสาวะของผู้นั้น จะใช้ของผู้อื่นไม่ได้



---มีผู้ใช้โอสถทิพย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าในการบำบัดรักษาโรคหลายอย่างหลายชนิด ตั้งแต่อดีตจวบปัจจุบัน ตั้งแต่ป่วยเป็นไข้ เป็นฝีในท้อง เป็นโรคลำไส้ เป็นโรคตับ โรคไต ความดันโลหิตสูง มะเร็ง และโรคอื่นๆ สารพัด



---ได้ทราบข่าวหลายกระแสและค่อนข้างจะแน่ชัดแล้วว่า น้ำมูถเน่าหรือน้ำปัสสาวะนั้นสามารถบำบัดรักษาโรคเอดส์ได้ด้วย เหตุที่มีการทดลองใช้น้ำปัสสาวะหรือน้ำมูถเน่ารักษาโรคเอดส์ เนื่องจากการรักษาแผนปัจจุบันนั้นเป็นอันสิ้นหวัง และยังไม่สามารถค้นพบยาขนานอื่นใดที่รักษาโรคเอดส์ได้อย่างแท้จริง  จึงทำให้ผู้เป็นโรคเอดส์ที่ว่านี้ทอดอาลัยตายอยาก แล้วคิดว่าไหนๆ ก็จะตายแล้ว  ลองใช้โอสถวิเศษของพระพุทธเจ้าบ้างจะเป็นไรไป



---ครั้นทดลองเอามากินเพียง 10 กว่าวัน ลิ้นและปากที่เป็นฝ้ากินอะไรไม่ได้ก็เริ่มกินน้ำได้คล่องคอแล้วค่อยๆ กินอาหารได้ พอกินอาหารได้ความซูบซีดผอมแห้งแรงน้อยก็ค่อยๆ หาย เริ่มมีเนื้อมีหนังขึ้นโดยลำดับ 6 เดือนผ่านไปเนื้อหนังมังสาผิวพรรณ เริ่มเหมือนผู้คนมากกว่าที่เหมือนเปรตดังแต่ก่อน ค่อยๆ เดินได้ ออกกำลังกายได้ 8 เดือนผ่านไปก็มั่นใจว่า โอสถวิเศษของพระพุทธเจ้าสามารถรักษาโรคเอดส์ให้หายได้อย่างแน่นอนจึงกินต่อมาเรื่อย ๆ



---5 ปีผ่านไปแล้วบางราย 3 ปีผ่านไปแล้ว ก็สามารถดำรงชีวิตเป็นปกติยิ่งขึ้น หรือเหมือนกับคนปกติแล้ว ตรองดูเหตุผลซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าวางพุทธบัญญัติให้พระภิกษุฉันน้ำมูถเน่าเป็นวัตร ก็คงเนื่องมาแต่ยุคพุทธกาลนั้นบ้านเมืองยังทุรกันดาร หมอก็คงหาลำบาก ยามพระภิกษุป่วยไข้จะหาหยูกยาที่ไหนมารักษา



---และวิธีที่ดีและง่ายที่สุด หาได้ทุกเมื่อทุกวันเวลาก็คือ น้ำปัสสาวะของตนเอง เหตุที่ต้องใช้น้ำปัสสาวะของตนเองก็เพราะว่าน้ำปัสสาวะของคนเรานั้นเป็นสิ่งที่กลั่นจากน้ำในกาย ทั้งน้ำเลือด น้ำหนอง และน้ำทุกชนิดในกายอันยาววาหนาคืบนี้  โดยไตเป็นกลไกในการขับกรองโรคทั้งหลายในกายย่อมอาศัยย่อมมีเหตุปัจจัยและย่อมมีผลเกี่ยวด้วยน้ำหลายชนิด ดังกล่าวในกายของตัวเองนั่นเองเป็นโรคอะไรน้ำในกายก็ย่อมมีสารอันเป็นเหตุเป็นปัจจัยของโรคนั้นอยู่



---เมื่อผ่านการกลั่นกรองของไตกลายเป็นน้ำปัสสาวะแล้ว น้ำปัสสาวะนั้นจึงเหมือนกับเซรุ่มหรือวัคซีนที่พวกฝรั่งเพิ่งค้นพบในภายหลังนั่นแหละ เมื่อมองดังนี้ก็จะเห็นได้ว่าน้ำปัสสาวะของคนเราแท้จริงแล้วก็คือ เซรุ่มหรือวัคซีนที่ธรรมชาติประทานไว้ให้กับคนเรานั่นเอง



---เป็นเซรุ่มหรือวัคซีนธรรมชาติที่สามารถใช้ป้องกันบำบัดรักษาโรคประจำกายได้โดยอัตโนมัติ หรือจะเป็นโรคอะไรร่างกายก็จะผลิตน้ำปัสสาวะ ที่เสมือนดังหนึ่งเซรุ่มหรือวัคซีน ที่จะมีผลต่อการบำบัดรักษาโรคนั้นอย่างตรงตัวที่สุด  อุปมาเหมือนกับการเอาพิษงูเห่าไปทำเซรุ่มรักษาพิษงูเห่า หรือการเอาพิษงูจงอางไปทำเซรุ่มรักษาพิษงูจงอางนั่นแล



---โรคเอดส์ก็ประกอบด้วยน้ำ มีเหตุมีปัจจัยจากน้ำ และก่อผลแก่น้ำอันมีอยู่ในกาย เมื่อเป็นเช่นนี้ร่างกายคนเราจึงผลิตเซรุ่มหรือวัคซีนที่รักษาโรคเอดส์ โดยการใช้น้ำปัสสาวะของผู้ป่วยเป็นโรคเอดส์นั้น ในการบำบัดรักษาโรคเอดส์ให้หาย  สมญานามของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ว่าเป็นผู้แจ้งโลกนั้น ไม่ว่าจะคิดจะพิจารณาศึกษาค้นคว้าในเรื่องไหนๆ  ก็จะเห็นได้ถึงความรู้แจ้งโลกหรือความเป็นสัพพัญญูอย่างถ่องแท้ ได้ลองค้นคว้าตำรายาในพระไตรปิฎกก็ได้พบตำรายามากหลาย



---หากมีวันเวลาว่างและกองบรรณาธิการอนุญาตแล้ว ก็ตั้งใจว่าจะเขียนเรื่องตำรายาในพระไตรปิฎก เพื่อเป็นธรรมทานแก่เพื่อนมนุษย์สักครั้งหนึ่ง ท่านผู้ใดสนใจก็คอยติดตามเอาเองก็แล้วกัน



---น้ำปัสสาวะสดอย่าได้คิดว่าเป็นเรื่องสกปรกโสมม คิดเสียว่าเหมือนกับน้ำลายที่อยู่ในปากสามารถกลืนกินได้ฉันใด น้ำปัสสาวะก็ดื่มกินได้ฉันนั้น แต่เอาหละเพื่อความสะอาดช่วงต้นช่วงปลายอาจจะมีกลิ่นอันน่ารังเกียจอยู่บ้างก็ทิ้งไปเสีย เอาแต่ตอนกลางดื่มเช้าหนหนึ่ง ก่อนนอนหนหนึ่งก็ถือได้ว่าเป็นโอสถวิเศษที่เป็นยาอายุวัฒนะ และสามารถบำบัดรักษาโรคที่มีอยู่ในตนได้ทุกอย่าง



---รสชาติของน้ำปัสสาวะของแต่ละคนและที่เป็นโรคแต่ละโรคย่อมแตกต่างกัน บ้างมัน บ้างหวาน บ้างเค็ม บ้างเปรี้ยว บ้างจืด บ้างมีกลิ่นฉุน บ้างขื่น บ้างเหมือนกลิ่นสับปะรด ก็ถือเสียเถิดว่านั่นเป็นยาแต่ละขนานสำหรับโรคแต่ละโรค



---ส่วนการทำน้ำมูถเน่านั้น ให้ใช้น้ำปัสสาวะตอนเช้าและตอนก่อนเข้านอน ทิ้งหัวทิ้งท้ายเอาเฉพาะส่วนกลาง ดองใส่โหลไว้ ใส่สมอหรือมะขามป้อมแล้วปิดฝาให้มิดชิด ถ้วน 90 วันแล้วก็ดื่มกินได้ ทั้งรสชาติดีและรักษาโรคได้ทุกชนิด  จะกินน้ำปัสสาวะเพื่อป้องกันรักษาโรคก็ได้ หรือถ้ารังเกียจก็คอยจนเป็นโรคใดโรคหนึ่งที่หมอไม่รับรักษาแล้วค่อยทดลองกินก็ได้


"ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัยที่ยังประโยชน์ยิ่งแก่หมู่สัตว์จงประสิทธิ์ประสาทฤทธิ์ของโอสถทิพย์ แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่คนทั้งปวงเทอญ"

 

*น้ำปัสสาวะมาจากไหน

---ช่วงหน้าฝน อากาศโดยทั่วไปค่อนข้างจะเย็นฉ่ำ ร่างกายจึงไม่ค่อยเสียน้ำไปทางเหงื่อเท่าใดนัก ยิ่งถ้าใครทำงานอยู่ในห้องแอร์ด้วยแล้ว จะรู้สึกได้เลยว่าตนเองเข้าห้องน้ำเพื่อขับถ่ายปัสสาวะมากกว่าในช่วงหน้าร้อน ทั้งที่คุณเองก็ดื่มน้ำน้อยลงกว่าเดิมด้วยซ้ำไป แต่ไม่ว่าคุณจะดื่มน้ำมากน้อยเพียงใด ร่างกายจะต้องพยายามรักษาระดับน้ำภายในให้อยู่ในระดับที่สมดุลอยู่เสมอและอวัยวะที่รับหน้าที่นี้ก็คือ ไต นั่นเอง

 

---ไต ทำหน้าที่สำคัญหลายอย่างในร่างกาย แต่ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะหน้าที่ในการผลิตน้ำปัสสาวะ (urine) ซึ่งเป็นของเหลว (เสีย) ปริมาณมากที่สุดที่ถูกขับออกมาจากร่างกาย แต่ก่อนอื่นคงต้องมาดูโครงสร้างทางสรีระของไตกันก่อนว่าเป็นอย่างไร



---ในคนแต่ละคนนั้น ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับไตคนละ 2 ข้าง ลักษณะโดยทั่วไปของไต คือ มีสีน้ำตาลแกมแดง รูปร่างคล้ายเม็ดถั่ว ขนาดเท่ากำปั้น ติดอยู่ทางด้านซ้ายและขวาของกระดูกสันหลังส่วนล่างข้างละอัน ในบริเวณด้านหลังช่องท้อง โดยมีกระดูกซี่โครงทำหน้าที่เป็นเกราะกำบังอยู่ในไตแต่ละข้างจะมีหน่วยกรองขนาดจิ๋ว เป็นจำนวนกว่าล้านหน่วย ที่เรียกกันว่า “หน่วยไต” (nephron) ซึ่งถ้าใช้กล้องจุลทรรศน์กำลังขยายสูงๆ ส่องดูแล้ว ก็จะพบว่าพวกหน่วยไตเหล่านี้ มีรูปร่างคล้ายกับหนอนหัวโต และมีหางที่เรียกว่า “หลอดไต” (tubule) บิดเป็นเกลียว ผู้รู้เขาบอกว่า หากลองคลายเกลียวหลอดไตเหล่านี้ออกมาต่อกันทั้งหมดแล้ว ก็จะได้ความยาวถึง 112.6 กิโลเมตร ประมาณว่าเป็นระยะทางเท่ากับที่คุณเดินทางจากกรุงเทพฯ ถึงจังหวัดสุพรรณบุรีนั่นทีเดียว



---สำหรับการทำหน้าที่ผลิตน้ำปัสสาวะนั้น ไตจะผลิตน้ำปัสสาวะออกมาอย่างไม่ขาดสาย โดยแต่ละวันไตจะผลิตน้ำปัสสาวะได้ประมาณวันละหนึ่งลิตรครึ่ง เริ่มจากหยดเล็กๆ ของของเหลวซึ่งมีของเสียรวมอยู่ ซึ่งของเสียที่มีปริมาณมากที่สุด คือ พวกยูเรีย (urea-ผลผลิตขั้นสุดท้ายของการย่อยอาหารพวกโปรตีน) ให้ออกจากหลอดไตจำนวนหลายล้านตัวและไหลเข้าสู่แอ่งเก็บขนาดเล็กในใจกลางไต แอ่งเก็บน้ำปัสสาวะนี้ จะมีท่อต่อไปยังกระเพาะปัสสาวะ จากนั้นก็มีท่อต่อออกสู่ภายนอกร่างกาย ระหว่างที่มีการผลิตปัสสาวะ ร่างกายจะเกิดกิริยาอาการคล้ายระลอกคลื่นของกล้ามเนื้อทุกๆ 10-30 วินาที และจะบีบไล่ให้น้ำปัสสาวะไหลออกสู่ทางออก แต่ในตอนกลางคืนการทำงานของไตจะช้าลงเหลือเพียงประมาณ 1 ใน 3 ของตอนกลางวัน จึงไม่ต้องลุกขึ้นถ่ายปัสสาวะกันบ่อยๆ ในตอนกลางดึก

 

---เมื่ออ่านจากตอนต้นคุณอาจจะยังไม่หายสงสัยว่า อากาศเย็นแล้วไปเกี่ยวอะไรกับการที่ต้องปัสสาวะบ่อยๆ ด้วยล่ะ คำตอบก็คือว่า ในช่วงที่อากาศเย็นเลือดที่ไหลไปเลี้ยงผิวหนังจะลดลง ทั้งนี้ก็เพื่อถนอมความร้อนภายในร่างกายเอาไว้ แต่ขณะเดียวกันเลือดกลับไหลผ่านอวัยวะภายในต่างๆ รวมทั้งไตมากขึ้น ซึ่งไตเองก็มีหน้าที่ในการกรองของเสียออกจากเลือดอยู่แล้ว จึงได้รับของเสียจากเลือดมากขึ้น ทำให้ต้องผลิตน้ำปัสสาวะมากขึ้นตามไปด้วย



---อ้อ แล้วเขายังบอกอีกนะคะว่า อารมณ์โกรธและกังวล ก็จะทำให้มีการผลิตปัสสาวะมากขึ้นด้วย เพราะขณะที่โกรธและกังวล ความดันเลือดในร่างกายจะสูงขึ้น ทำให้เลือดผ่านมาที่ไตมากขึ้น ของเสียที่ออกจากเลือดจึงไปรวมเป็นปัสสาวะมากขึ้นเช่นกัน วันไหนที่รู้สึกว่าอารมณ์บูดหรือกังวลเป็นพิเศษ ก็ไม่ต้องสงสัยนะคะ ว่าวันนี้ทำไมคุณจึงเดินเข้าออกห้องน้ำบ่อยจัง.






......................................................................................






 ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล และ ขออนุโมทนาเป็นอย่างยิ่งด้วยครับ

โอสถวิเศษของพระพุทธเจ้า


สิริอัญญา, ข้างประชาราษฎร์

ขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของหมอชาวบ้าน กับเว็บไซต์วิชาการดอทคอม

รวบรวมโดย...แสงธรรม

อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 29 กันยายน 2558

แก้ไขแล้ว...ป.


Tags :

0 ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

*

*

view

ประวัติต่างๆ

ประวัติวัดเขาไกรลาศ

ประวัติของหลวงพ่อเทียน=คลิป

มาเช็คชื่อ-เช็คสกุลกันดีกว่า=คลิป

ประวัติพระอธิการชิติสรรค์ จิรวฑฺฒโน=คลิป

ขอเชิญผู้ร่วมบุญสร้างอาศรมเสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก

ประวัติหลวงปู่เทพโลกอุดร

ประวัติฝ่าพระหัตถ์ของพระพุทธองค์

ประวัติของนางวิสาขา=คลิป

ประวัติของอนาถปิณฑิกเศรษฐี=คลิป

ประวัติของเศรษฐีขี้เหนียว

ประวัติเหตุทำบุญที่ช้า=คลิป

ประวัติของผู้ร่วมบุญ=คลิป

ประวัติของพระไตรปิฎก=คลิป

ประวัติการสร้างพระพุทธรูปและพระเจ้า ๕ พระองค์

ประวัติง้วนดิน

ประวัติปู่ฤาษีนารอท

ประวัติพระปางมหาจักรพรรดิ์ ทรงปราบพระเจ้ามหาชมพูบดี

ประวัตินางห้าม..แห่งขอมโบราณ

ประวัติพญานาค

ความรู้และรายละเอียดพุทธเจดีย์

พระมหาโพธิสัตว์

สาระธรรม

ธรรมะส่องใจ

อานิสงส์แต่ละอย่าง

ประเพณีต่างๆ

ตำนานทั่วไป

สาระน่ารู้

ปกิณกะธรรม

วัตถุมงคล-สาระอื่นๆ

ข้อมูลทั่วไป

ปฎิทิน

« April 2024»
SMTWTFS
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930    

สมาชิก

ลืมรหัสผ่าน?
สมัครสมาชิก

สถิติ

เปิดเว็บ20/06/2011
อัพเดท20/04/2024
ผู้เข้าชม6,691,188
เปิดเพจ10,466,285
สินค้าทั้งหมด8

 หน้าแรก

 บทความ

 เว็บบอร์ด

 รวมรูปภาพ

 พระบรมสารีริกธาตุ

 โจโฉ รวมเสียงธรรม

 เฟสบุ๊ค

ติดต่อเรา-

view