กรรมที่ทําให้เกิดมาสวย-หล่อ
( Retribution affect to good-looking : handsome and beautiful )
*บทที่ ๔ - เหตุใดจึงเป็นผู้มีรูปงาม
---ในบทก่อนเราทราบว่าด้วยอาการทางใจและวิธีคิดทำบุญอย่างไรจึงส่งให้เป็นหญิงชาย แต่หญิงชายมีระดับชั้นวรรณะเป็นต่างๆ เริ่มเห็นได้ตั้งแต่การปรากฏตัวเลยทีเดียว บางคนเห็นแล้วน่าเมิน บางคนเห็นแล้วน่ามอง ความไม่รู้ทำให้เราคิดว่านั่นคือการ ‘ให้มา’ ของธรรมชาติ หรือของผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่ แต่ความจริงก็คือเราแต่ละคน ‘ได้มา’ อย่างมีเงื่อนไข และเงื่อนไขนั้นก็คือ กรรมเกี่ยวกับทานและศีลนั่นเอง
*นิยามของความงาม
---คนเราเห็นความงามต่างกัน ฉะนั้นจึงต้องตกลงกันให้ดีว่าความสวยคืออะไร ความงามคืออะไร จะได้ไม่ต้องพูดในเชิงปรัชญา เช่น ความงามเป็นสิ่งลี้ลับ ความงามเป็นสิ่งฉายให้เห็นเฉพาะคน หรือความงามของที่ฉายออกมาจากจิตใจภายใน ฯลฯ
---ต่อไปนี้เมื่อพูดถึงความสวยหรือความงาม ขอให้เข้าใจว่าเราพูดจำเพาะถึงความงามในรูปร่างหน้าตาของมนุษย์
---ความสวยงามของมนุษย์ คือ ลักษณะที่ตาคนส่วนใหญ่เห็นแล้วเกิดความยินดี เกิดความสุข เกิดความพึงพอใจ ตลอดจนกระทั่งเกิดความติดใจใหลหลง แน่นอนว่ามีตาของคนส่วนน้อยที่อาจเห็นแย้ง มองแล้ววิจารณ์ว่าไม่เห็นสวยเลย หรือถากถางว่าอย่างนี้เหรอหล่อ นั่นอาจเป็นอคติหรือพื้นหลังเฉพาะตัวของแต่ละคน เครื่องชี้ที่ชัด คือ เจ้าตัวผู้มีรูปร่างหน้าตาเป็นสมบัติเอง ส่วนใหญ่ไปไหนต่อไหนได้รับความชื่นชม ทำให้ปลื้มเปรมกับสมบัติที่ติดตัวมาแต่เกิดหรือไม่
---สำหรับเราเอง เมื่อเรารู้สึกดีกับการปรากฏตัวในแต่ละครั้ง จะเหมือนมีรัศมีแห่งความเชื่อมั่นฉายออกไปพร้อมกับพลังกระทบด้านดี ซึ่งถ้าดีจริงอย่างที่เรารู้สึก อย่างน้อยก็จะพลอยทำให้คนอื่นรู้สึกดีตามไปด้วย
---สำหรับสายตาคนอื่น ผู้มีรูปงามชนิดแลตะลึง หรือที่เรียกว่า ‘สวยจัด’ กับ ‘หล่อจัด’ นั้น เป็นบุคคลประเภทที่ปลุกเร้าให้เกิดความสับสนวุ่นวายใจ ความสวยหล่อจัดๆ สามารถกระตุ้นให้เกิดความคิดหลากหลาย หรืออาจเรียกได้ว่ารบกวนให้คนเห็นกระวนกระวายใจผิดปกติ เพราะในหัวเกิดถ้อยคำพิเศษที่ไม่ค่อยปรากฏนักในการเห็นบุคคลทั่วไป เมื่อคนเราไม่สามารถอธิบายสิ่งที่ตัวเองเห็นออกมาเป็นคำพูดได้ถนัด ก็มักนึกถึงคำหรูๆ เกินจริง เช่น ‘ความงามที่เหมือนเวทมนต์’ หรือ ‘หยาดฟ้ามาดิน’ เป็นต้น
---แม้ในความงามแลตะลึงอาจมีความต่าง คือ สวยหล่อแต่หน้า รูปร่างเอวองค์ไม่สมส่วน บางคนเตี้ยม่อต้อ บางคนสูงชะลูด บางคนผิวหยาบไม่น่ามอง บางคนโครงกระดูกมีจุดปูดโปนประหลาดๆ บางคนมีรายละเอียดใต้ร่มผ้าน่ารังเกียจ ฯลฯ หาได้น้อยที่สวยหล่อพรั่งพร้อมไปทั้งสรรพางค์กายสมคำว่า ‘สวรรค์เสก’
---ความจริงสวรรค์ไม่ได้ทำอะไรกับความมีรูปงามของมนุษย์ แต่ความมีรูปงามของมนุษย์ทำให้คนเรานึกถึงสวรรค์ต่างหาก นั่นแหละคือคุณของความงาม ช่วยปรุงแต่งให้ผู้พบเห็น หรือแม้แต่ผู้ครอบครองความงามเองได้รู้สึกชื่นชมยินดี และเหนี่ยวนำให้เลื่อมใสไปในทางมีจิตคิดเป็นกุศล
---น่าเสียดายในปัจจุบันคนสวยหล่อทั้งหลายเอาเครื่องหน้าและรูปร่างของตนไปเป็นสินค้าทางเพศกันมาก ทำให้คนมองเกิดความรู้สึกที่เพี้ยนไป คือเห็นความสวยหล่อมีไว้ขาย มีไว้ทำเงิน มีไว้หาประโยชน์ ไม่ได้มีเอาไว้จูงใจให้เกิดความเลื่อมใสว่าบุญมีจริง สวรรค์มีจริงเหมือนในสมัยโบราณเขามองกัน
*สรุป คือ สำหรับคนราคะจัดส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ความสวยอาจเป็นเพียงสิ่งที่เอาไว้กระตุ้นความกำหนัด สำหรับศิลปินผู้มีความละเอียดอ่อนในหัวใจ ความสวยสามารถเป็นเครื่องปลุกเร้าจินตนาการสร้างสรรค์ให้บรรเจิดจ้า และสำหรับผู้แสวงบุญ ความสวยเป็นร่องรอยหลักฐานยืนยันว่า ผลบุญมีจริงและทำให้มนุษย์ต่างกันได้เพียงใด
*กรรมหลักที่ตกแต่งให้รูปงาม
---หลักง่ายๆ คือ คนตามใจกิเลสจะมีรูปทราม ส่วนคนงามจะงามเพราะสละกิเลส กรรมที่ตกแต่งให้รูปงามนั้น เป็นกรรมประเภทที่ปรุงแต่งจิตให้เกิดความผ่องใส มีความขาวสะอาดสว่างรอบปราศจากมลทิน และกิริยาที่จะก่อให้เกิดลักษณะดังกล่าว ก็ไม่พ้นเรื่องของการสละความตระหนี่ และการรักษาความตั้งใจไม่เกลือกกลั้วกับความชั่ว โดยตีกรอบความประพฤติทางกายและวาจาให้อยู่ในศีลธรรมอันดี นอกจากนี้ยังมีเรื่องของอาการทางใจและวิธีคิดต่างๆ ประกอบอยู่ด้วย
*๑)ทำทานด้วยศรัทธา
---ขอให้ดูเถิด คนส่วนใหญ่แม้ชอบทำทาน ก็มักทำทานด้วยจิตที่แห้งแล้ง ทำแล้วก็ถือว่าแล้วกัน น้อยคนนักจะทราบว่า แม้อาการทางใจในขณะทำทานก็มีผลใหญ่หลวงกับรูปร่างหน้าตาได้ ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผลของการให้ทานด้วยศรัทธา จะทำให้เป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และเป็นผู้มีรูปงามชวนพิศ น่าเลื่อมใส ผิวพรรณงามยิ่ง
---การทำทานด้วยความศรัทธาเป็นประจำ ทำให้เจ้าตัวรู้สึกสวยแพรวออกมาจากภายในตั้งแต่ชาติปัจจุบัน แม้รูปร่างหน้าตาในชาตินี้จะดูไม่ดีเท่าไหร่ แต่ความรู้สึกสวยแพรวที่ออกมาจากภายในนั้น จะดึงดูดให้คนพบเห็นเกิดความทึ่งกว่าเดิม และหาคำตอบไม่ได้ ว่าทำไมไม่สวยไม่หล่อจึงน่ามองขนาดนั้น
---และผลของการทำทานด้วยความศรัทธาเป็นประจำ จะทำให้ชาติต่อไปมีใบหน้างดงามชนิดที่ชวนเลื่อมใส ข้อนี้คนของศาสนาที่ปลูกฝังเรื่องศรัทธาเป็นหลักจะได้เปรียบ เพราะเมื่อเกิดการประชุมทำพิธีทางศาสนาแล้วมักเหนี่ยวนำกันให้เกิดจิตศรัทธา เปี่ยมปีติสุขเป็นล้นพ้นกับการคิดให้ คิดเจือจาน คิดเมตตาต่อคนและสัตว์ทั้งโลก
---หลายคนคงสงสัยว่าอย่างไร จึงเรียกได้ว่าเป็นศรัทธา แล้วอันนี้ใช้เกณฑ์ง่ายๆ คือ เมื่อนึกถึงบุญขณะต่างๆ ทั้งก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำ แล้วมีใจนึกอยากยิ้มสดชื่นออกมาจากภายใน เป็นยิ้มอันบันดาลจากความสุขความอิ่มเอมที่บริสุทธิ์ ปราศจากเงื่อนไขแลกเปลี่ยน ส่วนการฝืนยิ้มไปแกนๆ แต่จิตไม่เป็นสุขนั้นไม่นับ
---สภาพแวดล้อมในการทำบุญมีส่วนก่อให้เกิดศรัทธาหรือเสื่อมศรัทธาได้มาก แต่หากเราเป็นผู้ที่มีความเลื่อมใสในบุญอยู่อย่างหนักแน่น เชื่อมั่นว่าบุญมีที่ใจ ผลบุญเช่นความสุขความสว่างไสวก็เกิดทันทีที่ใจ เช่นนี้แม้สภาพแวดล้อมหรือบุคคลอันเป็นผู้รับจะไม่ดีนัก ใจเราก็คงไม่เสื่อมศรัทธาลงสักเท่าใด
---หากให้ทานไปแกนๆ ไม่คิดอะไรมาก แต่ก็ไม่ได้ศรัทธาสักเท่าไหร่ อย่างนี้ชาติปัจจุบันแม้ทำทานมากก็ไม่ค่อยอิ่มใจ ไม่ค่อยรู้สึกอบอุ่นอยู่กับตัวเองนัก และชาติถัดไปถึงแม้มีรูปร่างหน้าตาดีก็ไม่ถึงกับดึงดูดให้รู้สึกเลื่อมใสในความงามนั้นๆ สักเท่าใด
---หากให้ทานด้วยจิตใจคับแคบ เช่นแก่งแย่งชิงดีเอาหน้าเอาเด่น หรือให้ทานแบบกีดกัน ไม่คิดรวมทานกับใคร เช่นมาถวายสังฆทานพร้อมกันกับคนอื่น แต่จะแยกเป็นต่างหากต้องให้พระสวดสองที แบบนี้ชาติปัจจุบันแม้โครงหน้าสวยหล่ออยู่ก่อน เห็นแล้วก็ไม่ชวนให้รู้สึกปลื้ม และชาติหน้ากรรมจะตกแต่งให้หน้าตาออกไปในทางเค็มเสียมาก
*๒)รักษาศีลได้สะอาดครบ
---ศีลจะมีส่วนช่วยปรุงแต่งหน้าตาให้ดูดีจริงๆ ต่อเมื่อสะอาดหมดจดในข้อหนึ่งๆ ต้องจาระไนกันด้วยความรู้สึกยามเมื่อตาเห็น ศีลแต่ละข้อจะก่อให้เกิดความรู้สึกทางใจดังนี้
---๑)อยากปกป้องชีวิตสัตว์ ทำให้หน้าตาใจดี เห็นแล้ว สงบเย็น
---๒)ไม่เพ่งเล็งอยากได้ ทำให้หน้าตาน่าไว้ใจ เห็นแล้ว เชื่อถือ
---๓)ซื่อสัตย์กับคู่ครอง ทำให้หน้าตามีเสน่ห์ชวนอบอุ่นใจ เห็นแล้ว อยากเป็นคู่ด้วย
---๔)ไม่คิดปั้นคำลวง ทำให้หน้าตาใสซื่อ เห็นแล้ว นึกเอ็นดู
---๕)ไม่เกลือกกลั้วสิ่งเสพติดมึนเมา ทำให้หน้าตาดูเป็นคนมีสติปัญญาดี เห็นแล้วเชื่อว่า ไม่ใช่พวกคิดอ่านฟุ้งซ่านเหลวไหล
---ถ้าใครถือศีลได้สะอาดบริสุทธิ์ได้อย่างสม่ำเสมอ จะมีความสะอาดผุดผ่องออกมาทางผิว ศีลจะตกแต่งให้เนื้อหนังบางส่วนหนาขึ้นหรือบางลง เห็นแล้วดูสมส่วนขึ้น และจิตที่สงบไม่เดือดร้อนกระวนกระวาย จะทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนบนใบหน้าผ่อนคลาย จึงดูดีที่สุดเท่าที่โครงหน้าจะอำนวย
---ถ้าใครถือศีลได้สะอาดบริสุทธิ์ตลอดชีวิต ชาติใหม่จะมีรูปร่างหน้าตาสมส่วนหมดจด มองจากมุมไหนก็ดูดีไปหมด แบบที่เรียกกันว่า งามไร้ที่ตินั่นเอง
---หากละเมิดศีลเป็นอาจิณ หน้าตาและผิวพรรณจะดูคล้ำหมอง เว้นแต่อำนาจศีลแต่หนหลังมีพลังแรงมาก ช่วยค้ำพยุงไว้ได้ระยะหนึ่ง หรืออาจใช้วิทยาการทางความงามในปัจจุบันช่วยทำให้ผุดผ่องก็มีสิทธิ์ แต่จะประคับประคองได้ไม่นาน ในที่สุดความเสื่อมโทรมแบบแก่ก่อนวัยต้องถามหาอยู่ดี
---และกรรมที่เกิดจากการละเมิดศีลเป็นอาจิณนั้น จะมีผลให้ชาติถัดมามีความไม่สมส่วน แม้ใบหน้าสวยหล่อด้วยการทำทานอย่างมีศรัทธา จุดอื่นในร่างกายก็จะไม่สมส่วน เช่น ขาสั้นไปบ้าง หลังยาวไปบ้าง
*๓)อาการทางใจและวิธีคิด
---บางคนแม้ทำทานและรักษาศีลมาดีในแบบที่จะทำให้สวยหล่อ แต่เป็นผู้ที่ฉุนเฉียวง่าย เก็บเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาคิดมากใหญ่โต อย่างนี้ก็มีผลกับรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณทั้งในชาตินี้และในชาติต่อๆ ไปได้มาก ดังเช่นที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
---บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม เป็นคนมักโกรธ มากด้วยความแค้นเคือง ถูกเขาว่าเล็กน้อยก็ขัดใจ โกรธเคือง พยาบาทมาดร้าย ทำความโกรธ ความร้าย และความขึ้งเคียดให้ปรากฏ เขาตายไปจะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก และเพราะมีความข้องติดอยู่ในกรรมเช่นนั้น แม้ตายไปไม่เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้ามาเป็นมนุษย์เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลังก็จะเป็นคนมีผิวพรรณทราม
---พูดง่ายๆ คือ แม้ให้ทรัพย์เป็นทานด้วยศรัทธาได้เพียงใด แต่ถ้าใจไม่รู้จักให้อภัยเป็นทานเลย ก็ได้ชื่อว่าสร้างส่วนแห่งความเป็นผู้มีรูปทรามเอาไว้
---สมมุติว่าเราเป็นผู้ให้ทานด้วยศรัทธายิ่งไปตลอดชีวิต แต่ขณะเดียวกันก็เป็นพวกฉุนเฉียวง่ายไม่รู้จักระงับอารมณ์เลยจนวันตายเช่นกัน อย่างนี้กรรมอาจปรุงแต่งให้มองเสี้ยวหน้าด้านหนึ่งเหมือนสวยหล่อ แต่มองจากอีกมุมหนึ่งกลับดูไม่ได้เอาเลย และผิวพรรณแทนที่จะเลอเลิศจากผลของทาน ก็กลายเป็นแค่ธรรมดาๆ ไม่ถึงกับน่าดู ไม่ถึงกับน่าเกลียดไป หรือไม่บางส่วนของเนื้อหนังดูเหมือนงามละเอียด แต่บางส่วนกลับหยาบกระด้าง ครึ่งๆกลางๆไม่สมบูรณ์เสมอกันทั่ว
---ขณะโกรธ ขณะยอมถูกโทสะควบคุมจิตใจ เราจะไม่มีมุมมองอื่นนอกเหนือไปจากความคิดเขม่นเข่นเขี้ยวอยากจองล้างจองผลาญ แต่เมื่อรู้ผลของการเป็นคนเจ้าโทสะแล้วเช่นนี้ ก็อาจฝึกมองไว้ล่วงหน้า ว่าเราจะเสียเวลา เสียรูปในอนาคตให้กับความโกรธเปล่าๆ ปลี้ๆ ไปทำไม อย่างไรคู่อริของเราก็ต้องตายจากกันไปเสวยวิบากของแต่ละคน
---เพียงเห็นในขณะที่โกรธเป็นขณะแห่งความสูญเปล่า เท่ากับเอาเวลาที่ควรจะทำให้อะไรดีขึ้นสักนิดไปทิ้งเสียอีกนาทีหนึ่ง ชั่วโมงหนึ่ง วันหนึ่ง เดือนหนึ่ง หรือปีหนึ่ง หากเราเห็นทุกวินาทีในโลกนี้มีค่ายิ่งกว่าทอง ก็จะปรับทัศนะได้ใหม่ เห็นว่ายิ่งเสียเวลากับสิ่งไร้ประโยชน์น้อยลงเพียงใด ก็เท่ากับมีเวลาทำสิ่งที่เป็นประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น เราจะเป็นทาสกิเลสผู้น่าสงสาร ที่มัวหลงเสียเวลาในชีวิตไปหมกมุ่น ครุ่นคิด ถึงสิ่งไร้สาระโดยแท้
---ถ้าหากประกอบพร้อมทั้งการให้ทรัพย์เป็นทานด้วยศรัทธา และการให้อภัยเป็นทานด้วยใจจริง อย่างนี้ความสมบูรณ์พร้อมในเรือนกายย่อมเป็นที่หวังได้
---และบางคนแม้ทำทานรักษาศีลดี มีจิตใจเบิกบานเป็นนิตย์ แต่ก็แอบคิดเล็กคิดน้อยอยู่ในใจ เช่น เจอใครก็จ้องจับผิดอยู่เงียบๆ นึกด่าเขาอยู่เงียบๆ หรือกระทั่งชอบสาปแช่งอยู่เงียบๆ เพราะคิดว่าคงไม่ทำให้ใครเดือดร้อน จิตมีความโสมนัสอยู่กับความคิดร้ายๆ ภายในใจ ก็มีผลให้รูปร่างหน้าตาเสียความสมบูรณ์แบบ ลดหลั่นกันไปตามฐานะแห่งกรรม
---วิธีคิดของคนนั้น เป็นมโนกรรม สำคัญที่จำแนกสัตว์ออกเป็นต่างๆ อย่างแท้จริง เพราะเป็นของที่ตนรู้อยู่กับตัว และเป็นของที่ติดตัว ติดจิตติดวิญญาณเราไปทุกหนทุกแห่ง จึงเป็นใจกลางแห่งความปรุงแต่งรูปร่างหน้าตา ถ้าความคิดมีมลทิน แม้สวยหรือหล่อจากทานและศีลก็เหมือนภาพงามที่มีรอยด่างหรือจุดตำหนิ
---กล่าวได้เต็มปากว่าวิธีคิดนั่นเอง ทำให้ความสวยหล่อไม่ได้มีแบบเดียว ถอดพิมพ์กันเป๊ะๆ ไม่ได้ และรูปร่างหน้าตานั้น จะไม่ผิดแผกแตกต่างจากที่เราเป็นอยู่อย่างนี้มากนักก็เพราะการสืบสายของวิธีคิดนี่เอง หากสามารถยกระดับวิธีคิดได้มาก หน้าตาก็จะเปลี่ยนไปมากแบบแปรผันตรง
*สรุปว่า กรรมหลักๆ
---ที่ทำให้สวยหล่อบาดตาบาดใจกันจริงๆ หรือมีรูปงามเกินใจใครต้านทานนั้น มาจากการเป็นคนที่หมั่นทำทานด้วยศรัทธา มีศีลสะอาดบริสุทธิ์หมดจด และมีอาการทางใจกับวิธีคิดที่เป็นบวกอยู่เสมอๆ คือ ไม่เป็นคนมักโกรธ ไม่คิดอกุศลหรือติดใจความคิดอัปมงคล จนปล่อยใจให้ไหลไปกับเรื่องต่ำๆ
---ผู้ทำกรรมในแบบที่จะส่งผลเป็นความสวยหล่อถึงขีดสุดดังกล่าวนี้ จะมีความงามออกมาจากภายในตั้งแต่ชาติปัจจุบัน เห็นแล้วรู้สึกดีด้วยเป็นอย่างยิ่ง และในความเป็นมนุษย์ชาติถัดไป ก็จะเป็นผู้งามวัย วัยเด็กก็น่ารักแบบเด็ก วัยหนุ่มสาวก็หล่อสวยแบบหนุ่มสาวตามค่านิยมของยุคนั้นๆ และถ้าล่วงเข้าวัยชราก็ยังชวนพิศแบบผู้สูงอายุที่ดูไม่จืดตา
---การผสมกันระหว่างกรรมประเภทต่างๆ ที่ก่อให้เกิดรูปร่างหน้าตานั้น ไม่มีกรรมใดกรรมหนึ่งระหว่างทานและศีลเป็นผู้ขึ้นรูป ทุกอย่างผสมกันเบ็ดเสร็จ แล้วออกมาเป็นหน้าตาหนึ่งๆ เลยทีเดียว แต่รูปทรงอาจถูกกำหนดจากน้ำหนักของทานหรือศีลอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ถ้าเคยเป็นผู้มีนิสัยหนักไปทางทำทานด้วยศรัทธามากกว่ารักษาศีลให้สะอาดหมดจด ชาตินี้จะดูรูปงามชวนชมเมื่อมองผาด แต่พอมองพิศแล้วเห็นความไม่ค่อยสมส่วนสักเท่าไหร่ หรือกระทั่งจุดลับต่างๆ ไม่น่าพิสมัยนัก
---ส่วนบางคนเป็นผู้มีนิสัยหนักไปทางรักษาศีลพอประมาณมากกว่าทำทานด้วยศรัทธา หรือบางทีไม่ค่อยได้ทำทานเอาเลย ชาตินี้จะดูสมส่วน เครื่องหน้าทุกชิ้น อวัยวะใหญ่น้อยทั้งหลายดูเข้ารูปรับกันไปหมด แต่กลับสวยหล่อแบบเรียบๆ ไม่หวือหวาสะดุดตานัก
---และขอให้เข้าใจด้วยว่าสภาพจิตในชาติอันเป็นปัจจุบันก็มีบทบาทสำคัญยิ่ง บางคนรูปร่างหน้าตาดี แต่กลับขาดเสน่ห์ เพราะปล่อยตัวปล่อยใจให้ง่วงเหงาหาวนอน หรือหดหู่ทอดอาลัยตายอยาก จมอยู่กับความเศร้าชั่วนาตาปี อย่างนี้ก็ขาดความชวนชมได้เหมือนกัน เพราะแม้ตาคนเขาจะเห็นรูปโฉมดีๆ ภายนอก แต่ใจเขาก็จะรู้สึกแย่กับกระแสความหดหู่หรือคลื่นความปั่นป่วนในภายใน จนอยากเมินมากกว่าอยากพิศให้นาน
*กรรมที่ตกแต่งอวัยวะเป็นต่างๆ
---ที่ผ่านมาในบทนี้ จะกล่าวเพียงรูปลักษณะคร่าวๆ ว่าสวย หล่อ รูปร่างดี ฯลฯ แต่ยังไม่ได้ลงรายละเอียดเฉพาะเป็นจุดๆ ว่าอวัยวะแต่ละส่วนนั้น ‘งาม’ อย่างไร และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘งามเพราะอะไร’
---รายละเอียดความแตกต่างระหว่างรูปพรรณสัณฐานของอวัยวะทั้งหลายนั้น เราเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน รู้แน่ๆ ล่ะว่าต่าง แต่ไม่ทราบว่าต่างเพราะอะไร โดยทั่วไปจึงโยนให้กับความบังเอิญทางธรรมชาติ และกลายเป็นที่มาของคำว่า ‘โชคดี’ และ ‘โชคร้าย’ คือ ใครโชคดีหน้าตาสวยหล่อก็เท่ากับมีใบเบิกทางดีๆ ให้ชีวิต ใครหน้าตาขี้เหร่แล้วไม่ขยันสร้างเสน่ห์ในทางอื่นก็ต้องใช้ชีวิตอับเฉากันไป ส่วนใหญ่มองเรื่องรูปร่างหน้าตากันเพียงในขอบเขตประมาณนี้
---แต่จะมีคนอยู่พวกหนึ่งที่ศึกษาความต่างระหว่างรูปพรรณสัณฐานทั่วองคาพยพของมนุษย์ และค้นพบว่าร่างกายมนุษย์หาได้แสดงความงามหรืออัปลักษณ์กระทบตาคนเห็นอย่างเดียว ทว่ายังมีรายละเอียดน่าสนใจกว่านั้น บอกอะไรได้ยิ่งกว่านั้น อย่างพวกที่ศึกษาศาสตร์เกี่ยวกับโหงวเฮ้ง จะพอทราบจากสถิติว่าชีวิตใครเป็นอย่างไรจากภาพรวมและภาพย่อยที่ปรากฏให้เห็นในกายแต่ละคน
---ยกตัวอย่างเช่น ความยากจนนั้นคล้ายบอกได้ด้วยสัญลักษณ์ทางกายหลายๆ จุด ซึ่งบางทีจุดเดียวก็บอกได้แล้วว่า พ่อคนนี้หรือแม่คนนี้ต้องยากจนและรวยยากแน่ๆ แต่บางทีต้องอาศัยอวัยวะมากกว่าหนึ่งจุดขึ้นไปเป็นตัวตัดสิน ขอยกเครื่องหมายของความเป็นคนยากจนข้นแค้นมาพอสังเขปดังนี้
---๑)ส่วนหัวสอบแหลม
---๒)หัวเล็กประกอบกับคอยาว
---๓)คนหน้าอ้วนประกอบกับตัวเล็ก หรือคนหน้าเล็กประกอบกับตัวหยาบ
---๔)หูบาง
---๕)ตาเหมือนคนง่วงนอนอยู่ตลอดเวลา
---๖)คอเอียง
---ความจริงยังมีลักษณะอื่นๆ อีกมาก เช่น หลายครั้งเราบอกได้จากการมองเพียงปราดเดียวว่า คนนี้ไม่ค่อยมีอันจะกินแน่ เพราะท่าทางผอมแห้ง แรงน้อย แห้งเหี่ยวไม่มีชีวิตชีวา
---แต่หลายคนดูยาก บางคนดูน่าจะรวยแต่สืบไปสืบมาไม่เคยมีสตางค์ใช้สบายๆ เลยทั้งชีวิต ต้องทำอาชีพที่ใช้แรงกายเหนื่อยยากลำบากเป็นหลัก หรือหลายคนไม่ได้มีเครื่องหมายของความยากจนเด่นชัดนัก เรียกว่าพอมีพอกินได้ หรืออาจจะเงินขาดมือได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะในแง่ของความขยันทำกิน
---ศาสตร์เกี่ยวกับโหงวเฮ้งอาจแม่นยำได้มาก แต่ไม่ค่อยมีใครล่วงรู้ทะลุไปถึงสาเหตุ ว่าทำไมแต่ละคนจึงจำเพาะมีรูปร่างหน้าตาอย่างนี้ๆ ส่วนใหญ่บอกได้ตามตำราเพียงว่าถ้ารูปพรรณสัณฐานอย่างนี้จะมีชะตาอย่างนั้น ถ้าเค้าโครงเป็นอย่างนั้นจะมีชะตาลงเอยอย่างนี้ ซึ่งดูๆ แล้วก็ไม่ได้น่าทึ่งอะไรนัก เพราะหากเก็บสถิติกันจริงจัง มีการสืบมรดกความรู้ของสำนักใหญ่ที่มีกำลังคนรวบรวมอย่างเป็นระบบระเบียบ ก็สามารถจำแนกความต่างระหว่างมนุษย์ได้ว่าถ้าเค้าโครงเหมือนๆ กัน ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นไปคล้ายกันหรือเหมือนกันดิก
---พระพุทธเจ้าก็เคยตรัสแสดงไว้เหมือนกันว่ารูปลักษณ์ของคนเราบ่งบอกถึงความแตกต่าง แต่ท่านจะเน้นแสดงให้เข้าใจ ว่าองคาพยพต่างๆทั่วร่างกายถูก ‘วาด’ หรือ ‘ปั้น’ ขึ้นโดยกระแสกรรมเก่าจากอดีตชาติทั้งสิ้น ไม่มีรูปรอยใดเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ กรรมนั่นเอง คือ จิตรกร กรรมนั่นเอง คือ ประติมากร และเจ้าของกรรมนั่นเองจะต้องครองร่างอันเหมาะสมกับฐานะแห่งตน
---แต่เวลาวิบากกรรมวาด ตา หู จมูก ปาก นั้น ไม่ง่ายเหมือนจิตรกรใช้มือวาดเอา จิตรกรแค่คิดนิดหนึ่งแล้วสะบัดปลายพู่กันทีเดียวก็ได้หู ได้ตา ได้ปาก ได้คางออกมาแล้ว ทว่าเราต้องคิดซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง มีวิธีพูดแบบหนึ่งๆ อย่างยาวนาน และลงมือกระทำการจนติดนิสัยอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอันมาก จึงรวมออกมาเป็นการปั้นแต่งรูปร่างหน้าตาขึ้นมาอย่างที่กำลังเป็นอยู่นี้
---อีกประการหนึ่ง กรรมชุดเดียวกันอาจปั้นแต่งอวัยวะหลายๆ ส่วนในคราวเดียว เช่น ผู้ที่ไม่ให้ทานเลย แถมตระหนี่ถี่เหนียว กีดกันหรือพูดจาถากถางคนที่เขาคิดทำบุญ อย่างนี้ก็อาจมีเครื่องหมายของความจนครบสูตร เช่นหัวสอบแหลม ขนาดศีรษะเล็กเมื่อเทียบสัดส่วนกับร่างกาย อีกทั้งมีคอยาว หูยาว ตาเหมือนคนง่วงนอน และมีคอเอียง ฯลฯ พร้อมเบ็ดเสร็จในตัวคนเดียว ซึ่งก็ส่อชัดว่าทั้งชาติคงต้องลำบากกับฐานะความเป็นอยู่ไปเรื่อย จะมีกินได้ต้องทำกรรมดีใหม่อย่างใหญ่หลวงต่อเนื่องยาวนาน จึงจะพอมีส่วนช่วยเอื้อให้สบายขึ้นได้บ้าง
---อดีตก่อนพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ในชาติสุดท้ายนั้น พระองค์เป็นปุถุชนที่คิดเกื้อกูลมหาชนเป็นอันมากมาอย่างยาวนานนับอนันตชาติ คือ แต่ละชาติกรรมของท่านหนักไปในทางช่วยคน ช่วยสม่ำเสมอ ช่วยเป็นประจำ หรือแม้พลาดพลั้งหลงก่อกรรมตามอำนาจกิเลสไปบ้าง อย่างน้อยก็ประพฤติตนในทำนองช่วยเหลืออยู่โดยมาก
---วิบากซึ่งมีน้ำหนักดี จึงทำให้ชาติสุดท้ายของท่านได้มีลักษณะของมหาบุรุษ ๓๒ ประการ คือ ไม่ใช่แค่มีรูปโฉมงดงามปานเทพเจ้า แต่ทว่าทั่วองคาพยพยังบ่งบอกถึงพื้นชะตาว่า จะประสบความเจริญรุ่งเรืองต่างๆ นานาอย่างไรอีกด้วย ซึ่งสำหรับผู้มีลักษณะของมหาบุรุษครบถ้วนนั้น พระองค์ท่านตรัสว่า จะมีฐานะอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงสองประการ คือ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ หรือไม่ก็เป็นพระพุทธเจ้า (จักรพรรดิ์ในความหมายของพระพุทธองค์ไม่ใช่หมายถึง จักรพรรดิ์ที่ต้องได้อำนาจมาด้วยการมีมือเปื้อนเลือด แต่ครองอาณาจักรไพศาลด้วยบุญญาธิการเป็นล้นพ้น)
---พระพุทธเจ้ามีปกติตรัสเล่าเกี่ยวกับกรรมของพระองค์เพื่อให้เป็นแบบอย่างอยู่แล้ว เมื่อจะแสดงเกี่ยวกับมหาบุรุษลักษณะก็เพื่อให้พวกเรารู้ว่าแม้รูปพรรณสัณฐานแต่ละส่วนก็ได้มาโดยกรรม
---๑)ฝ่าพระบาทราบเสมอกัน ตั้งอยู่ได้มั่นคง คือ ทรงเหยียบพระบาทเสมอกันบนพื้น ทรงยกพระบาทขึ้นก็เสมอกัน ทรงจดภาคพื้นด้วยฝ่าพระบาททุกส่วนเสมอกัน
---ข้อนี้คือ วิบากจากการเป็นผู้ถือความประพฤติมั่นคงในกุศลธรรม ไม่ย่อหย่อนในความสุจริตทางกาย วาจา ใจ ในการบำเพ็ญทาน ในการรักษาศีล ๕ และศีล ๘ ในการปฏิบัติดีต่อมารดาและบิดา ในการปฏิบัติดีต่อสมณะ ในการปฏิบัติดีต่อพราหมณ์ ในความเป็นผู้เคารพต่อผู้ควรเคารพเป็นอันมาก (คือมากกว่าชนทั่วไปอย่างเทียบกันอย่างไม่อาจประมาณ)
---กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือ ถ้าเลือกเป็นราชามหาจักรพรรดิ์ จะทรงมีราชอาณาจักรมั่นคง มีพระราชโอรสจำนวนมากที่ล้วนเป็นผู้แกล้วกล้า สามารถย่ำยีเสนาแห่งปรปักษ์ได้โดยธรรม ไม่ต้องใช้อาชญา ไม่ต้องใช้ศาสตรา ไม่มีข้าศึกใดข่มได้
---๒)ลายพื้นพระบาทปรากฏเป็นรูปจักรจำนวนมาก มีซี่กำพันหนึ่ง มีกง มีดุมบริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง
---ข้อนี้คือ วิบากจากการเป็นผู้นำความสุขมาให้แก่มหาชนเป็นอันมาก บรรเทาภัยร้ายที่ก่อให้เกิดความหวาดกลัวและความหวาดเสียว จัดการรักษาความปลอดภัยโดยธรรม และบำเพ็ญทานพร้อมด้วยวัตถุอันเป็นบริวาร
---กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือ เมื่อเป็นพระราชาจะมีบริวารมาก ทั้งพราหมณ์ คฤหบดี ชาวนิคม ชาวชนบท โหราจารย์ มหาอำมาตย์ กองทหาร นายประตู ผู้มีอิทธิพล เศรษฐี ราชกุมาร
---๓)มีส้นพระบาทยาว ๔) มีนิ้วพระหัตถ์และพระบาทยาว และ ๕) พระกายตั้งตรงดุจท้าวมหาพรหม
---สามข้อนี้คือ วิบากจากการเป็นผู้ละปาณาติบาตแล้ว เว้นขาดจากปาณาติบาต เป็นผู้ไม่จับอาวุธ มีความละอายในการเบียดเบียน มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง
---กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือ เมื่อเป็นพระราชาจะมีพระชนมายุยืน ดำรงอยู่นาน ไม่มีใครๆ ที่เป็นมนุษย์ซึ่งเป็นข้าศึกศัตรูสามารถปลงพระชนม์ชีพได้
---๖)ฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทอ่อนนุ่ม และ ๗) ฝ่าพระหัตถ์และฝ่าบาทมีลายดุจตาข่าย
---สองข้อนี้คือ วิบากจากการเป็นผู้สงเคราะห์ประชาชน ได้แก่ การให้ทาน การกล่าวคำเป็นที่รัก การประพฤติให้เป็นประโยชน์ และความเป็นผู้ไม่ถือตัว กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือ เมื่อเป็นพระราชาจะมีบริวารมาก ทั้งพราหมณ์ คฤหบดี ชาวนิคม ชาวชนบท โหราจารย์ มหาอำมาตย์ กองทหาร นายประตู ผู้มีอิทธิพล เศรษฐี ราชกุมาร
---๘)มีพระบาทเหมือนสังข์คว่ำ อัฐิข้อพระบาทตั้งลอยอยู่หลังพระบาท กลับกลอกได้คล่อง เมื่อทรงดำเนินผิดกว่าสามัญชน และ ๙) มีปลายพระโลมชาติ (ขน) ทุกๆ เส้นเวียนขวา เส้นช้อนขึ้นข้างบนล้วน
---สองข้อนี้คือ วิบากจากการเป็นผู้กล่าววาจาประกอบด้วยอรรถธรรม แนะนำประชาชนเป็นอันมากไปในทางดี เป็นผู้นำประโยชน์และความสุขมาให้แก่สัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้บูชาธรรมเป็นปกติ
---กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือ เมื่อเป็นพระราชาจะเป็นประธานสูงสุด ดีกว่าหมู่ชนที่บริโภคกามทั้งปวง
---๑๐)พระชงฆ์ (แข้ง) เรียวดุจแข้งเนื้อทราย คือเรียวไปโดยลำดับ
---ข้อนี้คือ วิบากจากการเป็นผู้ตั้งใจสอนศิลปะวิชา ข้อที่ควรประพฤติ หลักกรรมวิบาก ด้วยความครุ่นคิดว่าทำอย่างไรชนทั้งหลาย พึงรู้เร็ว พึงสำเร็จเร็ว ไม่พึงลำบากนาน
---กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือ เมื่อเป็นพระราชาจะได้เฉพาะซึ่งพาหนะที่ยิ่งใหญ่ เช่น ช้างเผือกคู่บารมี
---๑๑)ส่วนพระกายเป็นปริมณฑลดุจปริมณฑลแห่งต้นไทร (พระกายสูงเท่ากับวาของพระองค์) และ ๑๒) เมื่อยืนตรง พระหัตถ์ทั้งสองสามารถลูบจับถึงพระชานุ (เข่า)
---สองข้อนี้คือ วิบากจากการเป็นผู้ตรวจดูมหาชนที่ควรสงเคราะห์ ย่อมรู้จักชนที่เสมอกัน รู้จักตนเอง รู้จักบุรุษ รู้จักบุรุษพิเศษ หยั่งทราบว่าผู้นั้นควรสักการะอย่างนี้ บุคคลผู้นี้ควรสักการะอย่างนั้น รวมทั้งเกื้อกูลพวกท่านเป็นพิเศษ
---กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือ เมื่อเป็นพระราชาจะได้เป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีทองและเงินมาก มีข้าวเปลือกมาก มีคลังเต็มบริบูรณ์ มีเครื่องอุปกรณ์น่าปลื้มใจมาก
---๑๓)มีพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก (อวัยวะเพศชาย)
---ข้อนี้คือ วิบากจากการเป็นผู้นำพวกญาติมิตรสหายที่สูญหายพลัดพรากไปนานให้กลับมาพบกัน เมื่อทำพวกเขาให้พร้อมเพรียงกันแล้วก็ชื่นชมยินดีปรีดาอยู่ วิบากของกรรมทำให้เกิดลักษณะของมหาบุรุษคื อมีพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก
---กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือ เมื่อเป็นพระราชาจะมีพระโอรสมาก ล้วนกล้าหาญและมีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้
---๑๔)พระฉวี (ผิวกาย) ละเอียด ธุลีละอองไม่ติดพระกาย
---ข้อนี้คือ วิบากจากการเป็นผู้เข้าหาสมณะหรือพราหมณ์แล้วซักถาม (ด้วยความเคารพและน้อมนำไปปฏิบัติ) ว่ากุศลกรรมเป็นอย่างไร อกุศลกรรมเป็นอย่างไร กรรมส่วนที่มีโทษเป็นอย่างไร กรรมส่วนที่ไม่มีโทษเป็นอย่างไร กรรมที่ควรเสพเป็นอย่างไร กรรมที่ไม่ควรเสพเป็นอย่างไร วิบากของกรรมทำให้เกิดลักษณะของมหาบุรุษคือ มีพระฉวี (ผิวกาย) สุขุมละเอียด ธุลีละอองไม่อาจติดกายได้
---กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือ เมื่อเป็นพระราชาจะมีปัญญามาก ไม่มีบรรดาชนผู้บริโภคกรรมใดมีปัญญาเสมอหรือประเสริฐกว่าพระองค์
---๑๕)มีฉวีวรรณ (สีผิว) ประดุจทองคำ
---ข้อนี้คือ วิบากจากการเป็นผู้ไม่มีความโกรธ ไม่มีความแค้นใจ แม้ถูกคนหมู่มากว่าเอาก็ไม่ขัดใจ ไม่ปองร้าย ไม่จองเวรล้างผลาญ ไม่แม้ทำความโกรธเคืองและความเสียใจให้ปรากฎ นอกจากนั้นยังมีกรรมที่ให้ผลเป็นผิวประดุจทองอื่นอีก คือเป็นผู้ให้เครื่องปูหนังสัตว์มีเนื้อละเอียดอ่อน และให้ผ้าสำหรับนุ่งห่ม คือ ผ้าโขมพัสตร์มีเนื้อละเอียด ผ้าฝ้ายมีเนื้อละเอียด
---กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือ เมื่อเป็นพระราชาจะได้เครื่องลาดมีเนื้อละเอียดอ่อน ทั้งได้ผ้าสำหรับนุ่งห่ม เช่น ผ้าโขมพัสตร์เนื้อละเอียด ผ้าฝ้ายเนื้อละเอียด ผ้าไหมเนื้อละเอียด ผ้ากัมพลเนื้อละเอียด เป็นต้น (หมายถึง ถ้าเป็นกษัตริย์จะทรงอยู่ในถิ่นที่มีช่างผู้ฉลาดในทางภูษาอาภรณ์ และทั้งชีวิตจะไม่ขาดจากเครื่องนุ่งห่มชั้นเลิศ มีความประณีตยิ่ง เข้ากันกับผิวอันงามประดุจทองคำของพระองค์ แต่ถ้าทรงผนวชและเลือกที่จะมักน้อยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง บางครั้งเมื่อมีคนถวายจีวรชั้นดีท่านก็สนองศรัทธา แต่โดยมากท่านจะเป็นอยู่ด้วยจีวรปอนๆ)
---๑๖)มีเส้นพระโลมา (ขน) เฉพาะขุมละเส้น และ ๑๗) มีอุณาโลม (ขนหว่างคิ้ว) เวียนขวา
---สองข้อนี้คือ วิบากจากการเป็นผู้ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์มีถ้อยคำเป็นหลักเป็นฐานควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก
---กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือ เมื่อเป็นพระราชาจะมีมหาชนยกย่องและยึดถือเป็นแบบอย่าง เป็นบุคคลในอุดมคติ
---๑๘)มีพระมังสะ (เนื้อ) อูมเต็มในที่ ๗ แห่ง คือหลังพระหัตถ์ทั้ง ๒ หลังพระบาททั้ง ๒ พระอังสา (บ่า) ทั้ง ๒ กับลำพระศอ (คอ)
---ข้อนี้คือ วิบากจากการเป็นผู้ให้ของที่ควรเคี้ยวและของที่ควรบริโภคอันประณีตและมีรสอร่อย รวมทั้งให้น้ำที่ควรซด ควรดื่ม
---กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือ เมื่อเป็นพระราชาจะได้ของที่ควรเคี้ยวและของที่ควรบริโภคอันประณีต มีรสอร่อย และได้น้ำที่ควรซด ควรดื่ม
---๑๙)มีส่วนพระสรีรกายบริบูรณ์ ล่ำพี ดุจกึ่งท่อนหน้าแห่งพญาราชสีห์ ๒๐) พระปฤษฎางค์ (ส่วนหลัง) ราบเต็มเสมอกัน ๒๑) มีลำพระศอ (คอ) กลมงามเสมอตลอด
---สามข้อนี้คือ วิบากจากการเป็นผู้หวังประโยชน์ หวังความเกื้อกูล หวังความผาสุก หวังความเกษมจากโยคะ แก่ชนเป็นอันมาก ด้วยความคิดว่าทำอย่างไรชนเหล่านี้พึงเจริญด้วยศรัทธา เจริญด้วยสละออก เจริญด้วยศีล เจริญด้วยการฟังสาระธรรม เจริญด้วยการเป็นผู้รู้แจ้งตื่นจากการหลับไหล เจริญด้วยปัญญา เจริญด้วยโภคทรัพย์ เจริญด้วยบุตรและภรรยา เจริญด้วยทาสและกรรมกร เจริญด้วยญาติ เจริญด้วยมิตร เจริญด้วยพวกพ้อง
---กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือ เมื่อเป็นพระราชาจะมีความไม่เสื่อมเป็นธรรมดาจากทรัพย์ บุตรภรรยา ญาติมิตร และบริวาร
---๒๒)มีเส้นประสาทสำหรับรับรสพระกระยาหารอันดี มีปลายในเบื้องบนประชุมอยู่ที่ลำพระศอ สำหรับนำรสอาหารแผ่ซ่านไปสม่ำเสมอทั่วพระกาย
---ข้อนี้คือ วิบากจากการเป็นผู้ไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายด้วยฝ่ามือ ก้อนดิน ท่อนไม้ หรือศาสตรา
---กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือ เมื่อเป็นพระราชาจะมีพระโรคาพาธน้อย สมบูรณ์ด้วยธาตุไฟ (ความเผาผลาญ) อันยังอาหารให้ย่อยดีไม่เย็นนัก ไม่ร้อนนัก
---๒๓)มีพระหนุ (คาง) ดุจคางแห่งราชสีห์ (โค้งเหมือนวงพระจันทร์)
---ข้อนี้คือ วิบากจากการเป็นผู้ละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำที่เป็นจริง พูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐาน มีที่อ้าง มีที่กำหนด ประกอบประโยชน์โดยกาลอันควร
---กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือ เมื่อเป็นพระราชา จะไม่มีใครๆ ที่เป็นข้าศึกศัตรูกำจัดได้
---๒๔)มีพระทนต์ (ฟัน) ๔๐ ซี่ (ข้างละ ๒๐ ซี่) และ ๒๕) พระทนต์ชิดสนิทมิได้ห่าง
---สองข้อนี้คือ วิบากจากการเป็นผู้ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ฟังจากข้างนี้แล้วไม่ไปบอกข้างโน้น ไม่ประสงค์ยุแยงตะแคงรั่วให้คนเขาแตกคอกัน ตรงข้ามพยายามพูดสมานสามัคคี ทำให้คนที่เขาแตกร้าวกันกลับมาคืนดีกัน มีความเพลิดเพลินยินดีในการเห็นผู้คนปรองดองกัน กล่าวแต่คำที่ทำให้ใครต่อใครปรองดองกัน
---กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือ เมื่อเป็นพระราชาจะมีบริษัทส่วนใหญ่จะไม่แตกคอกัน (คือไม่เป็นฝักเป็นฝ่าย ไม่ตั้งก๊ก ตั้งป้อมโจมตีกัน จนเสียความเป็นปึกแผ่น เสียความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จนกระทั่งพระราชบัลลังก์คลอนแคลนได้)
---๒๖)พระทนต์เรียบเสมอกัน และ ๒๗) เขี้ยวพระทนต์ทั้ง ๔ ขาวงามบริสุทธิ์
---สองข้อนี้คือ วิบากจากการเป็นผู้ละอาชีพทุจริตแล้ว สำเร็จความเป็นอยู่ด้วยอาชีพสุจริต เว้นขาดจากการโกงด้วยตาชั่ง การโกงด้วยของปลอม การโกงด้วยเครื่องตวงวัด การโกงด้วยการรับสินบน การหลอกลวง การทำตลบตะแลง เว้นขาดจากการตัด การฆ่า การจองจำ การตีชิง การปล้นและการกรรโชกขู่เอาทรัพย์ผู้อื่น (ข้อนี้ต้องดูว่าบางชาติอาจยากจนข้นแค้น แต่แม้จนตรอกขนาดไหน มีใครชักชวนอย่างไรก็ห้ามใจไว้ ไม่ประพฤติผิดแม้มีกำลังมากพอที่จะทำได้)
---กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือ เมื่อเป็นพระราชาจะมีบริวารสะอาดปราศจากมลทิน
---๒๘)พระชิวหา (ลิ้น) อ่อนและยาว (อาจแผ่ปกหน้าผากได้) และ ๒๙) พระสุรเสียงยิ่งใหญ่ดุจท้าวมหาพรหม ทว่ายามตรัสมีสำเนียงเพราะพริ้งราวกับนกการเวก
---สองข้อนี้คือ วิบากจากการเป็นผู้ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ เสนาะเพราะโสต จับใจ ชวนให้รัก คนส่วนใหญ่พึงใจ
---กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือ เมื่อเป็นพระราชาจะมีพระวาจาอันมหาชนพึงเชื่อถือ
---๓๐)พระเนตร (ตา) ดำสนิท และ ๓๑) ดวงพระเนตรแจ่มใสดุจตาลูกโคเพิ่งคลอด
---สองข้อนี้คือ วิบากจากการเป็นผู้ไม่ถลึงตาดู ไม่ค้อนตาดู ไม่ชำเลืองตาดูใครๆ ด้วยอำนาจความโกรธ เป็นผู้ตรง มีใจตรงเป็นปรกติ แลดูใครๆ ตรงๆ ด้วยดวงตาทอแววรักใคร่เมตตา วิบากของกรรมทำให้เกิดลักษณะของมหาบุรุษคือ มีพระเนตร (ตา) สีดำสนิทและงามดุจประกายตาแห่งโค
---กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือ เมื่อเป็นพระราชาจะเป็นผู้ที่อันมหาชนเห็นแล้วเคารพรัก
---๓๒)มีพระเศียร (ศีรษะ) งามบริบูรณ์ดุจประดับด้วยกรอบพระพักตร์
---ข้อนี้คือ วิบากจากการเป็นหัวหน้าของมหาชนในธรรมทั้งหลายที่เป็นฝ่ายกุศล เป็นประธานของมหาชนด้วยกายสุจริต ด้วยวจีสุจริต ด้วยมโนสุจริต ในการบำเพ็ญทาน ในการตั้งใจรักษาศีล ๕ และศีล ๘ ในความเป็นผู้ปฏิบัติดีต่อมารดาและบิดา ในความเป็นผู้ปฏิบัติดีต่อสมณะ ในความปฏิบัติดีต่อพราหมณ์ ในความเคารพต่อผู้หลักผู้ใหญ่ในสกุล รวมทั้งเป็นผู้นำในธรรมเป็นมหากุศลอื่นๆ
---กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือ เมื่อเป็นพระราชาจะเป็นผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือจากมหาชนอย่างล้นหลาม
---จากความรู้เกี่ยวกับลักษณะของมหาบุรุษข้างต้นนี้ เราพอจะอาศัยบางส่วนเป็นตำราทายมนุษย์ได้เล็กๆ น้อยๆ เช่น ถ้าหากใครมีร่างใหญ่ ส้นเท้ายาว นิ้วมือนิ้วเท้ายาว ก็ประมาณว่าอดีตชาติ เคยเป็นผู้เว้นจากการฆ่าและหวังประโยชน์ใหญ่ ทำคุณกับมหาชนมาก่อน เพราะผู้เคยกระทำการอันมุ่งประโยชน์มหาชน จะมีคุณสมบัติข้อนี้อยู่จริงๆ เรียกว่า มีลักษณะเป็นส่วนหนึ่งของมหาบุรุษ แม้จะไม่ใช่มหาบุรุษทั้งตัวก็ตามที
---และคงเห็นชัดว่าแม้เราๆ ท่านๆ จะไม่ได้ตั้งความปรารถนาบำเพ็ญบารมีเพื่อให้มีลักษณะมหาบุรุษ แต่ก็สามารถทราบได้ และเกิดแรงบันดาลใจว่าถ้าอยากเป็นผู้มีเสียงไพเราะ ก็จะต้องพูดเพราะๆ และประกอบด้วยคำอันเป็นที่รื่นหู ฟังแล้วสบายใจ เป็นต้น หากปลูกฝัง สั่งสม และประพฤติตนเป็นผู้มีวาจาอ่อนหวาน ก็ย่อมได้รับผลเป็นแก้วเสียงคุณภาพสูงในระยะยาว
---แต่มีข้อน่าสังเกตว่านอกจากกรรมหลักๆ อันเป็นแก่นแล้ว ก็ยังมีกรรมพิเศษที่ปรุงแต่งคุณลักษณ์ซึ่งดีอยู่แล้วให้วิเศษเยี่ยมยอดเป็นทวีคูณ เช่น ถ้าใครพูดเพราะ พูดแต่เรื่องดี มีสาระและความจริงรองรับ แล้วบวกเข้าไปอีก เช่น สวดมนต์สรรเสริญพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสงฆ์องค์เจ้า ด้วยใจรู้เนื้อความ มีความยินดีเลื่อมใสในการป่าวประกาศด้วยปากตน ให้ญาติพี่น้องตลอดจนมหาชนรับรู้ถึงคุณแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยกตัวอย่างเช่น ในปัจจุบันมีผู้ร้องเพลงออกเทปในแนวที่สามารถโน้มน้าวใจให้คนเกิดศรัทธาในพระรัตนตรัยได้จริง ผลเกี่ยวกับแก้วเสียงในชาติถัดๆ ไปย่อมเอกอุเกินประมาณได้
---อีกประการหนึ่ง มีกรรมหลายๆ ประการที่คนธรรมดาทั่วไปสามารถรับรู้ด้วยจิต ว่าจะออกดอกออกผลงอกเงยอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราคิดพูดดี คิดพูดจาให้เป็นที่รัก เป็นที่รื่นหู เป็นที่สบอารมณ์ของคนฟัง จิตใจเราจะโปร่งใส จนเหมือนสัมผัสประกายใสแพรวจากส่วนลึกของตนเอง และประกายใสแพรวดังกล่าวนั้น ก็ปรากฏออกมาในรูปของแก้วเสียงที่เพราะพริ้งขึ้นกว่าปกติ ไม่ว่าคุณภาพแก้วเสียงเดิมของเราจะเป็นอย่างไร เราย่อมเกิดความพึงพอใจในประกายใสแพรวขึ้นกว่าปกตินั้นเสมอ
---หรืออย่างเมื่อเราให้ความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ หรือผู้ทรงคุณใดๆ โดยพนมมือด้วยความตั้งใจไหว้สวยๆ มีการค้อมศีรษะลงด้วยจิตที่นบน้อมปราศจากมายาหรือฝืนแสร้ง เราจะรู้สึกถึงรูปศีรษะของตนขึ้นมาในขณะหนึ่ง ว่าเป็นส่วนของเครื่องบูชาอันงามได้ และจิตที่จับเครื่องบูชาอันงามนั้น ย่อมก่อให้เกิดมโนภาพทางใจเป็นนิมิตประเสริฐ มีความมน กลมกลึง ปราศจากปุ่มปมขรุขระ จิตแบบนั้นแหละที่สร้างภพของผู้มีศีรษะมนงามขึ้นมา ยิ่งทำบ่อย ทำเป็นประจำสม่ำเสมอ ภพของผู้มีศีรษะมนงามก็จะยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
*กรรมที่มีอิทธิพลปรุงแต่งรูปร่างหน้าตาให้กระเดียดไปในทางหนึ่งๆ
---พวกเราทำกรรมกันมาซับซ้อนหลายหลาก จึงมักเกิดคำถามว่า แล้วมีการเลือกสรรกรรมมาตกแต่งหน้าตาอย่างไร เช่น บางคนเคยร้ายมากและดีมากในชาติเดียวกัน อย่างนี้มิต้องมีหน้าตาพิลึกกึกกือขัดแย้งกันเองแย่หรอกหรือ
---กรรมหลายๆ ประการทำให้บางคนหน้ากลม บางคนหน้าแหลม บางคนหน้ารูปหัวใจ บางคนหน้ารูปไข่ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ถ้ามีบุญปรุงรูปโฉมให้ดีเสียหน่อย พอรวมเครื่องหน้าทั้งหมดก็ยังดูงามได้ทั้งนั้น ผิดกับบางคน ถึงแม้เค้าโครงหน้าตาจะดูดี เครื่องเคราบนใบหน้าก็ไม่มีชิ้นใดผิดรูปผิดทรง แต่รวมออกมาทั้งหมดกลับจืดๆ เฉยๆ ไม่เห็นเด่นสะดุดตาแต่อย่างใด เหล่านี้ ล้วนเป็นเพราะการเสกการบันดาลของกรรมเก่า จะไปคิดคำนวนตีค่าความงามเป็นสัดส่วนตายตัวไม่ได้
---กรรมที่ทำเป็นประจำจนคนสนิทใกล้ตัวเอาไปโจษกันว่า ‘คนนี้นะ มีนิสัย…’ สิ่งที่สังคมพูดกันตรงกันว่าเราเป็นอย่างไรนั่นแหละ มักมีบทบาทสำคัญในการตกแต่งความงามให้เป็นไปต่างๆ เสมือนเป็นตะกร้าใหญ่ที่รวบรวมเอาผลหมากรากไม้ต่างๆ มารวมไว้ในที่เดียว คนเห็นเพียงผาดย่อมเห็นทั้งตะกร้านั้นก่อนที่จะลงไปดูผลไม้เป็นลูกๆ
*ขอจำแนกความงามที่เห็นแล้วรู้สึกสะดุดตาสัก ๖ ประเภท พร้อมกรรมอันก่อไว้เป็นเหตุให้งามในประเภทนั้นๆ
*๑)งามแบบสง่า
---บางคนมีรัศมีงามจับตา เห็นเด่นแต่ไกลอยู่ตลอด ท่วงท่าเวลาจะนั่ง จะเดิน ดูมีความจับตาจับใจแปลกประหลาดกว่าคนธรรมดา ในอดีตชาติพวกนี้เคยทำบุญกับผู้มีคุณวิเศษ เช่น สมณะที่พยายามเพียรเพื่อละกาม เวลาทำบุญทำด้วยความเคารพลึกซึ้ง จะจัดถวายทานใดก็นิยมพิธีรีตองที่งดงามโดยมีเจตนาให้เกียรติผู้รับ ส่วนในแง่ศีลธรรมนั้น เวลาจะทำผิดอะไรเห็นแก่หน้าพ่อแม่และวงศ์ตระกูล ไม่ทำตามอำเภอใจเพียงเพราะเห็นแก่กิเลสตนเอง แต่ถ้าไม่ค่อยเป็นคนรักเกียรติ ผิดศีลผิดธรรมเก่ง อย่างนี้แม้ทำบุญด้วยความเคารพก็จะได้ผลเป็นความงามสง่าแบบแปลกๆ ไม่ดูดีเต็มร้อย คือ บางมุมเหมือนหงส์ แต่บางมุมเหมือนกาก็ได้
*๒)งามแบบอ่อนหวาน
---ความอ่อนหวานดูเป็นธรรมชาติประจำเพศของผู้หญิง แต่ความจริงก็คือ มีผู้หญิงไม่กี่คนที่เห็นแล้วทำให้อยากออกปากวิจารณ์ว่าหน้าหวานจริง ส่วนใหญ่จะธรรมดา เอียงไปทางจืดชืดหรือทางคมคายกัน ในอดีตชาติพวกที่หน้าหวานนั้นเคยพูดจาอ่อนโยน ใช้ถ้อยคำหวานหูโดยมีเจตนาให้คนฟังรู้สึกดี ไม่ใช่พูดหวานแต่จิตใจซ่อนแฝงความประสงค์ร้ายอย่างใดอย่างหนึ่งไว้ และไม่ใช่พูดหวานในลักษณะแกล้งดัดจริต เวลาทำบุญจะทำด้วยความนุ่มนวล ผู้หญิงแสดงท่าทีชดช้อย ผู้ชายแสดงท่าทีนบนอบอ่อนน้อม
*๓)งามแบบฉูดฉาดจัดจ้าน
---บางคนสวยหรือหล่อแบบคมเข้ม ดูว่าบาดตาบาดใจก็ได้ หรือดูว่าน่าเขม่น ชวนให้อยากชิงดีชิงเด่นกันก็ได้ ในอดีตชาติพวกนี้เวลาทำบุญ จะมีจิตคิดออกหน้าออกตา ชอบทำให้คนเห็นเยอะๆ เป็นจุดเด่น เป็นความสนใจ ซึ่งแง่ดีคือ เป็นแรงบันดาลใจให้คนเห็นอยากเอาตาม แต่แง่เสียคือเป็นที่หมั่นไส้ได้ และจิตของคนชอบเป็นจุดเด่นในงานบุญนั้น มักพ่วงเอาความโลภเข้าไปเจืออยู่ในบุญ พร้อมจะแปรจิตจากบุญเป็นบาปได้ทันทีที่มีการแก่งแย่งชิงดีทางหน้าตากัน
*๔)งามแบบเร้าความรู้สึกทางเพศ
---บางคนถูกจัดให้เป็นสัญลักษณ์ทางเพศโดยไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ปรากฏตัวยังไม่ทันอวดเนื้ออวดหนังสักเท่าไหร่ด้วยซ้ำ ในอดีตชาติพวกนี้เคยทำบุญแบบหวังผลทางรูปร่างหน้าตาโดยเฉพาะ แบบที่ดึงดูดใจเพศตรงข้ามมากๆ
*๕)งามแบบน่าเอ็นดูเหมือนเด็กๆ
---บางคนหน้าอ่อนเยาว์ตลอดชีวิต ดาราบางรายอายุจะ ๕๐ อยู่แล้วยังได้เล่นบทหนุ่ม ๓๐ โดยไม่ต้องอาศัยการแต่งหน้าหรือเทคนิคการถ่ายทำเข้ามาช่วย ในอดีตชาติพวกนี้เคยถวายเครื่องบำรุงสุขภาพ เครื่องชะลอความชราให้แก่สมณะหรือพราหมณ์ โดยมีเจตนาจะยืดอายุของพวกท่าน ให้พวกท่านมีความอ่อนกว่าวัย เพื่อเป็นประโยชน์กับโลกต่อไปนานๆ นอกจากนั้นยังมีศีลข้อแรกสะอาดหมดจด ไม่เบียดเบียนชีวิตอื่นแม้ด้วยความคิด
*๖)งามแบบแปลกประหลาด
---บางคนมีหลายมุมมองเหลือเกิน บางมุมดูแล้วดี อีกมุมดูแล้วชอบกล เอาไปบอกต่อได้ยากว่างามหรือไม่งามกันแน่ ต้องให้ดูเอาเอง ในอดีตชาติพวกนี้มักทำทานพอประมาณ รักษาศีลพอประมาณ แต่ชอบมีความคิดแหวกแนว พิลึกกึกกือ ไม่ค่อยลงใจสนิทกับทานและศีล ยกตัวอย่างเช่น ยอมใส่บาตรพระกับญาติได้ แต่ก็มักมาพูดทีหลังว่าจะทำไปทำไม น่าจะเก็บไว้กินเองมากกว่า หรือยอมรักษาศีลไม่ประพฤติผิดทางกามกับใคร แต่ก็ชอบไปยั่วเย้าให้เขามาอยากมีเพศสัมพันธ์แบบผิดๆ กับตน ความคิดซ่อนแฝงที่ขัดแย้งกันกับพฤติกรรมทำนองนี้แหละ ที่ทำให้สวยหล่อแบบแปลกๆ แบบที่สมัยนี้เรียกกันว่า สวยไม่เสร็จ หล่อไม่เสร็จ คือ เหมือนยังปั้นไม่ครบ หรือครบแต่เว้าแหว่ง บางส่วนเหมือนหายๆไปไม่เต็มบริบูรณ์
*ความงามไม่ได้มีแค่ ๖
---ประเภทเท่านี้ แต่ขอยกมาพอสังเขป ขอให้ถือว่าถ้าไม่งามเลย หรือน่าเกลียดอัปลักษณ์ต่างๆนานา ก็ขึ้นอยู่กับศีลไม่บริสุทธิ์และพูดจาระคายโสตเป็นหลัก นอกจากนั้นคือไม่ค่อยทำทาน หรือทำทานด้วยความคิดอุตริไปต่างๆ เหล่านี้มีผลตกแต่งให้หน้าตาดูแย่ได้ทั้งสิ้น ยิ่งพวกชอบพูดหยาบ ชอบสาปแช่งชาวบ้านเป็นงานอดิเรก ถ้าเกิดใหม่มีวาสนาพอได้เป็นคน ก็มักเป็นประเภทสิวปรุ เตี้ยล่ำดำมิด หรือโหนกแก้มไม่เท่ากันไปโน่น
*ลักษณะขัดแย้งระหว่างรูปโฉมและกรรมในปัจจุบัน
---เหมือนธรรมชาติไม่เปิดโอกาสให้พวกเราเลือกที่จะสวยหล่อด้วยกรรมดีอย่างเดียวไปตลอดกาล กิเลส คือ ราคะ โทสะ โมหะ มักจะชักชวนเราประพฤติปฏิบัติในทางที่จะทำให้เกิดมารูปร่างหน้าตาน่าเกลียดเสียมากกว่าอย่างอื่น
---แม้แต่คนเกิดมารูปงามจัดก็ไม่พ้นกิเลสทั้งสามข้อดังกล่าว และกลับจะยิ่งกิเลสแรงเหนือคนทั่วไปเสียอีก เพราะพวกเราเกิดมากับความไม่รู้ จำไม่ได้ว่าเคยทำอะไรมาถึงหน้าตาเป็นอย่างนี้ พอส่องกระจกเห็นดูดีมาแต่จำความได้ ก็เลยเกิดอาการหลงรูปหรือหลงตัว และกลายเป็นตัวแปรยั่วยุให้ทำอะไรผิดๆ เมื่อเจริญวัยขึ้น
---ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเห็นใครต่อใครมาหลงตนง่ายๆ หญิงชายก็มักใช้รูปร่างหน้าตาเป็นอาวุธ หลอกล่อให้ใครต่อใครเขามาหลงชอบเยอะๆ สะใจที่ตนมีอิทธิพลสำคัญกับการทำให้พวกหน้าโง่ซึมเศร้าผิดหวัง หรือภูมิใจที่ใครๆ โจษจันกันว่าเราเป็นศูนย์รวมอกที่หักเดาะของผู้คนจำนวนมหาศาล
---ความชอบใจที่เห็นคนมาหลงใหลได้ปลื้มตัวเองมากๆ นั้น ก่อให้เกิดพฤติกรรมบิดเบี้ยวขึ้นตามลำดับ เช่น เป็นผู้ไม่มีความเห็นอกเห็นใจใคร เห็นแต่ความสำคัญของตัวเองอย่างเดียว คนอื่นทั้งโลกต้องเป็นฝ่ายหยิบยื่นให้ตน ไม่ใช่ตนเป็นฝ่ายหยิบยื่นให้คนอื่น เรื่องศีลสัตย์ เรื่องพูดจริง เรื่องรักษาคำพูด ฯลฯ ไม่ต้องไปสนใจอะไรทั้งนั้น แล้วในที่สุดก็กลายเป็นการเอาตัวเองมาเดินบนเส้นทางกรรมใหม่ที่ส่งผลให้รูปทรามเข้าจนได้
---กล่าวในอีกทางหนึ่ง ตามหลักกรรมวิบากนั้น ปกติกำลังกุศลจะมีอำนาจเหนือกำลังของอกุศล หมายความว่า ถ้าทำบุญและทำบาปมาในประมาณเดียวกันหรือก้ำกึ่งกัน กำลังบุญมักจะชิงให้ผลก่อน หรือตัดทอนการให้ผลของบาปจนไม่รู้สึกชัดเจน
---นั่นหมายความว่า แม้จะเป็นผู้มีกาย วาจา ใจ อันไม่ค่อยเป็นไปในทางปรุงแต่งรูปร่างหน้าตาให้พริ้มเพราเท่าใดนัก แต่หากมีอภิมหากุศลบางประการมาเป็นตัวนำร่องการปรุงแต่งรูปโฉม ก็อาจเกิดมาสวยหล่อทุกภพทุกชาติได้ หรืออย่างน้อยถ้าเฉือนกันไม่ขาดกับอกุศลกรรมจริงๆ ก็จะไม่ทำให้มู่ทู่ดูน่าชังนัก
---มหากุศลกรรมที่เป็นตัวอย่างได้ดีคือการเคยมีหน้าที่เป็นผู้ทำความสะอาดพระปฏิมา และทำไม่ใช่สักแต่ทำ แต่ทำแล้วเกิดความปลาบปลื้มยินดีเป็นล้นพ้นที่เห็นองค์พระปฏิมาสะอาดเอี่ยมเป็นประกายเงางามด้วยมือตน
---เหนือยิ่งกว่านั้น คือ เคยเป็นช่างปั้นพระปฏิมาหรือเป็นจิตรกรวาดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแบบเหมือนจริง หรือใกล้เคียง ในทางที่จะก่อให้มหาชนเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธนิมิต เมื่อหมู่มหาชนได้กราบไหว้แล้วเกิดมหากุศลจิตติดตัวเป็นยานนำร่องไปสู่สุคติได้ พวกนี้เกิดมามักสวยหล่อระดับโลก ไม่ใช่สวยหล่อแค่เอาไว้ประกวดได้เพียงระดับท้องถิ่น
---และแม้ไม่ได้เป็นปฏิมากรหรือจิตรกรด้วยตนเอง เพียงได้มีส่วนร่วมสร้างพระประธานองค์งาม หรือเพียงเห็นแล้วนึกปลื้มใจยินดี มีน้ำจิตอนุโมทนากับผู้สร้างอย่างแท้จริง เท่านี้ก็มีส่วนปรุงแต่งรูปให้งามเลิศได้แล้ว
*บทสำรวจตนเอง
---มีผู้คนไม่พึงพอใจมากกว่าผู้พึงพอใจในรูปร่างหน้าตาของตน และแม้บางคนพอใจแล้ว ก็ยังมีจุดปลีกย่อยอันเป็นที่ไม่พอใจหลงเหลืออยู่อีก ทุกวันนี้แม้มีเทคโนโลยีผ่าตัดผ่าแต่งเสริมความงามผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ยืนยันความไม่อิ่มไม่พอในรูปโฉมโนมพรรณของตนเองได้เป็นอย่างดี แต่แทนที่จะมีการสร้างเหตุแห่งความงามอย่างถูกต้อง กลับหาทางลัดราคาแพงที่ไม่จีรังกันเสียหมด
---เพื่อเป็นผู้งามออกมาจากภายในตั้งแต่วันนี้ และเตรียมรูปโฉมดีๆ ไว้สำหรับอนาคตชาติ ขอให้ถามตนเองเป็นข้อๆ ดังนี้
---๑)เรายังเป็นผู้ยินดีให้ทานอยู่หรือไม่
---๒)ขณะให้ทานนั้นเรายิ้มแย้มผ่องใสได้ด้วยจิตอันเปี่ยมศรัทธาในบุญหรือไม่
---๓)เราเป็นผู้รู้สึกสะอาดออกมาจากหัวใจเมื่อถนอมรักษาศีลไว้ได้ตามเจตนาหรือไม่
---๔)เราเป็นผู้มองด้วยสายตาใยดี มีเมตตาหรือชอบแกล้งทำตาดุให้คนกลัว
---๕)เราเป็นผู้เปล่งเสียงอันประกอบด้วยน้ำจิตคิดเป็นประโยชน์หรือใช้เสียงในการข่มขู่ให้คนขุ่นใจ
---๖)เราเป็นผู้อ่อนน้อมหรือแข็งกระด้างต่อคนและสัตว์
---วิญญาณที่สะอาด วิญญาณที่มีประกายสุขจากการถึงพร้อมซึ่งความสุจริตทางกาย วาจา ใจนั้น ย่อมให้ความรู้สึกบอกตัวเองว่าตนจะเป็นผู้น่าดู ไม่น่ารังเกียจในสายตาคนอื่น นับแต่การเปลี่ยนแปลงนิสัยได้ถาวรในปัจจุบันชาติทีเดียว
*สรุป
---พวกเรากำลังเพลินมองผลผลิตของกรรมเก่าของใครบางคนในโลก เฝ้าชมความน่าพิสมัยของคนสวยคนหล่อ โดยไม่รู้กันเลยว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร พอประกวดประชันขึ้นทีหนึ่งก็ตัดสินกันเอามัน ให้คนหนึ่งฟองฟู ให้อีกหลายคนเสียใจ เช่น วิจารณ์ได้แค่ยายคนนั้นเข่าสวย ยายคนนี้เข่าเป็นปุ่มโปนน่าเกลียด ทั้งที่ไม่มีใครเจาะจงลงไปได้ถูกว่า ทำไมเข่าแต่ละคนเคยปั้นเคยแต่งกันมาอย่างไรถึงต่างกันอย่างนั้น
---คนหน้าตาไม่ดี มักมีปมด้อย ไร้ใบเบิกทาง ตอนเด็กๆ พ่อแม่ไม่ค่อยอยากแสดงความพิศวาส โตขึ้นหาแฟนยาก เลยกลายเป็นชนวนให้คิดไม่ดีเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบกับโลกหนักเข้าไปอีก แต่ก็มีคนหน้าตาไม่ดีบางจำพวก ที่กลับดำให้เป็นขาว พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสไปเลย คือ เพียรสร้างความดีด้วยประการต่างๆ ประพฤติกาย วาจา ใจจนสุจริตพร้อม เปล่งประกายความเป็นผู้มีรูปงามออกมาจากภายในตั้งแต่ยังมีชีวิต
---ชาตินี้เป็นมนุษย์ ได้พบพุทธศาสนาก็ถือเป็นโอกาสทอง ไม่เป็นรองชาติไหนๆ แล้ว ขืนไม่ฉวยโอกาสทำทาน ไม่รักษาศีลเลย แถมคิดไม่ดีอยู่เรื่อยๆ อย่างนี้แม้เกิดใหม่ยังได้เป็นมนุษย์อยู่ ก็จะรูปร่างหน้าตาบูดๆ เบี้ยวๆ ไปตามยถากรรม ผู้มีโอกาสล่วงรู้เส้นทางกรรมที่จะปรุงแต่งให้รูปโฉมงามพร้อม ย่อมประพฤติกาย วาจา ใจให้เป็นกุศลด้วย และสร้างบุญสร้างกุศลพิเศษประการต่างๆ ไปด้วย เพื่อความไร้ที่ติแห่งการปรากฏกายในชาติภพเบื้องหน้าตราบเท่าเข้าถึงพระนิพพานกัน
---เมื่อซื้อของด้วยความตั้งใจจะไปถวายสังฆทาน หรือตั้งใจจะเอาไปให้คนอนาถา แล้วเกิดความรู้สึกราวกับว่าเรากำลังซื้อของให้ตัวเอง กำลังซื้อความปลอดภัยให้ตัวเอง กำลังซื้อความอบอุ่นเป็นสุขใจให้ตัวเอง โดยไม่หวังผลตอบแทนเป็นรูปธรรมในทางใดทางหนึ่งทันทีทันใด อันนั้นเป็นอาการที่จิตเริ่มรู้สึกถึงผลของทานล่วงหน้าได้แล้ว และจะรู้สึกชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่าการเสียสละ การเจือจานสิ่งที่ตนมีให้คนอื่นนั่นเอง เป็นหลักประกันความมั่งมีศรีสุขในภายภาคหน้าได้ยิ่งกว่าพันธบัตรของรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจไหนๆ ทั้งสิ้นฯ
.........................................................................................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย...แสงธรรม
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 29 กันยายน 2558
แก้ไขแล้ว ป.
Consider? 백링크 업체
Shuffler 디딤돌 대출
Bankruptcy And Eliminate Debt By 50% 비대면
대출
An Opening 연체자 대출 (www.jsgml.top)
갈아타기
Simple Steps 대출 계산기
Bars 대전밤문화 (https://snaketv05.bravejournal.net/how-come-up-with-sure-your-atm-business-profits)
커뮤니티모음 (topspeed.lv)
구글지니어스