เกิดมาทำไม
---ผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันเดียวกัน เมื่อเวลาผ่านไป 15 ปี 20 ปี จะพบว่าเพื่อนร่วมรุ่นบางคนมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างไมน่าเชื่อบางคนก็ผจญชาตากรรมอันเลวร้าย มีความเป็นอยู่อย่างลำบากยากแค้นอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ถ้าเราจะเอาความประพฤติดีประพฤติชอบเป็นหลักก็มีเหตุการณ์บางอย่างทำให้สงสัย เพราะผู้มีอำนาจวาสนาบางคนก็มีพฤติกรรมอันเลวทรามต่ำช้า หากจะถือผลงานเป็นข้อพิจารณา ก็ไม่รู้สึกปลอดโปร่งใจ เพราะบางคนก้าวขึ้นสู้ที่โดยไม่มีผลงานดีเด่นแม้แต่ชิ้นเดียว ถ้าจำใช้ผลบุญในอดีตชาติเป็นหลักในการพิจารณา ก็เป็นเรื่องรู้ยากเห็นยาก เข้าใจยาก
---ผู้มีบุญบารมีใกล้เคียงกัน ประกอบการบุญการกุศลมาในระดับเดียวกัน ก็ควรจะมีสภาพความเป็นอยู่คล้ายคลึงกัน ได้รับความสุขความทุกข์เท่าเทียมกัน แต่ก็มีหลายครั้งหลายกรณีที่สภาพการณ์มิได้เป็นเช่นนั้นสิ่งที่เป็นเหตุสำคัญให้เกิดความแตกต่าง ทางไสยศาสตร์อธิบายว่า เป็นด้วยเจตจำนงในการปฎิสนธิ พูดง่าย ๆ คือ เกิดมาทำไม
- คนที่เกิดมาราชดใช่กรรม จะมีความเป็นอยู่ยากแค้นกว่าปกติ
- คนที่เกิดมาเสวยบุญ จะเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
- คนที่เกิดมาสร้างบารมี จะไม่สนใจในการสร้างหลักฐาน แต่จะตั้งหน้าตั้งตาประกอบแต่การบุญ การกุศล
*1.เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม
---เมื่อเป็นมนุษย์ชาติก่อน เขาเคยทำบุญทำกุสลไว้มาก ทำบาปไว้บ้าง บาปไม่ไม่เกิน 30 % ของผลกรรมทั้งหมด เมื่อเขาตายทูตสวรรค์ได้ลงมารับวิญญาณของเขาขึ้นสู่โลกทิพย์เบื่องบน ครั้นเสวยสุขไปชั่วระยะหนึ่ง เกิดความไม่สบายใจที่ต้องลงมาเกิดเป็นมนุษย์ชดใช้กรรมเก่า 30 % นั้นอีก จึงตัดสินใจลงมาเกิดก่อนกำหนดผลบุญจะสิ้น ลงมาชั่วคราวเพื่อใช้หนี้กรรม
---เทพที่ลงมาใช้หนี้กรรมในมนุษย์โลกนี้ จะได้รับความทุกข์ทรมาน ถูกบีบคั้นทารุณต่าง ๆ แต่ความเดือดร้อนนั้น ๆ จะไม่มีฤทธิ์หันเหให้เขาไปสู่ความชั่วร้ายเป็นอันขาด ครั้นชดใช้ผลกรรมหมดสิ้นแล้วก็จะได้กลับไปเสวยสุขบนสวรรค์อีก
*2.เกิดมาเพื่อสร้างบารมี
---เมื่อมนุษย์โลกเกิดความระส่ำระสายเดือดร้อน เทพยเจ้าผู้ปกครองสวรรค์จะคัดเลือกเทพองค์หนึ่ง หรือเทพจำนวนหนึ่ง ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อแก้สถานการณ์อันเลวร้ายนั้น เทพผู้เสียสละความสุขในแดนสวรรค์เพื่อสร้างบารมีเช่นนี้ ตลอดชีวิตจะมีการต่อสู้เพื่อสังคม เพื่อความดีงาม เพื่อเสรีภาพ ต่อสู้อย่างไม่หยุดหย่อน ครั้นภาวะแวดล้อมต่าง ๆ พ้นขีดอันตรายแล้วเทพในร่างมนุษย์นั้นก็จะละโลกนี้ไป
---ปกติ เทพ สร้างบารมีจะไม่ยอมเสวยสุข รับความชื่นใจจากผลของงานของตนเอง พอกู้ชาติสำเร็จ ก็จะอำลาโลกทันที กลับไปเสวยสุขในโลกเบื้องสูงต่อไป
*3.เกิดมาเพื่อเป็นประมุข เกิดมาเพื่อเป็นผู้นำ
---เทพ บางองค์ บางคณะ ยอมเสียสละความสุข ความบันเทิงใจในโลกสวรรค์ ในขณะที่พวกเทพชั้นเดียวกัน ส่วนใหญ่ยังคงเสวยสุขอยู่เบื่องบน ตัวเองยอมจุติลงมาบังเกิดในตระกูลกษัตริย์ ในราชวงศ์ ในตระกูลพราหมณ์ผู้มั่งคั่ง เพื่อเสวยสุข แสวงหาความสำราญในโลกมนุษย์เป็นผู้นำปวงชน ปกครองคนหมู่มากให้มีความสุข เป็นการสร้างบารมีพร้อมกันไปในตัวด้วย
*4.หนีนรกมาเกิด
---สัตว์นรกบางตน รับใช้กรรมในนรกยังไม่ทันหมดสิ้น ก็หนีมาเกิดในโลกมนุษย์ ครั้นนายนิรยบาลทราบเรื่อง ก็จะให้ยมทูตมารับวิญญาณกลับไปทรมานอีก สัตว์นรกในร่างมนุษย์นี่จะอายุสั้นพลันตายแต่อายุยังน้อย เพราะยมทูตติดตามมาคร่าเอาตัวกลับคืนไป
*5.หนีแดนโจรมาเกิด
---สัตว์ในแดนโจรบางคน ทนทุกข์ทรมานในแดนโจรยังไม่สิ้นกรรมก็หลบหนีสู่มนุษย์โลก ด้วยผลกรรมอันยังคงตกค้างอยู่ เกิดมาจะเป็นคนพิการแต่กำเนิด หรือมิฉะนั้น ก็มีอุบัติเหตุทำให้กลายเป็นคนพิการในที่สุด
*6.หนีแดนเปรตมาเกิด
---เปรตที่ยังไม่สิ้นกรรม หนีมาเกิดเป็นมนุษย์ จะเป็นผู้ที่อดอยากยากไร้ หิวโหย หาได้ไม่พอปากพอท้อง อดมื้อกินมื้อ หรือกินแต่ของบูดเน่า ของเหลือเดน
*7.หนีแดนปีศาจมาเกิด
---ผู้ที่ชอบรีดนาทาเร้น ใช้เล่ห์เหลี่ยมอุบายวิธีต่าง ๆ เอาผลประโยชน์ของคนอื่นมาเป็นของตัว ตายแล้วจะต้องไปต่อสู้ ฟาดฟันกันเองในแดนปีศาจ บางตนใช้กรรมยังไม่สิ้น ก็หนีมาเกิดเป็นมนุษย์
---คนพวกนี้ที่เกิดมา จะเป็นคนอาภัพ ได้รับการสบประมาทดูหมิ่นเหยียดหยาม ถูกเอารัดเอาเปรียบจาดสังคมและคนที่เกี่ยวข้อง
*8.เกิดมาเพื่อเสวยสุข
---ในอดีตชาติ มนุษย์บางคนทำบุญไว้น้อย ทำบาปไว้มากด้วยผลของกรรมชั่ว ตั่งแต่ 65 % ขึ้นไป จึงทำให้เขาต้องไปทนทุกข์ทรมานรับใช้กรรมในอบายภูมิ ครั้นรับใช้ผลกรรมชั่วหมดสิ้นแล้ว ก็กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก เพื่อเสวยผลบุญส่วนน้อยที่ตัวเองได้กระทำไว้
---มนุษย์จำพวกนี้ ส่วนใหญ่จะมีนิสัยเลวร้าย ชอบเอาเปรียบชอบคดโกง แล้วได้รับผลของความคดโกง รีดนาทาเร้น เป็นความร่ำรวยมหาศาล เขาจะเสวยสุขในโลกมนุษย์ รอวาระสุดท้ายแห่งชีวิต ซึ่งยมทูตจะมารับกลับไปทรมานในอบายภูมิเช่นเดิมอีก
*9.เกิดมาเพื่อเพิ่มเติมบารมีให้เต็ม
---เทพยเจ้าบางองค์ ตั้งความปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระปัจเจกโพธิ์ เป็นพระอรหันต์สาวก ลฯฯ แม้ตัวท่านเองจะมีบุญบารมีมากมาย สูงส่งแค่ไหนก็ยังมีความบกพร่องในบารมีธรรมบ้างข้อบางประการ ท่านจึงได้อำลาพรหมโลก ละทิ้งป่าหิมพานต์ หนีจากแดนบาดาลมาเกิดเป็นมนุษย์
---มนุษย์พวกนี้เกิดมา จะตั้งหน้าตั้งตากอบโกยเอาแต่บุญญาบารมีมายอมสะสมหลักฐาน หรือทรัพย์สมบัติอันใดเพื่อตนเอง แม้จะเกิดมาในตระกูลร่ำรวย ก็ยอมหลีกหีนความสุขไปปฏิบัติธรรม ถ้ามีชื่อเสียงปรากฏขจรขจายขึ้นมา ชื่อเสียงนั้นก็จะเกิดจากความดีงาม ความเสียสละของท่าน หาได้เกิดจากการดิ้นรนแสวงหาไม่ ท่านยอมลำบากลำบน ทำแต่ความดี สร้างบารมี ซึ่งในสายตาของคนทั่วไป เห็นว่าโง่ ไม่จำเป็นต้องทำเลย
*10.เกิดมาเพื่อเสวยสุขและทุกข์ตามกรรมที่ทำมาในอดีตชาติ
---มนุษย์บางคน ไม่สนใจเรื่องบุญเรื่องบาปเลย ไม่รู้เรื่องนรกสวรรค์ แต่เขาก็ทำบุญไว้มากกว่าทำบาป บุญกุศลนั้นมีไม่ถึง 65 % ไม่มากพอ ไม่รุนแรงพอ ที่จะส่งเขาขึ้นสวรรค์ ทำบาปไว้เล็กน้อยไม่เกิน 40 % บาปไม่มีอำนาจพอที่จะฉุดเขาลงไปรับความทุกข์ทรมานในเบื้องต่ำ
---มนุษย์พวกนั้นตายแล้วจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก เสวยผลบุญผลบาป ตามกรรมที่ทำไว้ในอดีตชาติ เขาจะใช้ชีวิตเฉกเช่นเดียวกับสามัญชนทั่วไป แสวงหารักแท้ ดิ้นรนเพื่อตำแหน่งหน้าที่การงาน นิยมชมชอบความมีหน้ามีตา ต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งหลักฐานอันมั่นคง หากเขาจะทำความดี เขาก็จะทำความดีด้วยเห็นว่าเป็นหน้าที่ของบุคคลต่อสังคม
*11.เกิดมาเพื่อทำลายล้าง
---มนุษย์บางคนเป็นผู้มากไปด้วยความแค้น ผูกใจเจ็บแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ยอมเสียเปรียบใคร ถือตัวว่าเป็นพระเจ้า ผู้สร้างพระเจ้า ผู้บันดาลให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวเขา เป็นไปอย่างมีระเบียบตามต้องการ
---หากในอดีตชาติ เขาถูกศัตรูกลั่นแกล้งทรมาน ถูกเพื่อนมนุษย์ใจทรามบางคนหักหลัง ทรยศ คดโกง เขาจะต้องหาทางตอบแทนล้างแค้นให้สาแก่ใจ ขณะวางแผนงานปฏิบัติการจองเวรอยู่นั้น สัตรูคู่แค้นของเขาก็มีอันต้องจบชีวิตไปเสียก่อน เขาครุ่นคิดด้วยความเสียดายเสียใจ อย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อน เขาครุ่นคิดด้วยความเสียดายเสียใจ อย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนตลอดชีวิต
---ด้วยอำนาจความแค้น บุคคลนั้นจะเกิดมาร่วมภพ ร่วมชาติศัตรูของเขาในชาติก่อน ทำลายล้างผลาญทรัพย์สมบัติที่พ่อแม่เก็บออมสะสมไว้เป็นเวลานาน
---ภรรยา โขกสับสามี จิกหัวสามีใช้เยี่ยงทาส
---อาจารย์กลั่นแกล้งนักศึกษา โยกโย้ยึกยัก ทำจนกระทั่งนักศึกษาต้องออกจากวิทยาลัย โดยไม่ได้รับประกาศนียบัตร
---ประกอบการค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ พอเลี้ยงตัวเองได้อย่างสบาย ก็ถูกนายทุนใหญ่ เงินหนาหน้าเลือด ทุ่มทุนดำเนินกิจการแข่ง จนตัวเองล่มจมอยู่ไม่ได้
---มนุษย์ทุกคนหลีกความตายไม่พ้น จะต้องพบจุดจบมิวันใดก็วันหนึ่ง เมื่อความตายเป็นเบื้องหน้าแน่นอนเช่นนี้ มนุษย์ก็ควรแสวงหาความตายที่ดีงาม เช่น
---1.ไม่ตายโดยละทิ้งหนี้สินไว้ ไม่ตายโดยทอดทิ้งหนี้การงาน หนี้บุญคุณ หนี้น้ำใจ จะสะสางงานหนี้ต่าง ๆ ให้บรรเทาเบาบางลง เพราะเมื่อท่านตายไปอาจจะมีเจ่าหนี้หน้าเลือดบางคน เสียดายเงินทอง อาวรณ์หนี้สูญของตนเอง เจ้าหนี้จะติดตามข้ามภพข้ามชาติมาทำลายล้างท่านได้
---2.เมื่อลูกหนี้ของท่านตายลง ท่านจงปลงตกยกหนี้สินให้เขาไปอย่าอาลัยอาวรณ์ในทรัพย์สมบัติให้มากนัก เพราะความเสียดายอาลัยรักจะดูดท่านสู่ภพต่ำหรือภูมิกลาง เพื่อหักล้างบัญชีกับลูกหนี้ในอดีตชาติของท่าน ท่านจะสูญเสียโอกาสอันดี พลาดรายการชื่นสุขในโลกทิพย์สวรรค์เบื้องบน
---3.จงเตรียมใจ เตรียมการไว้ก่อนตายว่า จะไม่บรรทุกหอบหิ้วเอาหนี้สิ้น หนี้แรงงาน ติดตามไปยังภพภูมิเบื้องหน้า มอบภาระให้คนเบื้องหลังเขาจัดการ เราตายแล้วถือว่าหมดสิ้นกัน เราไม่เป็นลูกหนี้ใครไม่เป็นเจ้าหนี้ใคร
---4.กรณียะ หรือ กิจอันควรทำในชีวิตของเรา ก็คือสร้างบุญกุศลสร้างบุญคุณ การทำความดีด้วยหวังว่า คนอื่นจะตอบแทนความดีของตนในวันข้างหน้า อาจทำให้ศรัทธาในความดีนั้นเสื่อมถอย หากความดีไม่ตอบสนองตามที่หวัง
---เมื่อเกิดมา 18 ปีก่อน เราเคยอุปถัมภ์ชายหนุ่มหญิงสาวบางพวกบางเหล่า มาบัดนี้ คนเหล่านั้นได้ดีมีสุข มียศศักดิ์หลักฐานดีเด่นยิ่งกว่าเรา ความคิดเป็นไปในทางน้อยใจในวาสนาของตนเอง เป็นการให้ร้ายตนเอง ทางที่ถูกที่ควรนั้น ควรคิดไปในแง่ดี เราเป็นบันไดให้เขาไต่ขึ้นไปประสพสุขและความสำเร็จในโลกมนุษย์ ในขณะเดียวกัน เขาก็กลับกลายเป็นบันไดให้เราได้ขึ้นไป พบกับความเกษมสุข บันเทิงใจในโลกสวรรค์
*12.เกิดมาเพื่อปลดเปลื้องคำสาป
---มนุษย์บางคน เป็นผู้มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทำทานไว้เป็นอันมากแต่เขาไม่เคยประพฤติศีลให้ถูกต้องครบถ้วน ไม่เคยฝึกจิตใจ ไม่สำรวมระวังกิริยาวาจา ใส่ใจหาความรู้เกี่ยวกับนรกสวรรค์และโลกทิพย์อื่น ๆ แต่เพียงผิวเผิน
---ด้วยอำนาจแห่งทานบารมีที่ได้กระทำมา ทำให้เขาได้ไปเสวยสุขบนสวรรค์
---ถึงหากสวรรค์จะเป็นที่รื่นรมย์เพียงใด ชาวสวรรค์อยู่กันเป็นสังคม มีระเบียบวินัยควบคุม มีเทพเจ้าผู้ใหญ่เป็นผู้ปกครอง มีเจ้าหน้าที่เทพ ฝ่ายบริวารคอยดูแลให้ความสะดวก
---ความที่เขาผู้นั้นทำทานไว้มาก บกพร่องทางด้านศีล บกพร่องทางด้านปัญญา จึงทำให้เขาแสวงหาความสุขบนสวรรค์ อย่างไม่มีขอบเขตระรานก้าวร้าวเทพฝ่ายบริการ และละเมิดข้อห้ามของเทพเจ้าผู้ปกครองขัดขวางความสุขของชาวสวรรค์ด้วยกัน หรือแสดงมิจฉาทิฏฐิให้ปรากฏ
---เทพยเจ้าผู้ปกครองจึงใช้ฤทธิ์ใช้อำนาจ บันดาลให้เขาจุติจากสวรรค์ ก่อนที่เขาจะสิ้นผลบุญ เพื่อให้เขามารับบทเรียนบางอย่างในมนุษย์โลก
---มนุษย์จำพวกนี้ เกิดมาด้วยฤทธิ์คำสาปของสวรรค์ และด้วยผลบุญของตนเองที่ยังเหลืออีมาก เขาจึงมาเสวยสุขในมนุษย์โลก แต่ความสุขของเขาเป็นที่มีขอบเขต มีเงื่อนไข เช่น.....
---เขามีเงินทองใช้จ่ายไม่ขาดมือ อยู่อย่างสบาย ไม่เป็นทุกข์แต่เมื่อคิดการใหญ่เมื่อใด เป็นต้องขาดทุนป่นปี้ ทุกหนทุกคราว
---ใช้ชีวิตอย่างเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ มีความสุขบ้างพอสมควร ไม่เดือดร้อน ครั้นได้พบบุคคลที่ต้องการ ร่วมเป็นสามีภรรยากัน หรือร่วมหุ้นส่วนกัน ก็กลับมีความสุขความสำราญยิ่งขึ้น งานการก้าวหน้ารุ่งเรือง
---มีอาการแพ้ต่อวัตถุบางอย่าง การเคลื่อนที่บางประเภท เช่นเดินทางโดยเครื่องบินครั้งใด ต้องเวียนศีรษะ อาเจียนออกมา หูอื้อ ตาลาย
---ต้องบูชาเทพยเจ้าบางองค์เป็นประจำ ขาดบูชาเมื่อใดเรื่องวุ่นวายเดือดร้อน ต้องติดตามมาเสมอ
---เขาจะรู้สึกด้วยตัวของเขาเองว่า นอกจากผลกรรมแล้วยังมีอำนาจลึกลับบางอย่างผูกพันเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขา ซึ่งคนอื่น ๆ ทั่วไปไม่เข้าใจ
*13.เกิดมาเพื่อทดสอบอุดมคติ
---มนุษย์บางคน ครั้นยังมีชีวิตอยู่ ได้พากเพียรประดับประดาโลกให้รื่นรมย์ด้วยคุณธรรมความดีของตน ละโลกมนุษย์นี้แล้วก็ได้ขึ้นไปเสวยสุขบนสวรรค์ ได้รับความเมตตาจากเทพยเจ้าผู้ปกครองประจำแดน ได้รับมิตรภาพ ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือจากเทพฝ่ายบริการ
---ครั้นคุ้นเคย สนิทสนมกันเป็นอันดีแล้ว ก็เกิดสงสัยว่า ไฉนเทพฝ่ายบริการ ซึ่งสร้างคุณงามความดี มีบุญบารมีใกล้เคียงกับตน จึงมีฤทธิ์มีอำนาจเหนือกว่าตน สามารถไปมาระหว่างโลกสวรรค์ มนุษยโลกและโลกทิพย์ที่อยู่ห่างไกลได้โดยสะดวก
---บุญบารมีใกล้เคียงกัน ทำให้สามารถเสวยสุขได้เท่าเททียมกัน แต่อิทฤทธิ์ที่แตกต่างกันทำให้ความรวดเร็วในการเคลื่อนที่ แตกต่างกันลิบลับ การข้ามห้วงเวหาเป็นเรื่องเหลือวิสัย เกินสมรรถภาพของเทพผู้เสวยสุขจะทำได้
---จึงตั้งความปรารถนาจะฤทธิ์เยี่ยงเทพฝ่ายบริการบ้าง ขออนุญาตจากเทพยเจ้าผู้ปกครองมาสร้องอำนาจในมนุษยโลก
---มนุษย์จำพวกนี้ จะมีชีวิตท่ามกลางเหล่าโจร ท่ามกลางคนชั่วคนเลว มีชีวิตเกี่ยวพันกับอันธพาลผู้มีอำนาจ นักการเมืองทรงอิทธิพลและชีวิตอย่างนี้แล คืออุปสรรค คือบททดสอบอุดมคติของเขา
---ถ้าเขาปรับตัวให้เขากับกลุ่มโจร ยอมร่วมมือทำความชั่วความเลวกับคนชั่วเหล่านั้น เขาก็จะประสพสุข ได้รับอำนาจ ได้รับเงินทองได้รับความสำราญทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาปรารถนาในมนุษยโลก แต่เสียใจที่จะแจ้งให้ทราบว่า
---เขาไม่มีโอกาสได้เป็นเทพฝ่ายบริการดังต้องการ เพราะอุดมคติของเขาไม่มั่นคง ฤทธิ์อำนาจจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
---ถ้าเขาเป็นคนเข้มแข็ง เป็นคนดีแม้ในหมู่โจร ไมยอมเป็นเครื่องมือให้แก้ไอ้มนุษย์ชาติชั่ว เขาก็จะถูกบีบ ถูกกด ชีวิตได้รับความขมขื่น
---นานาประการ ความลังเลสงสัยในอำนาจความดีเขย่าหัวใจของเขาให้หวั่นไหว ชีวิตที่ดักดานไม่ก้าวหน้า ความทุกข์ยากจะบีบรัดอุดมคติของเขาให้คอดกิ่วลงทุกวัน ๆ
---นี้คือ บททดสอบอันรุนแรง เขาได้ตายลงในขณะที่อุดมคติความยึดมั่นเชื่อถือในคุณงามความดียังคงอยู่
---สวรรค์ได้ต้อนรับเขาแล้ว เขาคือ ครูญาณ เขาคือเทพฝ่ายบริการเขาคือทูตสวรรค์ เขามีฤทธิ์มีอำนาจข้างห้วงเวลาไปมาได้ชั่วขณะหนึ่งเขาปรากฏตัวในมนุษยโลกรับวัตถุทาน ที่ลูกหลานบำเพ็ญกุศลอุทิศให้อีกขณะหนึ่ง เขาปรากฏตัวในแดนสวรรค์เพื่อเสวยสุข อีกไม่นานนักเขาก็ปรากฏตัวในอบายภูมิ ศึกษาหาความรู้เรื่องกรรม ผลกรรม ผลกรรม มองดูสัตว์นรกที่ถูกทรมาน สัตว์นรกที่ในอดีตกาลไม่นานนัก ยังเป็นมนุษย์สำแดงฤทธิ์อำนาจ กลั่นแกล้งทำทารุณกรรมต่อเขา อำนาจอิทธิพลในมนุษยโลกสิ้นไร้ความหมาย นรกย่อมทรงมหิทธิอานุภาพ ยิ่งใหญ่เกรียงไกรกว่า
---มีความแตกต่างกันอยู่บ่ง ระหว่างผู้ที่เกิดมาชดใช้กรรม กับผู้ที่เกิดมาทดสอบอุดมคติ ประเภทแรก ได้รับความลำบากอย่างไม่มีทางเลือก ประเภทหลัง มีทางเลือกสองทางคือ
- ยอมร่วมมือ ทำความชั่ว จะได้ดีมีสุข
- ขัดขวาง ไม่ยอมร่วมมือคนพาลจะถูกบีบคั้น กลั่นแกล้ง ได้รับความลำบากในมนุษยโลก
*14.เกิดมาเพื่อเปลี่ยนวงจรชีวิต
---มนุษย์บางคนในอดีตชาติ ทำบุญไว้น้อย ทำบาปไว้มาก หลังจากชีวิตแตกดับแล้ว ยมทูตก็มารับวิญญาณไปทรมานในนรก ในแดนโจร ในแดนปีศาจ ฯลฯ ครั้นรับโทษทุกข์หมดสิ้นไป 90 % ก็กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก เสวนสุขในมนุษยโลก ดำเนินชีวิตแบบเดิมคือ ทำบาปมาก ทำบุญน้อย
---วงจรชีวิตของเขา จะหมุนเวียนระหว่าง มนุษยโลกกับอบายภูมิคือ
---เสวยสุข ทำบาปมาก ทำบุญน้อย ในมนุษยโลก
---รับความทุกข์ทรมาน ชดใช้หนี้กรรม ในอบายภูมิ
---เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก มาครั้งหลังก่อนจะละโลกมนุษย์ เขาได้พบเห็นสมพราหมณ์ผู้ทรงคุณธรรม เกิดความเลื่อมใส มีความเคารพใส่ใจในคำสั่งสอน เริ่มหันเข็มชีวิตเข้าสู่มาวัด กระนั้นก็ตาม ผลบุญก็ยังน้อย มิอาจต้านทานบาปกรรมได้ ตายแล้วจึงต้องไปรับโทษ ถูกทรมานในอบายภูมิตามเดิม ก่อนตายจากอบายภูมิมาถือกำเนิดในมนุษยโลก ได้ตั้งสัจจะอธิฐานจะทำความดีงามให้เต็มที่ เพื่อตะกายหนีอบายภูมิ ไม่ยอมให้ต้องตกต่ำอย่างเดิมอีก
---เกิดมาในภพนี้ชาตินี้ แนวทางชีวิตเปลี่ยนไป ไม่ได้สวยสุขในมนุษยโลกเหมือนเดิม ต้องทนทุกข์ทรมาน คือไม่มีคนเห็นบุญคุณทำความดีไม่ขึ้น ไม่มีใครพิจารณาให้บำเหน็จตอบแทน ช่วยเหลืองานสาธารณะประโยชน์ ก็เหมือนหนึ่งปิดทองหลังพระ อยากจะทำบาปเพื่อชีวิตจะได้ดีมีสุขเช่นเพื่อนฝูงคนอื่น ๆ บ้าง แรงสัจจะอธิฐานก่อนจากอบายภูมิก็จะเป็นพลังกางกั้นไว้มิให้ทำ มีกำลังภายหลังในหนุนเนื่องให้ฝืนใจทำความดีต่อไป เขากลายเป็นคนดีที่โลกไม่แยแส เป็นเศษมนุษย์ เป็นเดนคนให้เพื่อนฝูงเยาะว่าเง่าโง่
---เขาได้จบชีวิตลงไปในขณะที่ความดียังคงครองความยิ่งใหญ่ภายในใจของเขา โลกสิ้นเมตตาแต่สวรรค์ยังไม่สิ้นปราณี ทูตสวรรค์ได้ลงมารับวิญญาณของเขาขึ้นไปเสวยสุขขึ้นไปในโลกเบื้องสูง เขาคือผู้พิชิต เขาชนะแล้ว วงจรชีวิตของเขาเปลี่ยนไปเสวยสุข รับความเกษมสำราญชนะแล้ว วงจรชีวิตของเขาเปลี่ยนไปเสวยสุข รับความเกษมสำราญชื่นบานใจบนสวรรค์ สร้างกรรทดีรับใช้ผลกรรมชั่วเล็ก ๆ น้อย ๆ ในมนุษยโลก มีความแตกต่างกันอยู่บ้างระหว่าง
---ผู้ที่เกิดมาทดสอบอุดมคติ เพิ่มพูนอิทธิฤทธิ์ เลื่อนอันดับจากเทพผู้เสวยสุข เป็นเทพฝ่ายบริการ
---ผู้ที่เกิดมารับความทุกข์ทรมาน เพื่อเปลี่ยนวงจรชีวิต เลื่อนอันดับจากมนุษย์ เป็นเทพ
---ประเภทแรก ร่วมมือทำความชั่ว กลับได้ดีมีสุข ต่อต้านคนชั่วต้องถูกทรมานกลั่นแกล้ง
---ประเภทหลัง ทำความดีไม่ขึ้น ทำดีไม่ได้รับผลของความดี
*15.เกิดมาเพื่อก่อตั้งศาสนา
---เมื่อพระพุทธศาสนา ในมนุษยโลกเสื่อมสลายลงไป พระสงฆ์พระพฤติตัวแหลกเหลว ไม่นำพาต่อพระธรรมวินัย ผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ไม่มี มีแต่พระอริยเจ้าขั้นต้น ระยะต่อมา แม้พระอริยเจ้าขั้นต้นก็ไม่ปรากฏ เหลือแต่หลักวิชาและแล้วในที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างก็เลอะเลือนความรู้ทางพระพุทธศาสนากระจัดพลัดพราย ไม่สามารถจะใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตประจำวันได้
---เทพยเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ เทพยเจ้าผู้ปกครองและแดนต่าง ๆ อาศัยเมตตาธรรม จึงได้เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ ผู้บำเพ็ญบารมีเต็มเปี่ยมแล้วอาราธนาพระโพธิสัตว์ จุติมาเป็นดวงตาแห่งโลก
---พระโพธิสัตว์อุบัติในมนุษยโลก ครั้นเติบใหญ่ มีอายุพอสมควรก็ออกบวชกระทำความเพียรจนได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
---ในสมัยนั้นแล เทพ เทพยเจ้า ผู้สร้างบารมีเพื่อเป็นสาวกเพื่อเป็นพระอรหันต์ ก็ได้ติดตามพระโพธิสัตว์มาบังเกิดเป็นมนุษย์ ทำมาหากินด้วยสัมมาอาชีวะต่าง ๆ กัน เมื่อพระพระพุทธองค์ตรัสรู้แล้ว ก็เข้ามอบตัวเป็นลูกศิษย์ ศึกษาเล่าเรียนจนสำเร็จเป็นพระสาวกและเป็นพระอรหันต์ ตามบารมีธรรมอันได้สร้างสมมา
---ผู้สำเร็จแล้ว ทั้งหลายทั้งมวลดังได้กล่าวมา ก็จะช่วยประกาศหลักธรรม ก่อตั้งพระศาสนาให้สถิตสถาพรสืบไป เป็นหลักในการดำรงชีวิต เป็นหลักในการดำเนินงานสังคม และเป็นแนวทางสำหรับปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจากความทุกข์โดยสิ้นเชิง
*หมายเหตุ
---ปัจเจกโพธิภูมิ บุคคลบำเพ็ญบารมีครบครันแล้ว ก็ตรัสรู้เป็นพระเจกโพธิพุทธเจ้าไม่ต้องรอเวลา
---พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีครบถ้วนแล้ว เสวยสุขในสวรรค์ รอกำหนดเวลาที่เหมาะสม เพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
---สาวกภูมิ บุคคลสร้างบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว ก็ไปเป็นเทพ หรือเทพยเจ้า รอเวลาจุติ เมื่อพระโพธิสัตว์จุติลงมาอุบัติยังมนุษยโลก ก็จุติตามลงมาเป็นลูกศิษย์
*16.เกิดมาเพื่อรับพุทธพยากรณ์
---ในโลกธาตุหนึ่ง จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้สององค์พร้อมกันไม่ได้เป็นอันขาด
---ในขณะที่หลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ยังอยู่อย่างครบครันมั่นคง หากจะมีใครคนหนึ่ง อ้างตัวเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ เขาคนนั้นโกหกหลอกหลวงอย่างหน้าด้านที่สุด
---ตรัสรู้เองชอบ มีความหมายว่า หลักธรรมของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ ได้สูญหายลบเลือนไปหมดสิ้นแล้ว จึงมีคนรุ่นหลังค้นพบขึ้นมาใหม่
---ขณะที่พระโพธิสัตว์องค์หนึ่งจุติลงมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อประดิษฐานพระศาสนา
---พระโพธิสัตว์ผู้ที่จะตรัสรู้องค์ต่อไป ก็จะติดตามลงมาเกิดเป็นมนุษย์รับพุทธพยากรณ์
---เป้าหมายของพระโพธิสัตว์ คือพุทธภูมิ ดังนั้นจะพร่ำสอนชี้แจงอย่างใด พระโพธิสัตว์ก็มิอาจบรรลุคุณวิเศษอันใดได้ พระโพธิสัตว์เกิดมาเพียงเพื่อรับพุทธพยากรณ์เท่านั้น
*17.เกิดมาเพื่ออุปถัมภ์
---ในอดีตชาติ สุภาพ เคยร่วมทำบุญทำกุศลกับ ศีลวรรณ อยู่เป็นประจำ เวลาทำบุญทำด้วยกันเสมอ แต่เวลาทำบาปต่างคนต่างกระทำ คือ ร่วมกันทำบุญ แต่ไม่ร่วมทำบาป
---ที่สุดแห่งชีวิต สุภาพ ทำบาปน้อยมาก จึงได้ขึ้นไปเสวยสุขบนสวรรค์
---ศีลวรรณ ทำบาปมากว่า สุภาพ ไม่ลงนรก ไม่ไปสู่แดนต่ำและไม่ขึ้นสวรรค์ คงเสวยบุญเสวยบาปในมนุษยโลกนี้เอง
---เนื่องจากกุศลของ ศีลวรรณ เป็นกุศลที่ทำร่วมกับ สุภาพ เป็น สหกรรมวิบาก ศีลวรรณ จะได้รับผลบุญอย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อใช้ชีวิตร่วมกับ สุภาพ หรือเกี่ยงพันกับ สุภาพ
---เมื่อสุภาพ (เทพ) ทราบว่า ศีลวรรณ (มนุษย์) ได้รับผลบุญที่ทำมาเพียง 35 % ต้องอาศัยตนอยู่ใกล้ชิดจงจะได้รับครบ 100 % จึงขออนุญาตเทพยเจ้าผู้ปกครองสวรรค์จุติลงมาเกิดเป็นลูก ศีลวรรณ
---ตั้งแต่ศีลวรรณตั้งครรภ์ การทำมาหากินที่เคยฝืดเคืองก็คล่องตัวขึ้นร่ำรวยทัตาเห็น สามารถสร้างหลักฐานขึ้นมาได้เป็นผลสำเร็จ
---สุภาพ เสียสละความสุขบนสวรรค์ มาเกิดเป็นลูกของ ศีลวรรณ ก็เพื่ออุปถัมภ์ ศีลวรรณ โดยแท้
---สุภาพ จะอยู่อุปถัมภ์ ศีลวรรณ ยาวนานเท่าใด กำหนดไม่ได้แน่นอน อาจจะอยู่เพียง 5 ปี 10 ปี แล้วก็ตายละทิ้ง ศีลวรรณ ไปสู่สวรรค์เพราะเห็นว่า ศีลวรรณ ร่ำรวยอยู่เป็นสุขสบายดีแล้ว
---ลูกบางคน เกิดมาทำให้พ่อแม่ร่ำรวย ค้าขายคล่อง การงานก้าวหน้า แต่ลูกเองประพฤติเกเร ไม่เอาถ่าน พ่อแม่ไล่ออกจากบ้านความเป็นอยู่ของพ่อแม่กลับเดือดร้อนเช่นเดิม
---ถ้าเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็แสดงว่า ในอดีตชาติพ่อแม่กับลูกคนนั้นเคยประกอบกุศลร่วมกัน เป็น Team Work เป็นสหกรรมวิบาก
*18.เกิดมาเพื่อรับใช่อุปัฏฐาน
---เมื่อเทพยเจ้าจุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเติมบารมีธรรมให้เต็มเปี่ยม เทพฝ่ายบริการ เทพผู้รับใช้ประจำตัวเทพยเจ้าองค์นั้น จะติดตามลงมาเกิดเป็นมนุษย์ โดยทิ้งช่วงเวลาเกิดห่างกัน 10 ปี ถึง 25 ปี กะประมาณว่า เมื่อเทพยเจ้าองค์นั้น (ในร่างมนุษย์) สร้างบารมีตนเอง (เทพรับใช้) ก็จะมามอบตัวเป็นลูกศิษย์ มอบตัวเป็นบริวารคอยช่วยเหลือปฏิบัติดูแล เอาใจใส่ความเป็นอยู่ของเทพยเจ้าองค์นั้น
---เมื่อเทพยเจ้าองค์นั้น อำลาโลกมนุษย์ กลับขึ้นไปเสวยความสงบสุขยังพรหมโลก เทพรับใช้จะอยู่ปฏิบัติงานที่คั่งค้างต่อไปอีกระยะเวลาหนึ่ง เมื่องานการทางมนุษย์โลกเรียบร้อยแล้ว ก็จะติดตามขึ้นไปรับใช้ในโลกทิพย์เบื้องบนดังที่เคยเป็นมาแต่เก่าก่อน
---19.เกิดมาเพื่อทดสอบพรหมวิหารธรรม
---ในโลกทิพย์แต่ละแห่ง บนสวรรค์พิภพแต่ละแดน จะมีเทพเทพยเจ้าองค์หนึ่งเป็นผู้ปกครอง รักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย
---เทพยเจ้าผู้ปกครอง ก็ไต่เต้าเลื่อนอันดับมาจาก เทพยเจ้าที่เสวยสุขอยู่ในพรหมโลก คัดเลือกผู้ที่มีสติปัญญา ความสามารถ ประกอบด้วยอิทธิฤทธิ์และบุญบารมี พร้อมที่จะเสียสละเพื่อควบคุมดูแลชาวสวรรค์ หรือวิญญาณประเภทต่าง ๆ
---เทพยเจ้าประสงค์จะเป็นผู้ปกครองพิภพอันเป็นทิพยสถาน จะสละความสงบสุขในพรหมโลกมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อสร้างบารมีเพิ่มเติมบารมีที่สำคัญยิ่ง ก็คืออุเบกขาธรรม ซึ่งจะต้องใช้เวลาฝึกฝนจิตในเรือนร่างมนุษย์หลายภพหลายชาติ
---อุเบกขาธรรม ในทางไสยศาสตร์ เน้นหนักไปในด้านความเสมอภาค ความยุติธรรมและความมั่งคงแห่งดวงจิต
---สามารถสังหารลูกชายที่เป็นโจรปล้นเมือง ได้อย่างไม่สะดุ้งหวั่นไหว เช่นเดียวกับโจรอื่น ๆ
---สามารถตัดอาลัยในภริยา ที่ประสพอุบัติเหตุตายต่อหน้าต่อตาไม่ดีใจหรือเสียใจ
---สละชีวิตยอมตาย ไม่ยอมเปิดเผยความรับอันเป็นภัยต่อบ้านเมืองไม่ยอมละเมิดศีลที่ตนได้สมาทานไว้แล้ว แม้ชีวิตจะสิ้นสูญ ดวงตาจะมืดบอด
---ปฏิบัติตนสม่ำเสมอทั้งต่อพระราชาและยาจก ไม่ดูหมิ่นคนจน ไม่ประจบคนรวย สำรวมกาย วาจา เรียบร้อยเป็นนิจ
---เทพยเจ้าผู้สละพรหมโลกมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อสร้างบารมีเลื่อนอันดับเป็นเทพยเจ้าผู้ปกครอง ปกติจะเป็นนักบวช อุทิศชีวิตเพื่อความรุ่งเรืองศาสนา เป็นนักปฏิบัติธรรมผู้ที่ไม่หวังลาภ ยศ สรรเสริญวางเฉยได้ทั้งต่อคำยกย่อง และคำด่าว่า ไม่มีความมัวเมาในวัตถุสิ่งของและอบายมุขทั้งหลายทั้งปวง เพราะในหัวใจของท่านอัดแน่นไปด้วย ธัมมตัณหา ไม่มีที่ว่างเหลือสำหรับ กามตัณหา
*หมายเหตุ
---ตัวอย่างของ ตัณหา ที่ใช้ในทางไสยศาสตร์
---วัตถุกามตัณหา - อยากได้รถยนต์สปอร์ต - สิ่งของ
---กิเลสกามตัณหา - อยากชมการแสดงกายกรรม - ความสำราญ
---ภวตัณหา - อยากเป็นอธิบดี - ความสำคัญ
---วิภวตัณหา - อยากเป็นนักปราชญ์ - ความรู้
---ธัมมตัณหา - อยากเป็นนักบุญ - ความดี
*20.เกิดมาเพื่ออนุรักษ์ประเพณีโบราณ
---กาละใด สมัยใด ประเทศบ้านเมืองมีวิญญาณชั้นต่ำมาเกิดเป็นมนุษย์มากขึ้น มีวิญญาณชั้นสูงมาเกิดเป็นมนุษย์น้อย ปริมาณของสัตว์จากอบายภูมิมากท่วมท้นจำนวนมากเทพ กาละนั้น สมัยนั้น ศีลธรรม จรรยา ต่าง ๆ จะโน้มเอียงไปในทางเสื่อม ทรุดโทรมถอยหลังไปทุกที เทพหรือเทพยเจ้า ผู้คุ้มครองประเทศบ้านเมืองนั้น แม้จะใช้ความสามารถปฏิบัติงานเข้มแข็งยิ่งขึ้น ก็มิอาจจะขวางกั้นความเสื่อมไว้ได้ จึงต้องแสวงหาตัวมนุษย์ที่เป็นสื่อกลาง รับนโยบายจากเบื้องบน ปฏิบัติงานเป็นตัวอย่าง เคร่งครัดต่อประเพณีอันดีงาม ซึ้งสืบต่อกันมาช้านาน
---เมื่อหามนุษย์ประเภทตัวแทนได้ยาก ก็จำเป็นที่ทางเบื้องบนจะประกาศรับอาสาสมัคร ส่งเทพอาสาสมัคร มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ที่ยึดมั่นในโบราณประเพณี ประพฤติตนขัดขวางอนารยธรรมสมัยใหม่ รื้อฟื้นธรรมนิยมเก่าๆ ขึ้นมาดำเนินการอีก สำแดงให้สังคมประจักษ์ว่า ของดีหนทางปฏิบัติที่งามนั้น แม้จะเก่าแก่ก็หาได้ล้าสมัยไร้ประโยชน์ไม่
---พวกเทพ อาสาสมัครมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่ออนุรักษ์ประเพณีโบราณ เทพเหล่านี้จะได้รับความสุขความเจริญในชีวิต ได้รับความคุ้มครองจากสวรรค์เป็นการตอบแทน ตอบสนองต่อความเสียสละ และความตั้งใจดี
---แตกต่างจาก เทพที่มาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อสร้างบารมี เพิ่มพูนอิทธิฤทธิ์เทพสร้างบารมีจะต้องมีความสามารถพิเศษ ในการต่อสู้เพื่อเอกราช ต่อสู้เพื่อเสรีภาพ เหน็ดเหนื่อยเกือบตลอดชีวิต เมื่องานกู้ชาติสำเร็จก็อำลาโลกมนุษย์ขึ้นไปเสวยสุขในโลกทิพย์เบื้องบน
*หมายเหตุ
---ประเพณีโบราณ หมายถึง ศิลปะวิทยาการอันเก่าแก่ เช่น ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ ดนตรี การขับร้องฟ้อนรำ วรรณคดี จิตรกรรม ประติมากรรม วัฒนธรรม
*21.เกิดมาเพื่อแสวงหาประสบการณ์
---โลกมนุษย์เป็นแหล่งกลาง เป็นศูนย์รวมของผู้สร้างความดี ความชั่ว มนุษย์มีอิสรเสรีอย่างเฟือที่จะดำรงชีวิตด้วยการทำบุญ หรือด้วยการทำบาป ในขอบเขตที่ปรากฏหมายและสังคมจะอนุญาต
- บุญ เป็นชื่อของกรรมที่ดันมนุษย์ขึ้นสู่สวรรค์ บาป เป็นชื่อของกรรมที่ฉุดมนุษย์ดิ่งลงสู่อบายภูมิ บุญและบาป มีต้นเงื่อนมาจากกิเลศ ซึ่งเป็นพลังที่ทำให้วงล้อชีวิตหมุนเวียน
- กิเลส เป็นเพียงสิ่งที่ทำให้มนุษย์เวียนตายเวียนเกิด ทำให้วิญญาณทั้งหลายเกิดแล้วดับไป เพื่อเกิดใหม่อีกอย่างนี้ไม่สิ้นสุด ส่วนที่ว่าจะหมุนเวียนไปสู่ที่ดีงาม หรือไปสู่ภาวะที่เลวร้าย อยู่ที่การทำดีหรือชั่ว
---ในทางไสยศาสตร์ การดื่มสุรา เราไม่ถือว่าเป็นบาป การดื่มสุราเพื่อความครึกครื้นเป็นกิเลส การดื่มสุราไม่ทำให้มนุษย์ต้องตกนรก การดื่มสุรา ไม่ทำให้มนุษย์ขึ้นสวรรค์ แต่ทำให้มนุษย์ต้องหมุนเวียนไปสู้ แดนอสุรา หรือถิ่นคนเมา
---แดนสุรา มีบรรยากาศทึม ๆ ออกจะมัว ๆ หมอง ๆ ลักษณะคล้ายกับว่าในอากาศนั้นมีหมอกควันอย่างเจือจางปะปนอยู่ด้วย อสุราแต่งตัวซอมซ่อ ไม่สดใสแต่อารมณ์ครึกครื้น สนุกสนานยิ่งนัก ผู้คนเดินเปะปะ ชนโน่นชนนี่ แต่ไม่มีการชกต่อยหรือทุบตีกัน ทักทายกันเล็กน้อยก็ร่วมกินร่วมดื่มกันได้
---ผู้ที่จากแดนอสุรามาถือกำเนิดในมนุษยโลก จะเป็นคนนิสัยดี ไม่เอาเรื่องเอาราวกับใคร ให้อภัยคนง่าย ช่วยเหลือเจือจานคนทั่วไปเท่าที่เห็นสมควร ไม่เอาการเอางาน ไม่ชอบสะสมทรัพย์ ไม่สนใจสร้างตัวสร้างตนให้เป็นฐาน เพื่อนฝูงได้ดีก็ไม่ริษยา กลั่นแกล้งเพื่อนร่วมรุ่นตกอับก็ไม่ดูหมิ่น ถือว่าเป็นเพื่อนเหมือนเดิม
---ผู้ที่มาจากแดนอสุรา จะไม่สนใจเรื่องบุญ เรื่องบาป สนใจแต่จะสนุกสนาน แสวงหาความรื่นเริงบันเทิงใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ท่องเที่ยวแสวงหาประสบการณ์ จนกว่าชีวิตจะหาไม่
---ในทางไสยศาสตร์ การร่วมเพศ เสพเมถุน ไม่ใช่บุญ ไม่ใช่บาป แต่เป็นกิเลส หญิงที่เสพกาม คัดเลือกบริโภคแต่กาม ที่ไม่เป็นพิษเป็นภัย ตายแล้วจะไปสู่ แดนนางกากี หากจากแดนนางกากีมาเกิดในโลกมนุษย์ จะเป็นคนที่ไม่สนใจในเรื่องกุศล อกุศล ชอบแต่จะแสวงหาประสบการณ์แปลก ๆ ใหม่ ๆ ให้แก่ชีวิต
*หมายเหตุ ตัวอย่างโลกทิพย์
---โลกทิพย์เบื้องสูง - ด้านดี - สวรรค์ พรหมโลก บาดาล ป่าหิมพานต์
---โลกทิพย์เบื้องต่ำ - ทุกข์ทรมาน - แดนอมนุษย์ แดนเปรต แดนโจร แดนปีศาจ แดนนรก
---โลกทิพย์เบื้องขวาง - กิเลศ - แดนสนธยา แดนนางกากี แดนอสุรา แดนคนธรรพ์ แดนนางกินรี......ฯ
...................................................................................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
หนังสือ ชำแหละกฎแห่งกรรม
รวบรวมโดย...แสงธรรม
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 28 กันยายน 2558
0 ความคิดเห็น