/music/.mp3 http://www.watkaokrailas.com
สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com

 หน้าแรก

 บทความ

 เว็บบอร์ด

 รวมรูปภาพ

 พระบรมสารีริกธาตุ

 โจโฉ รวมเสียงธรรม

 เฟสบุ๊ค

 ติดต่อเรา-แผนที่

เกิดมาเพื่ออะไร

เกิดมาเพื่ออะไร

เกิดมาทำไม







---ผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันเดียวกัน  เมื่อเวลาผ่านไป 15 ปี 20 ปี  จะพบว่าเพื่อนร่วมรุ่นบางคนมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างไมน่าเชื่อบางคนก็ผจญชาตากรรมอันเลวร้าย  มีความเป็นอยู่อย่างลำบากยากแค้นอย่างไม่น่าเป็นไปได้  ถ้าเราจะเอาความประพฤติดีประพฤติชอบเป็นหลักก็มีเหตุการณ์บางอย่างทำให้สงสัย  เพราะผู้มีอำนาจวาสนาบางคนก็มีพฤติกรรมอันเลวทรามต่ำช้า  หากจะถือผลงานเป็นข้อพิจารณา  ก็ไม่รู้สึกปลอดโปร่งใจ  เพราะบางคนก้าวขึ้นสู้ที่โดยไม่มีผลงานดีเด่นแม้แต่ชิ้นเดียว  ถ้าจำใช้ผลบุญในอดีตชาติเป็นหลักในการพิจารณา  ก็เป็นเรื่องรู้ยากเห็นยาก  เข้าใจยาก


---ผู้มีบุญบารมีใกล้เคียงกัน  ประกอบการบุญการกุศลมาในระดับเดียวกัน  ก็ควรจะมีสภาพความเป็นอยู่คล้ายคลึงกัน  ได้รับความสุขความทุกข์เท่าเทียมกัน  แต่ก็มีหลายครั้งหลายกรณีที่สภาพการณ์มิได้เป็นเช่นนั้นสิ่งที่เป็นเหตุสำคัญให้เกิดความแตกต่าง  ทางไสยศาสตร์อธิบายว่า เป็นด้วยเจตจำนงในการปฎิสนธิ  พูดง่าย ๆ คือ  เกิดมาทำไม


  • คนที่เกิดมาราชดใช่กรรม  จะมีความเป็นอยู่ยากแค้นกว่าปกติ


  • คนที่เกิดมาเสวยบุญ  จะเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว


  • คนที่เกิดมาสร้างบารมี  จะไม่สนใจในการสร้างหลักฐาน  แต่จะตั้งหน้าตั้งตาประกอบแต่การบุญ  การกุศล



*1.เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม


---เมื่อเป็นมนุษย์ชาติก่อน  เขาเคยทำบุญทำกุสลไว้มาก  ทำบาปไว้บ้าง  บาปไม่ไม่เกิน 30 % ของผลกรรมทั้งหมด เมื่อเขาตายทูตสวรรค์ได้ลงมารับวิญญาณของเขาขึ้นสู่โลกทิพย์เบื่องบน ครั้นเสวยสุขไปชั่วระยะหนึ่ง เกิดความไม่สบายใจที่ต้องลงมาเกิดเป็นมนุษย์ชดใช้กรรมเก่า 30 % นั้นอีก จึงตัดสินใจลงมาเกิดก่อนกำหนดผลบุญจะสิ้น ลงมาชั่วคราวเพื่อใช้หนี้กรรม


---เทพที่ลงมาใช้หนี้กรรมในมนุษย์โลกนี้  จะได้รับความทุกข์ทรมาน  ถูกบีบคั้นทารุณต่าง ๆ  แต่ความเดือดร้อนนั้น ๆ จะไม่มีฤทธิ์หันเหให้เขาไปสู่ความชั่วร้ายเป็นอันขาด  ครั้นชดใช้ผลกรรมหมดสิ้นแล้วก็จะได้กลับไปเสวยสุขบนสวรรค์อีก

 

*2.เกิดมาเพื่อสร้างบารมี


---เมื่อมนุษย์โลกเกิดความระส่ำระสายเดือดร้อน  เทพยเจ้าผู้ปกครองสวรรค์จะคัดเลือกเทพองค์หนึ่ง  หรือเทพจำนวนหนึ่ง  ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อแก้สถานการณ์อันเลวร้ายนั้น  เทพผู้เสียสละความสุขในแดนสวรรค์เพื่อสร้างบารมีเช่นนี้  ตลอดชีวิตจะมีการต่อสู้เพื่อสังคม  เพื่อความดีงาม  เพื่อเสรีภาพ  ต่อสู้อย่างไม่หยุดหย่อน  ครั้นภาวะแวดล้อมต่าง ๆ พ้นขีดอันตรายแล้วเทพในร่างมนุษย์นั้นก็จะละโลกนี้ไป


---ปกติ  เทพ  สร้างบารมีจะไม่ยอมเสวยสุข  รับความชื่นใจจากผลของงานของตนเอง  พอกู้ชาติสำเร็จ  ก็จะอำลาโลกทันที  กลับไปเสวยสุขในโลกเบื้องสูงต่อไป


*3.เกิดมาเพื่อเป็นประมุข  เกิดมาเพื่อเป็นผู้นำ


---เทพ  บางองค์  บางคณะ  ยอมเสียสละความสุข  ความบันเทิงใจในโลกสวรรค์  ในขณะที่พวกเทพชั้นเดียวกัน  ส่วนใหญ่ยังคงเสวยสุขอยู่เบื่องบน  ตัวเองยอมจุติลงมาบังเกิดในตระกูลกษัตริย์  ในราชวงศ์  ในตระกูลพราหมณ์ผู้มั่งคั่ง  เพื่อเสวยสุข  แสวงหาความสำราญในโลกมนุษย์เป็นผู้นำปวงชน  ปกครองคนหมู่มากให้มีความสุข  เป็นการสร้างบารมีพร้อมกันไปในตัวด้วย


*4.หนีนรกมาเกิด


---สัตว์นรกบางตน  รับใช้กรรมในนรกยังไม่ทันหมดสิ้น  ก็หนีมาเกิดในโลกมนุษย์  ครั้นนายนิรยบาลทราบเรื่อง  ก็จะให้ยมทูตมารับวิญญาณกลับไปทรมานอีก  สัตว์นรกในร่างมนุษย์นี่จะอายุสั้นพลันตายแต่อายุยังน้อย  เพราะยมทูตติดตามมาคร่าเอาตัวกลับคืนไป


*5.หนีแดนโจรมาเกิด


---สัตว์ในแดนโจรบางคน  ทนทุกข์ทรมานในแดนโจรยังไม่สิ้นกรรมก็หลบหนีสู่มนุษย์โลก  ด้วยผลกรรมอันยังคงตกค้างอยู่  เกิดมาจะเป็นคนพิการแต่กำเนิด  หรือมิฉะนั้น  ก็มีอุบัติเหตุทำให้กลายเป็นคนพิการในที่สุด


*6.หนีแดนเปรตมาเกิด


---เปรตที่ยังไม่สิ้นกรรม  หนีมาเกิดเป็นมนุษย์  จะเป็นผู้ที่อดอยากยากไร้  หิวโหย  หาได้ไม่พอปากพอท้อง  อดมื้อกินมื้อ  หรือกินแต่ของบูดเน่า  ของเหลือเดน


*7.หนีแดนปีศาจมาเกิด


---ผู้ที่ชอบรีดนาทาเร้น  ใช้เล่ห์เหลี่ยมอุบายวิธีต่าง ๆ  เอาผลประโยชน์ของคนอื่นมาเป็นของตัว  ตายแล้วจะต้องไปต่อสู้  ฟาดฟันกันเองในแดนปีศาจ  บางตนใช้กรรมยังไม่สิ้น  ก็หนีมาเกิดเป็นมนุษย์


---คนพวกนี้ที่เกิดมา  จะเป็นคนอาภัพ  ได้รับการสบประมาทดูหมิ่นเหยียดหยาม  ถูกเอารัดเอาเปรียบจาดสังคมและคนที่เกี่ยวข้อง


*8.เกิดมาเพื่อเสวยสุข


---ในอดีตชาติ  มนุษย์บางคนทำบุญไว้น้อย  ทำบาปไว้มากด้วยผลของกรรมชั่ว  ตั่งแต่  65 % ขึ้นไป จึงทำให้เขาต้องไปทนทุกข์ทรมานรับใช้กรรมในอบายภูมิ ครั้นรับใช้ผลกรรมชั่วหมดสิ้นแล้ว ก็กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก เพื่อเสวยผลบุญส่วนน้อยที่ตัวเองได้กระทำไว้


---มนุษย์จำพวกนี้  ส่วนใหญ่จะมีนิสัยเลวร้าย  ชอบเอาเปรียบชอบคดโกง  แล้วได้รับผลของความคดโกง  รีดนาทาเร้น  เป็นความร่ำรวยมหาศาล  เขาจะเสวยสุขในโลกมนุษย์  รอวาระสุดท้ายแห่งชีวิต  ซึ่งยมทูตจะมารับกลับไปทรมานในอบายภูมิเช่นเดิมอีก


*9.เกิดมาเพื่อเพิ่มเติมบารมีให้เต็ม


---เทพยเจ้าบางองค์  ตั้งความปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า  เป็นพระปัจเจกโพธิ์  เป็นพระอรหันต์สาวก ลฯฯ  แม้ตัวท่านเองจะมีบุญบารมีมากมาย  สูงส่งแค่ไหนก็ยังมีความบกพร่องในบารมีธรรมบ้างข้อบางประการ  ท่านจึงได้อำลาพรหมโลก  ละทิ้งป่าหิมพานต์  หนีจากแดนบาดาลมาเกิดเป็นมนุษย์


---มนุษย์พวกนี้เกิดมา  จะตั้งหน้าตั้งตากอบโกยเอาแต่บุญญาบารมีมายอมสะสมหลักฐาน  หรือทรัพย์สมบัติอันใดเพื่อตนเอง  แม้จะเกิดมาในตระกูลร่ำรวย  ก็ยอมหลีกหีนความสุขไปปฏิบัติธรรม  ถ้ามีชื่อเสียงปรากฏขจรขจายขึ้นมา  ชื่อเสียงนั้นก็จะเกิดจากความดีงาม  ความเสียสละของท่าน  หาได้เกิดจากการดิ้นรนแสวงหาไม่  ท่านยอมลำบากลำบน  ทำแต่ความดี  สร้างบารมี  ซึ่งในสายตาของคนทั่วไป  เห็นว่าโง่  ไม่จำเป็นต้องทำเลย

 

 

*10.เกิดมาเพื่อเสวยสุขและทุกข์ตามกรรมที่ทำมาในอดีตชาติ


---มนุษย์บางคน  ไม่สนใจเรื่องบุญเรื่องบาปเลย  ไม่รู้เรื่องนรกสวรรค์  แต่เขาก็ทำบุญไว้มากกว่าทำบาป  บุญกุศลนั้นมีไม่ถึง 65 % ไม่มากพอ ไม่รุนแรงพอ ที่จะส่งเขาขึ้นสวรรค์ ทำบาปไว้เล็กน้อยไม่เกิน 40 % บาปไม่มีอำนาจพอที่จะฉุดเขาลงไปรับความทุกข์ทรมานในเบื้องต่ำ


---มนุษย์พวกนั้นตายแล้วจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก  เสวยผลบุญผลบาป  ตามกรรมที่ทำไว้ในอดีตชาติ  เขาจะใช้ชีวิตเฉกเช่นเดียวกับสามัญชนทั่วไป  แสวงหารักแท้  ดิ้นรนเพื่อตำแหน่งหน้าที่การงาน  นิยมชมชอบความมีหน้ามีตา  ต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งหลักฐานอันมั่นคง  หากเขาจะทำความดี  เขาก็จะทำความดีด้วยเห็นว่าเป็นหน้าที่ของบุคคลต่อสังคม


*11.เกิดมาเพื่อทำลายล้าง


---มนุษย์บางคนเป็นผู้มากไปด้วยความแค้น  ผูกใจเจ็บแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ  ไม่ยอมเสียเปรียบใคร  ถือตัวว่าเป็นพระเจ้า  ผู้สร้างพระเจ้า  ผู้บันดาลให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวเขา  เป็นไปอย่างมีระเบียบตามต้องการ


---หากในอดีตชาติ  เขาถูกศัตรูกลั่นแกล้งทรมาน  ถูกเพื่อนมนุษย์ใจทรามบางคนหักหลัง  ทรยศ  คดโกง  เขาจะต้องหาทางตอบแทนล้างแค้นให้สาแก่ใจ  ขณะวางแผนงานปฏิบัติการจองเวรอยู่นั้น  สัตรูคู่แค้นของเขาก็มีอันต้องจบชีวิตไปเสียก่อน  เขาครุ่นคิดด้วยความเสียดายเสียใจ  อย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อน  เขาครุ่นคิดด้วยความเสียดายเสียใจ  อย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนตลอดชีวิต


---ด้วยอำนาจความแค้น  บุคคลนั้นจะเกิดมาร่วมภพ  ร่วมชาติศัตรูของเขาในชาติก่อน  ทำลายล้างผลาญทรัพย์สมบัติที่พ่อแม่เก็บออมสะสมไว้เป็นเวลานาน


---ภรรยา  โขกสับสามี  จิกหัวสามีใช้เยี่ยงทาส


---อาจารย์กลั่นแกล้งนักศึกษา  โยกโย้ยึกยัก  ทำจนกระทั่งนักศึกษาต้องออกจากวิทยาลัย  โดยไม่ได้รับประกาศนียบัตร


---ประกอบการค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ  พอเลี้ยงตัวเองได้อย่างสบาย  ก็ถูกนายทุนใหญ่  เงินหนาหน้าเลือด  ทุ่มทุนดำเนินกิจการแข่ง  จนตัวเองล่มจมอยู่ไม่ได้


---มนุษย์ทุกคนหลีกความตายไม่พ้น  จะต้องพบจุดจบมิวันใดก็วันหนึ่ง  เมื่อความตายเป็นเบื้องหน้าแน่นอนเช่นนี้  มนุษย์ก็ควรแสวงหาความตายที่ดีงาม  เช่น


---1.ไม่ตายโดยละทิ้งหนี้สินไว้  ไม่ตายโดยทอดทิ้งหนี้การงาน  หนี้บุญคุณ  หนี้น้ำใจ  จะสะสางงานหนี้ต่าง ๆ  ให้บรรเทาเบาบางลง  เพราะเมื่อท่านตายไปอาจจะมีเจ่าหนี้หน้าเลือดบางคน  เสียดายเงินทอง  อาวรณ์หนี้สูญของตนเอง  เจ้าหนี้จะติดตามข้ามภพข้ามชาติมาทำลายล้างท่านได้


---2.เมื่อลูกหนี้ของท่านตายลง  ท่านจงปลงตกยกหนี้สินให้เขาไปอย่าอาลัยอาวรณ์ในทรัพย์สมบัติให้มากนัก  เพราะความเสียดายอาลัยรักจะดูดท่านสู่ภพต่ำหรือภูมิกลาง  เพื่อหักล้างบัญชีกับลูกหนี้ในอดีตชาติของท่าน  ท่านจะสูญเสียโอกาสอันดี  พลาดรายการชื่นสุขในโลกทิพย์สวรรค์เบื้องบน


---3.จงเตรียมใจ  เตรียมการไว้ก่อนตายว่า  จะไม่บรรทุกหอบหิ้วเอาหนี้สิ้น  หนี้แรงงาน  ติดตามไปยังภพภูมิเบื้องหน้า  มอบภาระให้คนเบื้องหลังเขาจัดการ  เราตายแล้วถือว่าหมดสิ้นกัน  เราไม่เป็นลูกหนี้ใครไม่เป็นเจ้าหนี้ใคร


---4.กรณียะ หรือ กิจอันควรทำในชีวิตของเรา ก็คือสร้างบุญกุศลสร้างบุญคุณ การทำความดีด้วยหวังว่า คนอื่นจะตอบแทนความดีของตนในวันข้างหน้า อาจทำให้ศรัทธาในความดีนั้นเสื่อมถอย หากความดีไม่ตอบสนองตามที่หวัง


---เมื่อเกิดมา  18  ปีก่อน  เราเคยอุปถัมภ์ชายหนุ่มหญิงสาวบางพวกบางเหล่า  มาบัดนี้  คนเหล่านั้นได้ดีมีสุข  มียศศักดิ์หลักฐานดีเด่นยิ่งกว่าเรา  ความคิดเป็นไปในทางน้อยใจในวาสนาของตนเอง  เป็นการให้ร้ายตนเอง  ทางที่ถูกที่ควรนั้น  ควรคิดไปในแง่ดี เราเป็นบันไดให้เขาไต่ขึ้นไปประสพสุขและความสำเร็จในโลกมนุษย์  ในขณะเดียวกัน  เขาก็กลับกลายเป็นบันไดให้เราได้ขึ้นไป  พบกับความเกษมสุข  บันเทิงใจในโลกสวรรค์


*12.เกิดมาเพื่อปลดเปลื้องคำสาป


---มนุษย์บางคน  เป็นผู้มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่  ทำทานไว้เป็นอันมากแต่เขาไม่เคยประพฤติศีลให้ถูกต้องครบถ้วน  ไม่เคยฝึกจิตใจ  ไม่สำรวมระวังกิริยาวาจา  ใส่ใจหาความรู้เกี่ยวกับนรกสวรรค์และโลกทิพย์อื่น ๆ แต่เพียงผิวเผิน


---ด้วยอำนาจแห่งทานบารมีที่ได้กระทำมา  ทำให้เขาได้ไปเสวยสุขบนสวรรค์


---ถึงหากสวรรค์จะเป็นที่รื่นรมย์เพียงใด  ชาวสวรรค์อยู่กันเป็นสังคม  มีระเบียบวินัยควบคุม  มีเทพเจ้าผู้ใหญ่เป็นผู้ปกครอง  มีเจ้าหน้าที่เทพ  ฝ่ายบริวารคอยดูแลให้ความสะดวก


---ความที่เขาผู้นั้นทำทานไว้มาก  บกพร่องทางด้านศีล  บกพร่องทางด้านปัญญา  จึงทำให้เขาแสวงหาความสุขบนสวรรค์  อย่างไม่มีขอบเขตระรานก้าวร้าวเทพฝ่ายบริการ  และละเมิดข้อห้ามของเทพเจ้าผู้ปกครองขัดขวางความสุขของชาวสวรรค์ด้วยกัน  หรือแสดงมิจฉาทิฏฐิให้ปรากฏ


---เทพยเจ้าผู้ปกครองจึงใช้ฤทธิ์ใช้อำนาจ  บันดาลให้เขาจุติจากสวรรค์  ก่อนที่เขาจะสิ้นผลบุญ  เพื่อให้เขามารับบทเรียนบางอย่างในมนุษย์โลก


---มนุษย์จำพวกนี้  เกิดมาด้วยฤทธิ์คำสาปของสวรรค์  และด้วยผลบุญของตนเองที่ยังเหลืออีมาก  เขาจึงมาเสวยสุขในมนุษย์โลก  แต่ความสุขของเขาเป็นที่มีขอบเขต  มีเงื่อนไข   เช่น.....


---เขามีเงินทองใช้จ่ายไม่ขาดมือ  อยู่อย่างสบาย  ไม่เป็นทุกข์แต่เมื่อคิดการใหญ่เมื่อใด  เป็นต้องขาดทุนป่นปี้  ทุกหนทุกคราว


---ใช้ชีวิตอย่างเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ มีความสุขบ้างพอสมควร  ไม่เดือดร้อน  ครั้นได้พบบุคคลที่ต้องการ  ร่วมเป็นสามีภรรยากัน  หรือร่วมหุ้นส่วนกัน  ก็กลับมีความสุขความสำราญยิ่งขึ้น  งานการก้าวหน้ารุ่งเรือง


---มีอาการแพ้ต่อวัตถุบางอย่าง  การเคลื่อนที่บางประเภท  เช่นเดินทางโดยเครื่องบินครั้งใด  ต้องเวียนศีรษะ  อาเจียนออกมา  หูอื้อ  ตาลาย


---ต้องบูชาเทพยเจ้าบางองค์เป็นประจำ  ขาดบูชาเมื่อใดเรื่องวุ่นวายเดือดร้อน  ต้องติดตามมาเสมอ


---เขาจะรู้สึกด้วยตัวของเขาเองว่า  นอกจากผลกรรมแล้วยังมีอำนาจลึกลับบางอย่างผูกพันเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขา  ซึ่งคนอื่น ๆ  ทั่วไปไม่เข้าใจ



*13.เกิดมาเพื่อทดสอบอุดมคติ


---มนุษย์บางคน  ครั้นยังมีชีวิตอยู่  ได้พากเพียรประดับประดาโลกให้รื่นรมย์ด้วยคุณธรรมความดีของตน  ละโลกมนุษย์นี้แล้วก็ได้ขึ้นไปเสวยสุขบนสวรรค์  ได้รับความเมตตาจากเทพยเจ้าผู้ปกครองประจำแดน  ได้รับมิตรภาพ  ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือจากเทพฝ่ายบริการ


---ครั้นคุ้นเคย  สนิทสนมกันเป็นอันดีแล้ว  ก็เกิดสงสัยว่า  ไฉนเทพฝ่ายบริการ  ซึ่งสร้างคุณงามความดี  มีบุญบารมีใกล้เคียงกับตน  จึงมีฤทธิ์มีอำนาจเหนือกว่าตน  สามารถไปมาระหว่างโลกสวรรค์  มนุษยโลกและโลกทิพย์ที่อยู่ห่างไกลได้โดยสะดวก


---บุญบารมีใกล้เคียงกัน  ทำให้สามารถเสวยสุขได้เท่าเททียมกัน  แต่อิทฤทธิ์ที่แตกต่างกันทำให้ความรวดเร็วในการเคลื่อนที่  แตกต่างกันลิบลับ  การข้ามห้วงเวหาเป็นเรื่องเหลือวิสัย  เกินสมรรถภาพของเทพผู้เสวยสุขจะทำได้


---จึงตั้งความปรารถนาจะฤทธิ์เยี่ยงเทพฝ่ายบริการบ้าง  ขออนุญาตจากเทพยเจ้าผู้ปกครองมาสร้องอำนาจในมนุษยโลก


---มนุษย์จำพวกนี้  จะมีชีวิตท่ามกลางเหล่าโจร  ท่ามกลางคนชั่วคนเลว  มีชีวิตเกี่ยวพันกับอันธพาลผู้มีอำนาจ  นักการเมืองทรงอิทธิพลและชีวิตอย่างนี้แล  คืออุปสรรค  คือบททดสอบอุดมคติของเขา


---ถ้าเขาปรับตัวให้เขากับกลุ่มโจร  ยอมร่วมมือทำความชั่วความเลวกับคนชั่วเหล่านั้น  เขาก็จะประสพสุข  ได้รับอำนาจ  ได้รับเงินทองได้รับความสำราญทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาปรารถนาในมนุษยโลก  แต่เสียใจที่จะแจ้งให้ทราบว่า


---เขาไม่มีโอกาสได้เป็นเทพฝ่ายบริการดังต้องการ  เพราะอุดมคติของเขาไม่มั่นคง  ฤทธิ์อำนาจจะเกิดขึ้นได้อย่างไร


---ถ้าเขาเป็นคนเข้มแข็ง  เป็นคนดีแม้ในหมู่โจร  ไมยอมเป็นเครื่องมือให้แก้ไอ้มนุษย์ชาติชั่ว  เขาก็จะถูกบีบ  ถูกกด  ชีวิตได้รับความขมขื่น


---นานาประการ  ความลังเลสงสัยในอำนาจความดีเขย่าหัวใจของเขาให้หวั่นไหว  ชีวิตที่ดักดานไม่ก้าวหน้า  ความทุกข์ยากจะบีบรัดอุดมคติของเขาให้คอดกิ่วลงทุกวัน ๆ


---นี้คือ  บททดสอบอันรุนแรง  เขาได้ตายลงในขณะที่อุดมคติความยึดมั่นเชื่อถือในคุณงามความดียังคงอยู่


---สวรรค์ได้ต้อนรับเขาแล้ว เขาคือ  ครูญาณ  เขาคือเทพฝ่ายบริการเขาคือทูตสวรรค์  เขามีฤทธิ์มีอำนาจข้างห้วงเวลาไปมาได้ชั่วขณะหนึ่งเขาปรากฏตัวในมนุษยโลกรับวัตถุทาน  ที่ลูกหลานบำเพ็ญกุศลอุทิศให้อีกขณะหนึ่ง  เขาปรากฏตัวในแดนสวรรค์เพื่อเสวยสุข  อีกไม่นานนักเขาก็ปรากฏตัวในอบายภูมิ  ศึกษาหาความรู้เรื่องกรรม  ผลกรรม  ผลกรรม  มองดูสัตว์นรกที่ถูกทรมาน  สัตว์นรกที่ในอดีตกาลไม่นานนัก  ยังเป็นมนุษย์สำแดงฤทธิ์อำนาจ  กลั่นแกล้งทำทารุณกรรมต่อเขา  อำนาจอิทธิพลในมนุษยโลกสิ้นไร้ความหมาย นรกย่อมทรงมหิทธิอานุภาพ  ยิ่งใหญ่เกรียงไกรกว่า


---มีความแตกต่างกันอยู่บ่ง  ระหว่างผู้ที่เกิดมาชดใช้กรรม  กับผู้ที่เกิดมาทดสอบอุดมคติ  ประเภทแรก  ได้รับความลำบากอย่างไม่มีทางเลือก  ประเภทหลัง  มีทางเลือกสองทางคือ


  • ยอมร่วมมือ  ทำความชั่ว  จะได้ดีมีสุข


  • ขัดขวาง  ไม่ยอมร่วมมือคนพาลจะถูกบีบคั้น  กลั่นแกล้ง  ได้รับความลำบากในมนุษยโลก


*14.เกิดมาเพื่อเปลี่ยนวงจรชีวิต 


---มนุษย์บางคนในอดีตชาติ  ทำบุญไว้น้อย  ทำบาปไว้มาก  หลังจากชีวิตแตกดับแล้ว  ยมทูตก็มารับวิญญาณไปทรมานในนรก  ในแดนโจร  ในแดนปีศาจ  ฯลฯ  ครั้นรับโทษทุกข์หมดสิ้นไป  90 % ก็กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก เสวนสุขในมนุษยโลก ดำเนินชีวิตแบบเดิมคือ ทำบาปมาก ทำบุญน้อย


---วงจรชีวิตของเขา  จะหมุนเวียนระหว่าง  มนุษยโลกกับอบายภูมิคือ


---เสวยสุข  ทำบาปมาก  ทำบุญน้อย  ในมนุษยโลก


---รับความทุกข์ทรมาน  ชดใช้หนี้กรรม  ในอบายภูมิ


---เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก  มาครั้งหลังก่อนจะละโลกมนุษย์  เขาได้พบเห็นสมพราหมณ์ผู้ทรงคุณธรรม  เกิดความเลื่อมใส  มีความเคารพใส่ใจในคำสั่งสอน  เริ่มหันเข็มชีวิตเข้าสู่มาวัด  กระนั้นก็ตาม  ผลบุญก็ยังน้อย  มิอาจต้านทานบาปกรรมได้  ตายแล้วจึงต้องไปรับโทษ  ถูกทรมานในอบายภูมิตามเดิม  ก่อนตายจากอบายภูมิมาถือกำเนิดในมนุษยโลก  ได้ตั้งสัจจะอธิฐานจะทำความดีงามให้เต็มที่  เพื่อตะกายหนีอบายภูมิ  ไม่ยอมให้ต้องตกต่ำอย่างเดิมอีก


---เกิดมาในภพนี้ชาตินี้  แนวทางชีวิตเปลี่ยนไป  ไม่ได้สวยสุขในมนุษยโลกเหมือนเดิม  ต้องทนทุกข์ทรมาน  คือไม่มีคนเห็นบุญคุณทำความดีไม่ขึ้น  ไม่มีใครพิจารณาให้บำเหน็จตอบแทน  ช่วยเหลืองานสาธารณะประโยชน์  ก็เหมือนหนึ่งปิดทองหลังพระ  อยากจะทำบาปเพื่อชีวิตจะได้ดีมีสุขเช่นเพื่อนฝูงคนอื่น ๆ บ้าง  แรงสัจจะอธิฐานก่อนจากอบายภูมิก็จะเป็นพลังกางกั้นไว้มิให้ทำ  มีกำลังภายหลังในหนุนเนื่องให้ฝืนใจทำความดีต่อไป  เขากลายเป็นคนดีที่โลกไม่แยแส  เป็นเศษมนุษย์  เป็นเดนคนให้เพื่อนฝูงเยาะว่าเง่าโง่


---เขาได้จบชีวิตลงไปในขณะที่ความดียังคงครองความยิ่งใหญ่ภายในใจของเขา  โลกสิ้นเมตตาแต่สวรรค์ยังไม่สิ้นปราณี  ทูตสวรรค์ได้ลงมารับวิญญาณของเขาขึ้นไปเสวยสุขขึ้นไปในโลกเบื้องสูง  เขาคือผู้พิชิต  เขาชนะแล้ว  วงจรชีวิตของเขาเปลี่ยนไปเสวยสุข  รับความเกษมสำราญชนะแล้ว  วงจรชีวิตของเขาเปลี่ยนไปเสวยสุข  รับความเกษมสำราญชื่นบานใจบนสวรรค์  สร้างกรรทดีรับใช้ผลกรรมชั่วเล็ก ๆ น้อย ๆ  ในมนุษยโลก  มีความแตกต่างกันอยู่บ้างระหว่าง


---ผู้ที่เกิดมาทดสอบอุดมคติ  เพิ่มพูนอิทธิฤทธิ์  เลื่อนอันดับจากเทพผู้เสวยสุข  เป็นเทพฝ่ายบริการ


---ผู้ที่เกิดมารับความทุกข์ทรมาน  เพื่อเปลี่ยนวงจรชีวิต  เลื่อนอันดับจากมนุษย์  เป็นเทพ


---ประเภทแรก  ร่วมมือทำความชั่ว  กลับได้ดีมีสุข  ต่อต้านคนชั่วต้องถูกทรมานกลั่นแกล้ง


---ประเภทหลัง  ทำความดีไม่ขึ้น  ทำดีไม่ได้รับผลของความดี


*15.เกิดมาเพื่อก่อตั้งศาสนา 


---เมื่อพระพุทธศาสนา  ในมนุษยโลกเสื่อมสลายลงไป  พระสงฆ์พระพฤติตัวแหลกเหลว  ไม่นำพาต่อพระธรรมวินัย  ผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ไม่มี  มีแต่พระอริยเจ้าขั้นต้น  ระยะต่อมา  แม้พระอริยเจ้าขั้นต้นก็ไม่ปรากฏ  เหลือแต่หลักวิชาและแล้วในที่สุด  ทุกสิ่งทุกอย่างก็เลอะเลือนความรู้ทางพระพุทธศาสนากระจัดพลัดพราย  ไม่สามารถจะใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตประจำวันได้


---เทพยเจ้าผู้ยิ่งใหญ่  เทพยเจ้าผู้ปกครองและแดนต่าง ๆ อาศัยเมตตาธรรม  จึงได้เข้าไปหาพระโพธิสัตว์  ผู้บำเพ็ญบารมีเต็มเปี่ยมแล้วอาราธนาพระโพธิสัตว์  จุติมาเป็นดวงตาแห่งโลก


---พระโพธิสัตว์อุบัติในมนุษยโลก  ครั้นเติบใหญ่  มีอายุพอสมควรก็ออกบวชกระทำความเพียรจนได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


---ในสมัยนั้นแล  เทพ  เทพยเจ้า  ผู้สร้างบารมีเพื่อเป็นสาวกเพื่อเป็นพระอรหันต์  ก็ได้ติดตามพระโพธิสัตว์มาบังเกิดเป็นมนุษย์  ทำมาหากินด้วยสัมมาอาชีวะต่าง ๆ กัน  เมื่อพระพระพุทธองค์ตรัสรู้แล้ว  ก็เข้ามอบตัวเป็นลูกศิษย์  ศึกษาเล่าเรียนจนสำเร็จเป็นพระสาวกและเป็นพระอรหันต์  ตามบารมีธรรมอันได้สร้างสมมา


---ผู้สำเร็จแล้ว  ทั้งหลายทั้งมวลดังได้กล่าวมา  ก็จะช่วยประกาศหลักธรรม  ก่อตั้งพระศาสนาให้สถิตสถาพรสืบไป  เป็นหลักในการดำรงชีวิต  เป็นหลักในการดำเนินงานสังคม  และเป็นแนวทางสำหรับปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจากความทุกข์โดยสิ้นเชิง


*หมายเหตุ


---ปัจเจกโพธิภูมิ    บุคคลบำเพ็ญบารมีครบครันแล้ว  ก็ตรัสรู้เป็นพระเจกโพธิพุทธเจ้าไม่ต้องรอเวลา


---พุทธภูมิ   พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีครบถ้วนแล้ว  เสวยสุขในสวรรค์  รอกำหนดเวลาที่เหมาะสม  เพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


---สาวกภูมิ  บุคคลสร้างบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว  ก็ไปเป็นเทพ  หรือเทพยเจ้า  รอเวลาจุติ  เมื่อพระโพธิสัตว์จุติลงมาอุบัติยังมนุษยโลก  ก็จุติตามลงมาเป็นลูกศิษย์


*16.เกิดมาเพื่อรับพุทธพยากรณ์


---ในโลกธาตุหนึ่ง  จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้สององค์พร้อมกันไม่ได้เป็นอันขาด


---ในขณะที่หลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า  ยังอยู่อย่างครบครันมั่นคง  หากจะมีใครคนหนึ่ง  อ้างตัวเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่  เขาคนนั้นโกหกหลอกหลวงอย่างหน้าด้านที่สุด


---ตรัสรู้เองชอบ  มีความหมายว่า  หลักธรรมของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ ได้สูญหายลบเลือนไปหมดสิ้นแล้ว  จึงมีคนรุ่นหลังค้นพบขึ้นมาใหม่


---ขณะที่พระโพธิสัตว์องค์หนึ่งจุติลงมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เพื่อประดิษฐานพระศาสนา


---พระโพธิสัตว์ผู้ที่จะตรัสรู้องค์ต่อไป  ก็จะติดตามลงมาเกิดเป็นมนุษย์รับพุทธพยากรณ์


---เป้าหมายของพระโพธิสัตว์  คือพุทธภูมิ  ดังนั้นจะพร่ำสอนชี้แจงอย่างใด  พระโพธิสัตว์ก็มิอาจบรรลุคุณวิเศษอันใดได้  พระโพธิสัตว์เกิดมาเพียงเพื่อรับพุทธพยากรณ์เท่านั้น


*17.เกิดมาเพื่ออุปถัมภ์


---ในอดีตชาติ  สุภาพ  เคยร่วมทำบุญทำกุศลกับ  ศีลวรรณ  อยู่เป็นประจำ  เวลาทำบุญทำด้วยกันเสมอ  แต่เวลาทำบาปต่างคนต่างกระทำ  คือ  ร่วมกันทำบุญ  แต่ไม่ร่วมทำบาป


---ที่สุดแห่งชีวิต  สุภาพ  ทำบาปน้อยมาก  จึงได้ขึ้นไปเสวยสุขบนสวรรค์


---ศีลวรรณ  ทำบาปมากว่า  สุภาพ  ไม่ลงนรก  ไม่ไปสู่แดนต่ำและไม่ขึ้นสวรรค์  คงเสวยบุญเสวยบาปในมนุษยโลกนี้เอง


---เนื่องจากกุศลของ  ศีลวรรณ  เป็นกุศลที่ทำร่วมกับ  สุภาพ  เป็น  สหกรรมวิบาก  ศีลวรรณ จะได้รับผลบุญอย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อใช้ชีวิตร่วมกับ  สุภาพ  หรือเกี่ยงพันกับ  สุภาพ


---เมื่อสุภาพ (เทพ)  ทราบว่า  ศีลวรรณ  (มนุษย์)  ได้รับผลบุญที่ทำมาเพียง  35 % ต้องอาศัยตนอยู่ใกล้ชิดจงจะได้รับครบ 100 % จึงขออนุญาตเทพยเจ้าผู้ปกครองสวรรค์จุติลงมาเกิดเป็นลูก ศีลวรรณ 


---ตั้งแต่ศีลวรรณตั้งครรภ์  การทำมาหากินที่เคยฝืดเคืองก็คล่องตัวขึ้นร่ำรวยทัตาเห็น  สามารถสร้างหลักฐานขึ้นมาได้เป็นผลสำเร็จ


---สุภาพ  เสียสละความสุขบนสวรรค์  มาเกิดเป็นลูกของ  ศีลวรรณ  ก็เพื่ออุปถัมภ์  ศีลวรรณ  โดยแท้


---สุภาพ  จะอยู่อุปถัมภ์  ศีลวรรณ  ยาวนานเท่าใด  กำหนดไม่ได้แน่นอน  อาจจะอยู่เพียง 5 ปี 10 ปี  แล้วก็ตายละทิ้ง  ศีลวรรณ  ไปสู่สวรรค์เพราะเห็นว่า  ศีลวรรณ  ร่ำรวยอยู่เป็นสุขสบายดีแล้ว


---ลูกบางคน  เกิดมาทำให้พ่อแม่ร่ำรวย  ค้าขายคล่อง  การงานก้าวหน้า  แต่ลูกเองประพฤติเกเร  ไม่เอาถ่าน  พ่อแม่ไล่ออกจากบ้านความเป็นอยู่ของพ่อแม่กลับเดือดร้อนเช่นเดิม


---ถ้าเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก  ก็แสดงว่า  ในอดีตชาติพ่อแม่กับลูกคนนั้นเคยประกอบกุศลร่วมกัน  เป็น  Team Work เป็นสหกรรมวิบาก


*18.เกิดมาเพื่อรับใช่อุปัฏฐาน


---เมื่อเทพยเจ้าจุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อเติมบารมีธรรมให้เต็มเปี่ยม  เทพฝ่ายบริการ  เทพผู้รับใช้ประจำตัวเทพยเจ้าองค์นั้น  จะติดตามลงมาเกิดเป็นมนุษย์  โดยทิ้งช่วงเวลาเกิดห่างกัน  10 ปี  ถึง  25 ปี  กะประมาณว่า  เมื่อเทพยเจ้าองค์นั้น (ในร่างมนุษย์)  สร้างบารมีตนเอง  (เทพรับใช้)  ก็จะมามอบตัวเป็นลูกศิษย์  มอบตัวเป็นบริวารคอยช่วยเหลือปฏิบัติดูแล  เอาใจใส่ความเป็นอยู่ของเทพยเจ้าองค์นั้น


---เมื่อเทพยเจ้าองค์นั้น  อำลาโลกมนุษย์  กลับขึ้นไปเสวยความสงบสุขยังพรหมโลก  เทพรับใช้จะอยู่ปฏิบัติงานที่คั่งค้างต่อไปอีกระยะเวลาหนึ่ง  เมื่องานการทางมนุษย์โลกเรียบร้อยแล้ว  ก็จะติดตามขึ้นไปรับใช้ในโลกทิพย์เบื้องบนดังที่เคยเป็นมาแต่เก่าก่อน


---19.เกิดมาเพื่อทดสอบพรหมวิหารธรรม


---ในโลกทิพย์แต่ละแห่ง  บนสวรรค์พิภพแต่ละแดน  จะมีเทพเทพยเจ้าองค์หนึ่งเป็นผู้ปกครอง  รักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย


---เทพยเจ้าผู้ปกครอง  ก็ไต่เต้าเลื่อนอันดับมาจาก  เทพยเจ้าที่เสวยสุขอยู่ในพรหมโลก  คัดเลือกผู้ที่มีสติปัญญา  ความสามารถ  ประกอบด้วยอิทธิฤทธิ์และบุญบารมี  พร้อมที่จะเสียสละเพื่อควบคุมดูแลชาวสวรรค์  หรือวิญญาณประเภทต่าง ๆ


---เทพยเจ้าประสงค์จะเป็นผู้ปกครองพิภพอันเป็นทิพยสถาน  จะสละความสงบสุขในพรหมโลกมาบังเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อสร้างบารมีเพิ่มเติมบารมีที่สำคัญยิ่ง  ก็คืออุเบกขาธรรม  ซึ่งจะต้องใช้เวลาฝึกฝนจิตในเรือนร่างมนุษย์หลายภพหลายชาติ


---อุเบกขาธรรม  ในทางไสยศาสตร์  เน้นหนักไปในด้านความเสมอภาค  ความยุติธรรมและความมั่งคงแห่งดวงจิต


---สามารถสังหารลูกชายที่เป็นโจรปล้นเมือง  ได้อย่างไม่สะดุ้งหวั่นไหว  เช่นเดียวกับโจรอื่น ๆ


---สามารถตัดอาลัยในภริยา  ที่ประสพอุบัติเหตุตายต่อหน้าต่อตาไม่ดีใจหรือเสียใจ


---สละชีวิตยอมตาย  ไม่ยอมเปิดเผยความรับอันเป็นภัยต่อบ้านเมืองไม่ยอมละเมิดศีลที่ตนได้สมาทานไว้แล้ว  แม้ชีวิตจะสิ้นสูญ  ดวงตาจะมืดบอด


---ปฏิบัติตนสม่ำเสมอทั้งต่อพระราชาและยาจก  ไม่ดูหมิ่นคนจน  ไม่ประจบคนรวย  สำรวมกาย  วาจา  เรียบร้อยเป็นนิจ


---เทพยเจ้าผู้สละพรหมโลกมาบังเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อสร้างบารมีเลื่อนอันดับเป็นเทพยเจ้าผู้ปกครอง  ปกติจะเป็นนักบวช  อุทิศชีวิตเพื่อความรุ่งเรืองศาสนา  เป็นนักปฏิบัติธรรมผู้ที่ไม่หวังลาภ  ยศ  สรรเสริญวางเฉยได้ทั้งต่อคำยกย่อง  และคำด่าว่า  ไม่มีความมัวเมาในวัตถุสิ่งของและอบายมุขทั้งหลายทั้งปวง  เพราะในหัวใจของท่านอัดแน่นไปด้วย  ธัมมตัณหา  ไม่มีที่ว่างเหลือสำหรับ  กามตัณหา


*หมายเหตุ  


---ตัวอย่างของ  ตัณหา  ที่ใช้ในทางไสยศาสตร์


---วัตถุกามตัณหา  -  อยากได้รถยนต์สปอร์ต  -  สิ่งของ


---กิเลสกามตัณหา  -  อยากชมการแสดงกายกรรม  -  ความสำราญ


---ภวตัณหา  -  อยากเป็นอธิบดี  -  ความสำคัญ


---วิภวตัณหา  -  อยากเป็นนักปราชญ์  -  ความรู้


---ธัมมตัณหา  -  อยากเป็นนักบุญ  -  ความดี


*20.เกิดมาเพื่ออนุรักษ์ประเพณีโบราณ


---กาละใด  สมัยใด  ประเทศบ้านเมืองมีวิญญาณชั้นต่ำมาเกิดเป็นมนุษย์มากขึ้น  มีวิญญาณชั้นสูงมาเกิดเป็นมนุษย์น้อย  ปริมาณของสัตว์จากอบายภูมิมากท่วมท้นจำนวนมากเทพ  กาละนั้น  สมัยนั้น  ศีลธรรม  จรรยา  ต่าง ๆ  จะโน้มเอียงไปในทางเสื่อม  ทรุดโทรมถอยหลังไปทุกที  เทพหรือเทพยเจ้า  ผู้คุ้มครองประเทศบ้านเมืองนั้น  แม้จะใช้ความสามารถปฏิบัติงานเข้มแข็งยิ่งขึ้น  ก็มิอาจจะขวางกั้นความเสื่อมไว้ได้  จึงต้องแสวงหาตัวมนุษย์ที่เป็นสื่อกลาง  รับนโยบายจากเบื้องบน  ปฏิบัติงานเป็นตัวอย่าง  เคร่งครัดต่อประเพณีอันดีงาม  ซึ้งสืบต่อกันมาช้านาน


---เมื่อหามนุษย์ประเภทตัวแทนได้ยาก  ก็จำเป็นที่ทางเบื้องบนจะประกาศรับอาสาสมัคร  ส่งเทพอาสาสมัคร  มาเกิดเป็นมนุษย์  เป็นมนุษย์ที่ยึดมั่นในโบราณประเพณี  ประพฤติตนขัดขวางอนารยธรรมสมัยใหม่  รื้อฟื้นธรรมนิยมเก่าๆ  ขึ้นมาดำเนินการอีก  สำแดงให้สังคมประจักษ์ว่า  ของดีหนทางปฏิบัติที่งามนั้น  แม้จะเก่าแก่ก็หาได้ล้าสมัยไร้ประโยชน์ไม่


---พวกเทพ  อาสาสมัครมาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่ออนุรักษ์ประเพณีโบราณ  เทพเหล่านี้จะได้รับความสุขความเจริญในชีวิต  ได้รับความคุ้มครองจากสวรรค์เป็นการตอบแทน  ตอบสนองต่อความเสียสละ  และความตั้งใจดี


---แตกต่างจาก  เทพที่มาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อสร้างบารมี  เพิ่มพูนอิทธิฤทธิ์เทพสร้างบารมีจะต้องมีความสามารถพิเศษ  ในการต่อสู้เพื่อเอกราช  ต่อสู้เพื่อเสรีภาพ  เหน็ดเหนื่อยเกือบตลอดชีวิต  เมื่องานกู้ชาติสำเร็จก็อำลาโลกมนุษย์ขึ้นไปเสวยสุขในโลกทิพย์เบื้องบน


*หมายเหตุ 


---ประเพณีโบราณ  หมายถึง  ศิลปะวิทยาการอันเก่าแก่  เช่น  ไสยศาสตร์  โหราศาสตร์  ดนตรี  การขับร้องฟ้อนรำ  วรรณคดี  จิตรกรรม  ประติมากรรม  วัฒนธรรม


*21.เกิดมาเพื่อแสวงหาประสบการณ์


---โลกมนุษย์เป็นแหล่งกลาง  เป็นศูนย์รวมของผู้สร้างความดี  ความชั่ว  มนุษย์มีอิสรเสรีอย่างเฟือที่จะดำรงชีวิตด้วยการทำบุญ  หรือด้วยการทำบาป  ในขอบเขตที่ปรากฏหมายและสังคมจะอนุญาต


  • บุญ  เป็นชื่อของกรรมที่ดันมนุษย์ขึ้นสู่สวรรค์  บาป  เป็นชื่อของกรรมที่ฉุดมนุษย์ดิ่งลงสู่อบายภูมิ  บุญและบาป  มีต้นเงื่อนมาจากกิเลศ  ซึ่งเป็นพลังที่ทำให้วงล้อชีวิตหมุนเวียน


  • กิเลส  เป็นเพียงสิ่งที่ทำให้มนุษย์เวียนตายเวียนเกิด  ทำให้วิญญาณทั้งหลายเกิดแล้วดับไป  เพื่อเกิดใหม่อีกอย่างนี้ไม่สิ้นสุด  ส่วนที่ว่าจะหมุนเวียนไปสู่ที่ดีงาม  หรือไปสู่ภาวะที่เลวร้าย  อยู่ที่การทำดีหรือชั่ว


---ในทางไสยศาสตร์  การดื่มสุรา  เราไม่ถือว่าเป็นบาป  การดื่มสุราเพื่อความครึกครื้นเป็นกิเลส  การดื่มสุราไม่ทำให้มนุษย์ต้องตกนรก  การดื่มสุรา  ไม่ทำให้มนุษย์ขึ้นสวรรค์  แต่ทำให้มนุษย์ต้องหมุนเวียนไปสู้  แดนอสุรา  หรือถิ่นคนเมา


---แดนสุรา  มีบรรยากาศทึม ๆ ออกจะมัว ๆ หมอง ๆ ลักษณะคล้ายกับว่าในอากาศนั้นมีหมอกควันอย่างเจือจางปะปนอยู่ด้วย  อสุราแต่งตัวซอมซ่อ  ไม่สดใสแต่อารมณ์ครึกครื้น  สนุกสนานยิ่งนัก  ผู้คนเดินเปะปะ  ชนโน่นชนนี่  แต่ไม่มีการชกต่อยหรือทุบตีกัน  ทักทายกันเล็กน้อยก็ร่วมกินร่วมดื่มกันได้


---ผู้ที่จากแดนอสุรามาถือกำเนิดในมนุษยโลก  จะเป็นคนนิสัยดี  ไม่เอาเรื่องเอาราวกับใคร  ให้อภัยคนง่าย  ช่วยเหลือเจือจานคนทั่วไปเท่าที่เห็นสมควร  ไม่เอาการเอางาน  ไม่ชอบสะสมทรัพย์  ไม่สนใจสร้างตัวสร้างตนให้เป็นฐาน  เพื่อนฝูงได้ดีก็ไม่ริษยา  กลั่นแกล้งเพื่อนร่วมรุ่นตกอับก็ไม่ดูหมิ่น  ถือว่าเป็นเพื่อนเหมือนเดิม


---ผู้ที่มาจากแดนอสุรา  จะไม่สนใจเรื่องบุญ  เรื่องบาป  สนใจแต่จะสนุกสนาน  แสวงหาความรื่นเริงบันเทิงใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน  ท่องเที่ยวแสวงหาประสบการณ์  จนกว่าชีวิตจะหาไม่


---ในทางไสยศาสตร์  การร่วมเพศ  เสพเมถุน  ไม่ใช่บุญ  ไม่ใช่บาป  แต่เป็นกิเลส  หญิงที่เสพกาม  คัดเลือกบริโภคแต่กาม  ที่ไม่เป็นพิษเป็นภัย  ตายแล้วจะไปสู่  แดนนางกากี  หากจากแดนนางกากีมาเกิดในโลกมนุษย์  จะเป็นคนที่ไม่สนใจในเรื่องกุศล  อกุศล  ชอบแต่จะแสวงหาประสบการณ์แปลก ๆ ใหม่ ๆ ให้แก่ชีวิต



*หมายเหตุ   ตัวอย่างโลกทิพย์


---โลกทิพย์เบื้องสูง  -  ด้านดี  -  สวรรค์  พรหมโลก  บาดาล  ป่าหิมพานต์


---โลกทิพย์เบื้องต่ำ  -  ทุกข์ทรมาน  -  แดนอมนุษย์  แดนเปรต  แดนโจร  แดนปีศาจ  แดนนรก


---โลกทิพย์เบื้องขวาง  -  กิเลศ  -  แดนสนธยา  แดนนางกากี  แดนอสุรา  แดนคนธรรพ์  แดนนางกินรี......ฯ




...................................................................................





ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล

 หนังสือ ชำแหละกฎแห่งกรรม

               รวบรวมโดย...แสงธรรม

อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 28 กันยายน 2558

Tags :

0 ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

*

*

view

ประวัติต่างๆ

ประวัติวัดเขาไกรลาศ

ประวัติของหลวงพ่อเทียน=คลิป

มาเช็คชื่อ-เช็คสกุลกันดีกว่า=คลิป

ประวัติพระอธิการชิติสรรค์ จิรวฑฺฒโน=คลิป

ขอเชิญผู้ร่วมบุญสร้างอาศรมเสด็จปู่พระบรมพรหมฤาษีไตรโลก

ประวัติหลวงปู่เทพโลกอุดร

ประวัติฝ่าพระหัตถ์ของพระพุทธองค์

ประวัติของนางวิสาขา=คลิป

ประวัติของอนาถปิณฑิกเศรษฐี=คลิป

ประวัติของเศรษฐีขี้เหนียว

ประวัติเหตุทำบุญที่ช้า=คลิป

ประวัติของผู้ร่วมบุญ=คลิป

ประวัติของพระไตรปิฎก=คลิป

ประวัติการสร้างพระพุทธรูปและพระเจ้า ๕ พระองค์

ประวัติง้วนดิน

ประวัติปู่ฤาษีนารอท

ประวัติพระปางมหาจักรพรรดิ์ ทรงปราบพระเจ้ามหาชมพูบดี

ประวัตินางห้าม..แห่งขอมโบราณ

ประวัติพญานาค

ความรู้และรายละเอียดพุทธเจดีย์

พระมหาโพธิสัตว์

สาระธรรม

ธรรมะส่องใจ

อานิสงส์แต่ละอย่าง

ประเพณีต่างๆ

ตำนานทั่วไป

สาระน่ารู้

ปกิณกะธรรม

วัตถุมงคล-สาระอื่นๆ

ข้อมูลทั่วไป

ปฎิทิน

« April 2024»
SMTWTFS
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930    

สมาชิก

ลืมรหัสผ่าน?
สมัครสมาชิก

สถิติ

เปิดเว็บ20/06/2011
อัพเดท20/04/2024
ผู้เข้าชม6,691,063
เปิดเพจ10,466,113
สินค้าทั้งหมด8

 หน้าแรก

 บทความ

 เว็บบอร์ด

 รวมรูปภาพ

 พระบรมสารีริกธาตุ

 โจโฉ รวมเสียงธรรม

 เฟสบุ๊ค

ติดต่อเรา-

view