“ภูมิจิต ๑๓” ระดับจิตสัตว์อันจะนำไปสู่ภพต่างๆ หรือหมดสิ้นภพต่างๆ
โดย physigmund_foid
---มนุษย์สามารถจะพยากรณ์ชาติภพหน้าของตนเองได้จากกรรมที่กระทำเสมอในปัจจุบัน โดยพิจารณาจากจิตของคนเรา ซึ่งมีระดับที่ค่อนข้างคงที่และตรวจวัดได้เมื่อมีอายุสูงขึ้น เพราะความเปลี่ยนแปลงน้อยลง และระดับจิตคงที่นี้เอง ที่ยังผลให้ไปเกิดภพต่างๆ อีกทั้งจิตนี่แหละ คือ ผู้ก่อสร้างภพชาติทุกขณะจิต หากจิตระลึกภาวนาถึงสิ่งใดอยู่เสมอก็จะสร้างภพสร้างชาติในสิ่งนั้นๆ เช่น การระลึกถึงตรึกแต่เรื่องเงินทอง จิตก็จะสร้างภพชาติแห่งความโลภ อันเป็นเหตุให้เกิดภพเปรตได้ หากจิตระลึกแต่พระพุทธเจ้า จิตก็จะสร้างภพแห่งความดีงาม ยังผลให้ไปเกิดถึงสวรรค์ชั้นดุสิตได้ แต่หากจิตระลึกถึงการสิ้นไปของชาติภพ ก็จะไม่ส่งผลให้เกิดชาติภพต่อไป คือ นิพพาน การพิจารณาระดับจิตของตนจะช่วยให้เรารู้ตัว และพัฒนาระดับจิตให้สูงขึ้นได้ดีขึ้น จิตของคนเรามีระดับหลายระดับด้วยกัน สามารถพิจารณาได้ไม่ยากเป็น ๑๓ ประเภท เรียงจากต่ำสุดไป ดังนี้คือ
*นรกภูมิ คือ จิตที่ก่อแต่กรรมเลว แล้วหลงผิดคิดว่าดีเพราะเชื่อคนเลวในคณะ
---ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดยัง “นรก” จะมีลักษณะทำความชั่วมากกว่าความดี ไม่เชื่อเรื่องกรรม ศีลบกพร่องถึงขั้นไม่มีเลย มีความเชื่อเดียวกันเองในกลุ่มย่อย ที่ไม่สอดคล้องกับธรรมสากล คนที่ต้องตกนรกแน่นอน เช่น คนที่ติดสุราต้องกินทุกวันแม้มีคนทักท้วงห้ามก็จะโมโหใส่, คนที่มีมิจฉาอาชีวะ ต้องโกงกินหรือเบียดเบียนผู้อื่นเป็นอาชีพ, คนที่คบชู้และทำร้ายจิตใจผู้ที่รักตนอย่างหนัก, คนที่ไม่สนใจทำบุญทำทาน รังแต่จะจับผิดนินทาคนที่ตั้งใจทำความดี เป็นต้น คนเหล่านี้ ไม่อาจหลุดพ้นนรกไปได้เลย
*เปรตภูมิ คือ จิตที่ตระหนี่ เพราะหลงผิดคิดว่าไม่ทำร้ายใครก็ถือว่าตนดีแล้ว
---ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเปรต แม้ไม่ถูกทรมานในนรก ก็จะต้องพบกับความหิวโหยทรมานอยู่เป็นนิตย์ จะมีลักษณะไม่ทำความดี ไม่ทำบุญทำทานเลย ตระหนี่ถี่เหนียวอยู่ตลอดเวลา ถือคติว่า “เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด” และคิดว่าทำไมต้องช่วยคนอื่นด้วย นี่เป็นทรัพย์อันชอบธรรมของตนแล้ว สมควรเลี้ยงดูตนเอง ไม่สมควรแบ่งปันแก่ใคร แม้นไม่ทำร้ายใครมาก แต่ไม่มีบุญเลี้ยงตัวเลยเมื่อตายลง จึงเกิดเป็นเปรตที่หิวโหยอยู่เป็นนิตย์ ลักษณะของคนประเภทนี้ ไม่สามารถหลุดพ้นจากความเป็นเปรตไปได้
*เดรัจฉานภูมิ คือ จิตที่ทำดีต่อคนเลว แล้วทำเลวต่อผู้อ่อนแอกว่าเพราะความกลัว
---ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ต้องหาอาหารด้วยการกินกันเป็นทอดๆ เมื่อจะกินต้องล่าผู้อื่น เมื่อถึงคราวเคราะห์ต้องถูกผู้อื่นล่ากิน และต้องตายอย่างทรมาน ชีวิตทั้งชีวิตลำบากลำบน แม้มีอาหารกินบ้าง แต่ก็ยังต้องเสี่ยงชีวิต ต้องแก่งแย่งอาหารกับเดรัจฉานอื่นๆ ระดับจิตแบบนี้ เป็นคนที่ทำดีแต่กับคนที่มีอำนาจเหนือตน หรือข่มตนได้ และตนเองจะข่มเหงผู้อื่นที่อ่อนแอหรืออำนาจน้อยกว่าตนต่อไป เช่น นายจ้างที่ยอมนักการเมือง แต่เบียดเบียนใช้แรงงานพนักงานอย่างหนัก จนพวกเขาไม่สามารถไปทำบุญได้ทุกวันพระ คนเหล่านี้ เมื่อตายลงชดใช้กรรมในนรกแล้วจะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานต่อ มีจิตเป็น “เดรัจฉาน” คือ นิยมอำนาจและการกดขี่กันเป็นทอดๆ
*มนุษย์ภูมิ คือ จิตที่พุ่งไปสู่ความหมดสิ้นไปแห่งกรรม เพราะความเบื่อการเกิด
---ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นคน มีความสุขอยู่บ้าง มีวิวัฒนาการสูงที่สุดในสรรพสัตว์ทั้งหลาย สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้โดยง่ายที่สุด และมีโอกาสสะสมบุญบารมีมากที่สุดเหนือกว่าภพอื่นๆ ระดับจิตแบบนี้ เป็นผู้ที่ไม่ปรารถนาจะเกิดอีก เพราะเหนื่อยล้ากับการเกิด หรือกลัวการเกิด อยากชดใช้กรรมให้หมดสิ้นไป หากเป็นมนุษย์ที่บรรลุโสดาบัน จะเกิดในภพที่ไม่ต่ำกว่ามนุษย์ หากเป็นเทวดาที่ไม่อยากเกิดอีก ก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์ หากเป็นเทวดาที่อยากชดใช้กรรมก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์เช่นกัน หรือเป็นผู้ที่รอการเกิดเป็นมนุษย์มานานและได้ชดใช้กรรมในภพอื่นๆ หมดสิ้นแล้วจึงถึงคิวเกิด
*จตุโลกภูมิ คือ จิตที่ทำความดีแบบมีเงื่อนไข เป็นบุญไม่สมบูรณ์เจือด้วยบาป
---ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “จตุมหาราชิกา” ซึ่งเป็นเทวดาที่ไม่สมบูรณ์ ไม่สมประกอบ มีความบกพร่องต่างๆ เช่น ยักษ์ จะมีรูปร่างไม่เหมือนเทวดา หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว, นาค แม้ถอดกายทิพย์เป็นเทวดาสวยงาม แต่มีร่างเหมือนงูขนาดใหญ่, กุมภัณฑ์มีรูปร่างพิกลพิการในแบบต่างๆ, คนธรรพ์ ที่มีรูปกายแบบเทวดาสมบูรณ์แต่ไม่วายต้องได้รับผลกระทบจากการที่สถิตอยู่ใกล้โลก เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะปกติเป็นคนชอบทำบุญ แต่เป็นบุญเจือบาป ทำดีแบบมีเงื่อนไขต้องการสิ่งตอบแทน เช่น ลาภสักการะ ทำบุญเจือกิเลสประเภทต่างๆ เช่น ช่วยคนไปด่าไป ทำให้เขาทุกข์ใจ เทวดาชั้นนี้จึงมีภาระเกี่ยวข้องกับโลกมาก ต้องสะสมบุญบารมีมาก จึงไปสู่ภพที่ดีขึ้นได้
*ดาวดึงส์ภูมิ คือ จิตที่ทำความดีอย่างบริสุทธิ์ แต่อาลัยอาวรณ์ห่วงหาญาติมิตร
---ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “ดาวดึงส์” ซึ่งเป็นเทวดาที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและที่อยู่อาศัย อันพ้นจากเขตของพื้นโลก สงบจากความวุ่นวายของมนุษย์ จัดเป็นสวรรค์ที่แท้จริงชั้นแรก แต่ยังคงต้องมีหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันไปดูแลมนุษย์โลก ทำให้ต้องขึ้นๆ ลงๆ สวรรค์และโลกในยามที่ต้องไปช่วยเหลือมนุษย์ เห็นที่เป็นเช่นนี้ เพราะจิตยังอาลัยในโลกมนุษย์ พวกพ้องและญาติมิตรมาก แม้ทำบุญด้วยจิตบริสุทธิ์ เป็นบุญที่ไม่เจือด้วยบาปแบบเทวดาชั้นจตุมหาราชิกาก็ตาม ระดับจิตแบบนี้ เป็นผู้ที่ทำบุญสม่ำเสมอ มีจิตใจมั่นคงเชื่อในศาสนา แต่ยังมีความอาลัยในโลกมาก ห่วงญาติมิตรมาก ทำให้ไปไม่ไกล อยู่เพียงสวรรค์ชั้นต้น รอคอยเวลามาช่วยมนุษย์โลกเสมอ
*ยามาภูมิ คือ จิตที่ทำความดีมาก เพื่อให้พ้นไปจากความเป็นมนุษย์ปุถุชน
---ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “ยามา” ซึ่งเป็นเทวดาที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและที่อยู่อาศัย อีกทั้งยังไม่ต้องมีภาระวุ่นวายกับเรื่องทางโลกอีก เพราะไม่ต้องรับหน้าที่หมุนเวียนกันดูแลโลกมนุษย์มากเหมือนเทวดาชั้นดาวดึงส์ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะได้ทำบุญใหญ่ไว้มาก หรือจิตไม่มีความห่วงหาอาลัยในโลก มีความยินดีในผลบุญและการเสวยสุขบนสวรรค์อันแท้จริง ระดับจิตแบบนี้ เป็นผู้ที่มักทำบุญใหญ่และทำสม่ำเสมอ เช่น เป็นเจ้าภาพในงานสร้างอุโบสถ, การบวชพระทั้งชีวิต ดำรงตนในศีลไม่บกพร่อง แต่ไม่บรรลุธรรมหรือการฝึกจิตใดๆ มีจิตไม่อาลัยในโลก อยากหลุดพ้นจากเรื่องวุ่นวายทางโลก บุคคลที่ดำรงตนเช่นนี้ ประพฤติตนเช่นนี้สม่ำเสมอ จึงมาเกิดที่สวรรค์ชั้นนี้ได้
*ดุสิตภูมิ คือ จิตที่ทำความดีเพื่อมหาชน เพื่อความเป็นพระโพธิสัตว์โปรดผู้คน
---ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “ดุสิต” ซึ่งเป็นเทวดาที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและที่อยู่อาศัย อีกทั้งยังไม่ต้องมีภาระวุ่นวายกับเรื่องทางโลกแล้วยังมีโอกาสได้พบกับพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญเพียรรอการจุติอยู่ที่ชั้นดุสิต ทำให้นอกจากไม่ต้องยุ่งเรื่องทางโลกแล้ว ยังมีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระโพธิสัตว์อีกด้วย ระดับจิตแบบนี้ เป็นผู้ที่ทำความดีเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น โดยไม่หวังผลบุญให้เป็นของตนเอง ทำเพราะเมตตาสงสารอยากช่วยเหลือผู้อื่นเป็นวิสัย เช่น เป็นผู้ชอบเก็บสุนัขจรจัดมาเลี้ยงเพราะสงสาร เป็นต้น
*นิมานรดีภูมิ จิตที่ทำความดีมาก เพื่อแก่งแย่งแข่งขันเอาหน้าแต่จิตริษยาอาฆาต
---ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “นิมารดี” ซึ่งเป็นเทวดาที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและที่อยู่อาศัย แต่มีจิตมาร คือ ความริษยาอาฆาต ไม่สนใจช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เอาแต่แก่งแย่งแข่งขันกัน ชิงดีชิงเด่นกันเป็นใหญ่ มีฤทธิ์มีอำนาจเอาไว้เอาชนะคะคานกัน ดังนั้น จึงมาเกิดสวรรค์ชั้นสูงกว่าพระโพธิสัตว์ เพราะจะอยู่นานกว่า และมีโอกาสได้เกิดเป็นคนไม่บ่อย ได้สะสมบุญบารมีน้อยกว่า เอาแต่ตีรันฟันแทงทำสงครามกันบนสวรรค์ ไม่มีผู้ใดสอนได้ เพราะมีจิตมิจฉาทิฐิ ระดับจิตแบบนี้ เป็นเพราะทำบุญไว้มากมายเพื่อให้ตนเหนือคนอื่น เช่น พวกคุณหญิงคุณนายที่ทำบุญมากๆ เอาหน้าเอาตา ให้เขาออกชื่อประกาศใหญ่โต เพื่ออวดดีอวดเด่นแข่งกัน แต่กลับมีจิตใจริษยากันเอง
*ปรนิมมิตวสวัสตีภูมิ จิตที่ทำความดีมาก เพื่อเป็นหนึ่งเหนือใคร มีจิตริษยาอาฆาต
---ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “ปรนิมมิตวสวัสตี” ซึ่งเป็นเทวดาที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและที่อยู่อาศัย แต่มีจิตมาร คือ ความริษยาอาฆาต ไม่คิดช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ หลงทางเข้าสู่มิจฉาทิฐิ หลงผลบุญที่มากมาย ฟุ้งเฟ้อด้วยยศถาบรรดาศักดิ์แต่หาความสุขไม่ได้ มีฤทธิ์มีอำนาจมาก บ้างฝึกจิตขั้นสูง แต่ยังไม่พ้นอวิชชา คิดอยากเป็นใหญ่เหนือผู้ใด คิดครองโลกครองสวรรค์ ก่อสงครามบนสวรรค์ไม่จบไม่สิ้น มีอายุยืนยาวนานที่สุด มีโอกาสเกิดเป็นคนเพื่อมาสะสมบุญบารมีได้น้อยครั้ง ระดับจิตแบบนี้ เป็นเพราะทำบุญใหญ่มามาก แต่มีจิตริษยาอาฆาต เช่น กอบกู้แผ่นดิน แต่มีจิตอาฆาตศัตรู แทนที่จะตกนรกเพราะทำสงคราม กลับดื้อด้านขึ้นสวรรค์ จึงต้องอยู่นานเป็นมารสวรรค์
*พรหมภูมิ จิตที่เสพติดในรสสุขแห่ง “ฌาน” และความสงบสุข ไร้กิเลสกามใดๆ
---ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “พรหม” ซึ่งเป็นพรหมที่ไม่มีเพศ จึงไม่มีการเสพกาม ไม่มีคู่ครอง ต่างอยู่อาศัยอย่างสงบสงัดดุจฤษีต่างๆ ในป่า ในวิมานของตน ระดับจิตแบบนี้ เป็นเพราะมีความยินดีในการเสพความสุขจากฌาน แต่ยังไม่แจ้งในธรรม ไม่รู้ว่าแท้แล้วการเวียนว่ายตายเกิดคืออะไร จิตยังมีความยินดีในฌาน จึงเกิดภพชาติใหม่ ต้องไปเกิดเป็นพรหม ซึ่งห่างไกลจากความวุ่นวายและกิเลสทั้งปวง แต่ยังไม่รู้แจ้งเห็นจริงได้ คนที่ไปเกิดเป็นพรหมมักบำเพ็ญพรหมจรรย์นั่งสมาธิฝึกจิตจนได้ฌาน
*อรหันตภูมิ จิตที่ปล่อยวางการยึดถือทั้งมวล เพราะมีดวงตาเห็นธรรม พบสุขแท้
---ระดับจิตไร้กิเลส มีความสุขแท้ ไร้ซึ่งความทุกข์ใดๆ เมื่อตายลงสามารถไม่เกิดอีกได้ ซึ่ง ระดับจิตนี้พบเฉพาะผู้บรรลุอรหันต์เท่านั้น บุคคลที่จะพัฒนาภูมิจิตถึงระดับนี้ได้ จะต้องผ่านแต่ละขั้นก่อน คือ การละสักกายทิฐิ หรือความอวดดีถือตน หากบุคคลยังไม่ละ ยังไม่ถูกครูบาอาจารย์กำราบให้ยอมจำนน บุคคลจะยังไม่บรรลุแม้โสดาบัน ไม่อาจบรรลุธรรมด้วยตนเองได้ บุคคลจะบรรลุธรรมด้วยตนเองได้ ก็เมื่อบุคคลนั้นเป็นพระโพธิสัตว์ หรือพระปัจเจก ซึ่งบารมีเต็มในชาติสุดท้ายเท่านั้น ในระหว่างชาติที่พระพุทธศาสนาดำรงอยู่ จนถึง ๕,๐๐๐ ปีนี้ ย่อมไม่มีผู้ใดเป็นพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกมาเกิดอีก
*สุขาวดีภูมิ จิตที่บรรลุธรรมแล้วโปรดสรรพสัตว์ ยอมเกิดใหม่ช่วยสัตว์เรื่อยไป
---ระดับจิตที่ไร้กิเลส บรรลุธรรม ดับสิ้นเชื้ออวิชชาแล้ว เมื่อตายลงสามารถเกิดได้อีก เพื่อลงมาช่วยมวลสรรพสัตว์ อันเกิดได้เพราะ “พระพุทธเจ้า”ในอดีต ที่ทรงมีมหาปณิธานไม่ยอมบรรลุนิพพาน เพื่อโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์ให้หมดก่อนตน บังเกิดภพใหม่ขึ้น ที่เรียกว่า “สุขาวดีพุทธเกษตร”เป็นที่ๆ บุคคลสามารถบรรลุธรรมได้ พบความสุขแท้ได้ พ้นทุกข์ทั้งมวลได้ และยังสามารถกลับมาเกิดช่วยคนได้อีกตามแต่จิตปรารถนา ปกติ ภพนี้จะไม่แนะนำหรือแสดงให้คนทั่วไปได้รู้เห็น นอกจากจะเป็นผู้มีบุญบารมีมาก มีจิตเมตตาจริงๆ
---การเกิดขึ้นของภพต่างๆ นั้น เช่น พรหมโลก ก็ไม่ได้อยู่ในสวรรค์ชั้นต่างๆ ใน ๖ ชั้น พรหมโลกเองก็มีชั้นต่างๆ มากมายยิ่งกว่าสวรรค์ทั้งหกชั้น เสมือนเป็นภพโลกอีกภพหนึ่ง อันเกิดจากดวงจิตที่พึงพอใจในการบำเพ็ญฌาน และรสชาติแห่งฌานมากกว่าการบรรลุธรรม พรหมโลก จึงเป็นโลกที่บริสุทธิ์สงบสงัดจากกิเลสชั่วคราว แต่ไม่แจ้งในธรรม ยังมีความยินดีในภพภูมิ และยังมีโอกาสลงมาเกิดในโลกได้อีก ในบรรดาฤษีมากมายที่ตายไปไม่บรรลุธรรม ก็ไปรวมกันที่พรหมโลก แต่ละดวงจิตก็เต็มไปด้วยอิทธิฤทธิ์ บางดวงจิตก็โปรดสัตว์ด้วยอิทธิฤทธิ์ แต่เพราะไม่บรรลุธรรม จึงไม่สามารถช่วยสรรพสัตว์ให้บรรลุธรรม ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ และพบสุขที่แท้จริงได้ ดวงจิตที่โปรดสัตว์เหล่านี้ จะนำพลังอิทธิฤทธิ์มาให้แก่ผู้ที่นับถือศรัทธาตน เช่น มหาเทพต่างๆ ในฮินดู เป็นต้น
---ภพบางภพก็เกิดขึ้นด้วยผลบุญบารมีและอิทธิฤทธิ์ของพระพุทธเจ้าบางพระองค์ เช่น พระอมิตาภพุทธเจ้า, พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า อันได้แก่ สุขาวดีพุทธเกษตร นั่นเอง
*บทสรุปส่งท้าย
---จิตของคนเรามีระดับที่ค่อนข้างคงที่แน่ชัด เรียกว่า “ภูมิจิต” ซึ่งภูมิจิตนี้สอดคล้องกับ “ภพภูมิ” ที่สัตว์จะไปเกิดต่อในชาติภพหน้า เพราะจิตนั้นมีความคงที่ระดับหนึ่งจนเกิดสภาวะเหมือน “ภพ” ซ้อนขึ้นมาทั้งๆ ที่อยู่บนโลก ยกตัวอย่างเช่น แต่ก่อนเป็นเหมือนคนทั่วไป พอทำบุญครั้งแรกเกิดจิตที่เป็นกุศล มีปีติสุข จากนั้นจึงทำบุญบ่อยๆ จิตใจก็มีสุขสดชื่น ภูมิจิตก็เปลี่ยนจากความเป็นโลกีย์ กลายเป็นสวรรค์ขึ้นมาทันที มองโลกก็เหมือนอยู่สวรรค์ มีความสุขในจิตของตนเทียบเท่ากันกับได้ขึ้นสวรรค์ชั้นนั้นจริงๆ จิตใจของคนผู้นั้นก็จะวนเวียนอยู่กับสิ่งเหล่านี้ทั้งๆ ที่ยังอยู่บนโลก และเมื่อตายลงจิตก็ระลึกถึงแต่สิ่งเหล่านี้ ปกติแล้ว เมื่อสัตว์ตายลง จิตดวงสุดท้าย คือ “จุติจิต” จะส่งให้ไปเกิดยังภพภูมิต่างๆ หากจิตระลึกถึงสิ่งใดมาก ก็จะส่งผลให้ไปเกิดยังภพภูมิที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวนั้น ดังนั้น เมื่อสัตว์ตายลง จึงมีโอกาสที่จิตจะส่งไปยังภพที่จิตเกี่ยวพันอยู่จึงเป็นไปได้สูงมาก ด้วยเหตุนี้ บุคคลควรหลีกให้พ้นจากอบายภูมิทั้งสาม อันได้แก่ นรกภูมิ, เปรตภูมิ, เดรัจฉานภูมิ อันเป็นภพภูมิชั้นต่ำ ที่มีความทุกข์มากกว่าความสุข มีความลำบากเป็นนิตย์
---สำหรับผู้ที่ยึดถือหรือเชื่อถือแต่พวกพ้องกลุ่มย่อยของตนที่ดีแต่พูดเอาอกเอาใจ ตรงใจ ถูกใจ เพราะปล่อยตัวตามใจอยาก นั้น จะนำพาตนเองเข้าสู่ “นรกภูมิ” เป็นแน่แท้ การจะหลุดพ้นออกมาได้ จะต้องเลิกยึดมั่นในความเชื่อของกลุ่มย่อย ที่เชื่อกันเองในกลุ่มเล็กๆ อย่างผิดๆ เช่น พรรคพวกที่คุยสังสรรค์และสร้างความเชื่อกันว่า การข่มขืนผู้หญิง ทำให้ผู้หญิงสนุก และการที่ผู้หญิงร้อง เพราะมีความสุขมาก แท้แล้วเป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง เป็นพฤติกรรมการเลียนแบบนายนิรบาล ที่ลงไปทรมานสัตว์ในนรก และตนก็อยากระบายลงในผู้อื่นบ้าง ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ในสรรพสัตว์ไม่ถูกทิ้งถูกเพียงกลุ่มเดียว จึงสร้างให้ได้พบเจอกับนายนิรบาล ซึ่งหากปรารถนาจะเป็นนายนิรบาล จำต้องเริ่มหัดทำบุญ แม้ว่าจะเป็นบุญเจือบาปก็ต้องเริ่มทำ ไม่ใช่ความเลว โดยการเลียนแบบนายนิรบาล บุคคลจะได้เป็นอย่างที่ตนปรารถนาก็ต่อเมื่อเขาประพฤติจนพร้อมที่จะเป็น จักรวาลจึงจะส่งพลังหนุนนำให้ แต่หากหักหาญเป็นเอง ใช้พลังอำนาจของตนเอง ก็จะถูกสมดุลจักรวาลตอบโต้กลับ ทำให้ตนเอง ต้องได้รับวิบากกรรมซ้ำซ้อน ต้องตกนรกซ้ำๆ
---สำหรับผู้ที่มีความตระหนี่ถี่เหนียว ถือว่าไม่ได้ทำร้ายใคร แต่ไม่เคยเอื้อเฟื้อช่วยเหลือใคร จำต้องเลิกความยึดมั่นในความดีที่ไม่แท้จริงของตน การไม่ทำร้ายใครและไม่ช่วยเหลือใครนั้น ไม่ใช่ความดี เป็นแค่การไม่ทำเลวเพิ่มเท่านั้นเอง แต่บุคคลยังต้องพิจารณาว่าตนเองได้เกิดเป็นมนุษย์กินสัตว์ได้อื่นมากมายเพราะอะไร สัตว์บางชนิดที่กินได้เฉพาะใบพืชชนิดเดียวเท่านั้นเพราะอะไร หรือนั่นเพราะการไม่ทำบุญ หรือทำบุญมาไม่เท่ากันใช่หรือไม่ บุคคลหากยังเวียนว่ายตายเกิด ยังต้องมีการทำบุญเป็นเสบียงเลี้ยงตัว
---สำหรับผู้นิยมกดขี่ข่มเหงผู้อ่อนแอกว่า และยอมก้มจำนนต่อผู้มีอำนาจมากกว่า มักยอมจำนนเป็นบริวารคนเลว แล้วทำร้ายคนที่อ่อนแอกว่าตน เป็น “เดรัจฉาน” มาเกิดโดยแท้ เหมือนสัตว์ใหญ่ที่กินสัตว์เล็ก ข่มเหงเบียดเบียนกันเป็นทอดๆ หากต้องการหลุดพ้นจากภพนี้ จะต้องไม่ยอมก้มจำนนต่อคนเลว หลีกเลี่ยงคนเลว เลิกข่มเหงผู้อ่อนแอกว่า เลิกเลียนแบบรุ่นพี่ หรือผู้มีอำนาจ แล้วหันมาสนับสนุนคนดี และช่วยผู้อ่อนแอ จึงจะพ้นได้
---เมื่อพ้นจากอบายภูมิทั้งสามนี้แล้ว ก็จะได้เกิดแต่ภพที่ยังมีความสุขอยู่บ้าง ซึ่งบางภพเป็นสวรรค์ที่ทำให้หลงเพลิดเพลิน และหลงลืมการทำสิ่งที่ดีงาม สุดท้ายหมดวาระบุญต้องมาเกิดใหม่ เป็นมนุษย์ทำงานลำบากลำบน และตกต่ำกว่าสวรรค์เดิมที่ตนเคยอยู่ ดังนั้น บุคคลจึงควร “ยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม” เพราะความไม่แน่ไม่นอน เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาทุกขณะทีเดียว หากยังมีภพชาติใหม่อยู่เรื่อยๆ ก็จะยังต้องเสี่ยงเกิดเสี่ยงกรรมอีกเรื่อยๆ หากหมดสิ้นภพชาติได้ จึงหมดสิ้นเวรสิ้นกรรม พบแต่ความสุขอย่างเดียว แต่หากมีกำลังบุญบารมีมาก คิดช่วยเข็ญสรรพสัตว์แล้ว พึงพัฒนาภูมิจิตให้ถึงสุขาวดี.
...........................................................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
รวบรวมโดย….แสงธรรม
อัพเดทรอบที่ 6 วันที่ 26 กันยายน 2558
https://is.gd/8Z7PBr https://Is.gd/K1ZvfM http://ubezpieczenia-on-line.pl https://bit.ly/3wsxr3z https://tinyurl.com/39sa5jzs http://Ubezpieczsieteraz.pl/ https://is.gd/vXhjRh https://tinyurl.com/yckpz4uw https://rebrand.ly/1de799 https://bit.ly/3wgil21
rebrand.ly Rebrand.ly dobrzeubezpieczamy.pl bit.ly
is.gd is.gd cutt.ly e-ubezpieczenie24.pl
tinyurl.com https://cutt.ly/ https://tinyurl.com/ https://cutt.ly/0HvvFNe https://bit.ly/3Ld6ZQF http://ubezpieczbowarto.pl tinyurl.com tinyurl.com